ฮูหยินผู้เฒ่าหวังผิดหวังถึงที่สุดนางยกมือห้ามนางหลู่ที่ยังคิดจะเกลี้ยกล่อมนางหวังต่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แม้แต่เด็กเล็ก หากล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังรู้ว่าต้องเดินให้ดี”นางไม่อาจอยู่กับนางหวังไปตลอดชีวิตเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็เกิดจากความลำเอียงของนางหวังเองหากไม่ใช่เพราะนางหวังให้ท้าย ไม่ว่าเป็นชีจิ่นหรือชีอวิ๋นถิงก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้ทำผิดไปแล้วแท้ ๆ แต่ยังไม่รู้จักสำนึกฮูหยินผู้เฒ่าหวังเองก็ไม่อยากปล่อยให้นางมีนิสัยแย่ ๆ เช่นนี้ต่อไปนางมองนางหวังที่ยังคงซบอยู่กับขอบเตียงพลางร่ำไห้เสียงดัง สุดท้ายขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทั้งแม่สามีและพ่อสามีของเจ้าก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว สามีของเจ้าก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว มีเหตุผลอันใดที่เจ้าจะก้มศีรษะลงไม่ได้? หากแม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังคิดไม่ตก รออวิ๋นจื่อกลับมา ความทุกข์ของเจ้าคงยังมีอีกมาก!”สมองของนางหวังยุ่งเหยิงไปหมด นางร้องไห้นานเกินไปจนนางรู้สึกว่าแทบจะหายใจไม่ออกพอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าหวังพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาภัพนักฮูหยินผู้เฒ่าหวังจึงไม่สนใจนางอีก แต่เดินตรงไปยังหอหมิงเยว่ของชีหยวนภายในหอหมิง
นางกล่าวพลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องกังวลแล้วทำสิ่งที่เจ้าต้องทำให้เต็มที่เถิด ข้ารอพึ่งใบบุญเจ้าอยู่”ฮูหยินผู้เฒ่าหวังนี่ช่าง...ชีหยวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามนางเอ่ยตอบรับเสียงเบาข้อเสนอของฮูหยินผู้เฒ่าหวัง ไม่ว่าจะเป็นท่านโหวผู้เฒ่าชีหรือฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านนางหวังเป็นคนที่อารมณ์ไม่มั่นคง ทำอะไรล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ชั่ววูบ ยากจะทำให้ใครมีความอดทนรอให้นางเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทำเช่นนี้ นับว่าดีที่สุดแล้วท่านโหวผู้เฒ่าชีถอนหายใจโล่งอกทว่าขณะที่เขาโล่งอก กลับมีบางคนที่แทบจะขาดใจตายเสียตรงนั้นหมอเทวดาเซวียกำผ้าแพรขาวไว้แน่น จ้องมองอ๋องฉีพลางถาม “ท่านอ๋อง ท่านต้องการอะไรกันแน่?!”อ๋องฉีบ้าไปแล้วหรือไร?พูดว่าวันนี้จะต้องรักษาขาให้หาย หากไม่หายก็จะให้เขาตายตกไปเป็นเพื่อน!เขาทำอะไรผิดกัน?!อ๋องฉีสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงเย็นชาเสียยิ่งกว่าเดิม “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือ? วันนี้หากเจ้ารักษาข้าไม่ได้ ข้าจะฆ่าผู้ช่วยของเจ้า หากพรุ่งนี้ยังรักษาไม่ได้ ข้าก็จะฆ่าสาวใช้ของเจ้า มะรืนนี้หากยังรักษาไม่ได้อีก ข้าก็จะเชือดเจ้าทิ้งเสีย!”เด็กน
เมื่อเทียบกับความงามสง่าเจิดจ้าขององค์หญิงเป่าหรงที่ราวกับเทพธิดาแล้ว อ๋องฉีกลับดูราวกับคนเร่ร่อนตามท้องถนน หนวดเครารุงรัง ดูแล้วช่างขัดตาเป็นที่สุดสีหน้าขององค์หญิงเป่าหรงพลันมืดครึ้มลงทันที “พวกเจ้ามีปัญญารับใช้กันแค่นี้หรือ?!”นางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาโดยตลอด ถึงขั้นกล้าไม่เกรงใจฮองเฮาเฝิงด้วยซ้ำ ครั้นเมื่อขันทีสวีและคนอื่น ๆ ได้ยินนางตำหนิ ต่างก็ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร รีบคุกเข่าลงทั้งห้องทั่วทั้งห้องก็พลันเงียบกริบ จนแทบไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังโชคดีที่องค์หญิงเป่าหรงขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า “คุกเข่ากันทำไม? ออกไปรอข้างนอก!”ขันทีสวีและคนอื่นๆ พลันโล่งใจ รีบลุกขึ้นแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็วภายในห้องจึงเหลือเพียงพี่น้องสองคนเท่านั้นอ๋องฉีเก็บซ่อนความดุร้ายบนใบหน้า เมื่ออยู่กับน้องสาวท่าทีก็อ่อนโยนขึ้นมาก “เสด็จแม่ให้เจ้ามาหรือ?”เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าหม่นหมอง “ข้าไม่กตัญญู ทำให้เสด็จแม่ต้องอับอายถึงเพียงนี้ แล้วยังสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้อีก”เรื่องของอ๋องเฉิงกับนายท่านรองหลิ่วกลายเป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้ทำสิ
ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามมองไปที่องค์หญิงเป่าหรง อ๋องฉีมักจะรู้สึกเหมือนเห็นเงาของชีหยวนวิธีการลงมือจัดการเรื่องต่าง ๆ สองคนนี้ช่างเหมือนกันเหลือเกินชีหยวนนั้นไม่เลือกวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายองค์หญิงเป่าหรงเองก็ไม่ต่างกันนักเมื่อเยาว์วัย เพียงเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานให้หลิ่วกุ้ยเฟยน้อย นางถึงกับยอมกระโดดลงไปในทะเลสาบเย็นเฉียบด้วยตนเองทุกครั้งที่จำเป็นต้องให้นางป่วย นางก็ป่วยได้อย่างเหมาะเจาะพอดีด้วยเหตุนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยน้อยจึงเชื่อฟังนางเสมอมาตอนนี้อ๋องฉีมองดูน้องสาว ก็พลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ “นางราวกับมีโชคช่วย ข้าใช้มาหลายวิธีแล้ว...”การยอมรับความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ยากยิ่งแต่ต่อหน้าน้องสาวของตน กลับไม่ได้มีความสำคัญอะไรนักอย่างไรเสียองค์หญิงเป่าหรงก็มีความหนักแน่นมั่นคงมากกว่าเขาเสมอเมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องฉี องค์หญิงเป่าหรงก็หัวเราะเสียงดัง “โชคช่วยหรือ? เสด็จพี่ ท่านโง่ไปแล้วหรือไร?”นางเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “ต่อให้นางจะมีโชคช่วยจริง ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”เพราะนางไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคดีอะไรนั่นเลยแม้แต่น้อยต่อหน้าน้องสาวนั้น อ๋องฉีแทบไม่เคยโต้เถียงเลย เมื่อได
เด็กที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ไหนเลยจะใจแข็งใจลงมือได้จริง ๆ?หากไม่ใช่เพราะเรื่องในหอนางโลมที่ลุกลามใหญ่โต ฮ่องเต้หย่งชางก็คงไม่ตัดสินใจเด็ดขาดถึงขั้นลดบรรดาศักดิ์พระโอรสจากชินอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง และยังกักบริเวณอยู่ที่จวนห้ามออกไปไหนเป็นเวลาถึงครึ่งปีปกติก็ก็พอทำเนา แต่ยามนี้ใกล้ถึงวันปีใหม่ ประกอบกับคำพูดขององค์หญิงเป่าหรง พระองค์ก็พลันใจอ่อนขึ้นมาสองเดือนมานี้จวนฉู่กั๋วกงสูญเสียทั้งหลิ่วจิงหงและคุณชายรองตระกูลหลิ่ว ฉู่กั๋วกงและฮูหยินฉู่กั๋วกงเองก็ล้มป่วย ตระกูลกลับเงียบเหงาไร้ผู้มาเยือนพระองค์ผ่อนลมหายใจยาว ขมวดพระขนง “เขาปกครองดูแลไม่เข้มงวด ได้ยินมาว่าตอนนี้ยังสร้างเรื่องวุ่นวายอีก ให้เขาได้รู้จักสำนึกเสียบ้างก็ดีแล้ว!”องค์หญิงเป่าหรงเขย่าพระกรของฮ่องเต้หย่งชางเบา ๆ “เสด็จพ่อทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ ลูกไม่ได้มาขอความเมตตาให้เสด็จพี่ แต่แค่คิดว่าองค์หญิงหมิงเฉิงเองก็ไม่ได้พบเสด็จพี่มาหลายวันแล้ว ทุกวันเอาแต่คิดถึงเสด็จพี่ด้วยแววตาแสนเศร้า...”เมื่อคิดถึงองค์หญิงหมิงเฉิงที่ยังเยาว์วัย พระทัยของฮ่องเต้หย่งชางก็อ่อนยวบลงอีกครั้งอย่าห้ามไม่ได้บวกกับเสียงวิงวอนอ่อนหวานของธิดาที่อยู
เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่กล่าวคำใดกลับเป็นองค์หญิงหมิงเฉิงที่โอบพระศอของฮ่องเต้หย่งชางไว้แน่น “เสด็จพ่อ อย่าโทษเสด็จแม่เลยเพคะ เป็นลูกที่ไม่รู้ความ ลูกไม่ยอมเชื่อฟัง เอาแต่รบเร้าจะไปหาเสด็จพี่ จนทำให้เสด็จแม่ต้องร้องไห้”เมื่อได้ยินว่าพูดถึงอ๋องฉีอีกครั้ง ฮ่องเต้หย่งชางก็ได้แต่ทอดถอนใจ ก่อนจะดึงมือธิดาออก “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเส็จพี่ของเจ้าทำผิด ตอนนี้ยังเข้าวังมาพบเจ้าไม่ได้?”องค์หญิงหมิงเฉิงเหลือบมององค์หญิงเป่าหรงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนสะอื้นพลางกล่าวว่า “แต่ลูกฝันถึงเสด็จพี่ ลูกคิดถึงเสด็จพี่เหลือเกิน...”ครานี้ไม่เพียงแค่องค์หญิงหมิงเฉิงเท่านั้นที่ร้องไห้ องค์หญิงเป่าหรงและเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ล้วนหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ ไปด้วยเมื่อทอดสายตามองทั่วทั้งห้องที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าสร้อย แล้วนึกถึงว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้กินไม่ได้หลับมาหลายวัน ฮ่องเต้หย่งชางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสว่า “เอาละ ให้เขาเข้าวังมาพบพวกเจ้า จะได้ไม่ต้องมัวแต่ห่วงหาอาวรณ์กันไปมากกว่านี้”ตรัสจบก็เปล่งเสียงเรียกขันทีเซี่ยเข้ามาขันทีเซี่ยเพียงกวาดตามองบรรยากาศ
ฮ่องเต้หย่งชางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นอีกว่า “เมื่อไม่นานมานี้ สำนักทอผ้าเจียงหนานถวายผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทองเข้ามา เรายกให้เจ้าทั้งหมด!”ผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทองถือเป็นของล้ำค่า โดยเฉพาะผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทองชั้นเลิศที่สามารถนำมาใช้แทนทองคำและเงินได้โดยตรงทุกปลายปี สำนักทอผ้าเจียงหนานจะส่งเครื่องบรรณาการเข้ามาอย่างน้อยห้าพันถึงหกพันพับ หากตีเป็นเงินคร่าว ๆ แล้วก็นับเป็นจำนวนที่มหาศาล!องค์หญิงเป่าหรงช่างเป็นที่โปรดปรานโดยแท้เหล่านางกำนัลและขันทีต่างเข้าใจดี มองสบตากันไปมาขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ขันทีเซี่ยผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้หย่งชางมาโดยตลอด ผู้ที่แม้ภูเขาจะถล่มลงมาก็ยังสามารถรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งได้กลับเร่งฝีเท้าเข้ามาในตำหนักชั้นใน ก่อนเอ่ยเรียกฝ่าบาทด้วยน้ำเสียงร้อนรนฮ่องเต้หย่งชางกำลังหยอกล้อองค์หญิงหมิงเฉิงอยู่ ได้ยินเช่นนั้นก็ขานรับเบา ๆ แล้วจึงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรขันทีเซี่ยขันทีเซี่ยไม่กล้าล่าช้า กราบทูลด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท... อ๋องฉีเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เกิดเรื่อง?!ฮ่องเต้หย่งชางพลันเก็บรอยยิ้ม วางองค์หญิงหมิงเฉิงลง พระพักตร์พ
องค์หญิงเป่าหรงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าบรรดาสนมคนสำคัญในวังบูรพาล้วนมารวมกันเกือบครบแล้ว แม้แต่เหล่าพระราชนัดดาและจวิ้นจู่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเว้นเพียงแต่เซียวอวิ๋นถิงที่ไม่อยู่นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะนั้นเอง ฮ่องเต้หย่งชางสูดลมหายใจลึก ยกพระหัตถ์ขึ้น ปรามรัชทายาทที่กำลังจะพูดให้เงียบลงพระองค์ตรัสถามหมอหลวงหูและคนอื่น ๆ ว่า “พวกเจ้าคิดว่าขาของอ๋องฉีเป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงหูและคนอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาไปชั่วขณะจนกระทั่ง ฮ่องเต้หย่งชางแผดเสียงถามด้วยความโกรธ “เป็นใบ้กันหมดหรือ? เราถามว่าขาของอ๋องฉีเป็นอย่างไร?!”ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนเงยหน้าขึ้นอย่างสั่นเทา “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ขาของอ๋องฉี... หักพ่ะย่ะค่ะ...”(ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุน เราไม่แน่ใจคำนี้นิดหน่อย แต่เห็นในชีทเป็นคำนี้น่ะค่ะ)ฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง ก่อนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเด็กคนนี้ที่เกิดมาในอ้อมแขนของเขา เด็กคนนี้ที่เขาทะนุถนอมมาสิบกว่าปี เด็กหนุ่มที่เคยกระฉับกระเฉงสดใส ภาพที่เขารบเร้าว่าอยากเรียนขี่ม้าราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่อยู่ดี ๆ ทำไมถึงขาหักเสียแล้ว?เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยกรีดร้องออกมา ก
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื