เซียวอวิ๋นถิงขมวดคิ้วแน่น: “หากว่าจวนฉู่กั๋วกงมีแผนการเช่นนี้จริง เรื่องก็ยิ่งยุ่งยากแล้ว บัดนี้ฮูหยินฉู่กั๋วกงคนเดิมสิ้นชีวิตไปแล้ว มิหนำซ้ำยังตายโดยไร้หลักฐาน สกุลเจียงเองก็เลือกยืนข้างจวนฉู่กั๋วกงเพื่อผลประโยชน์ ย่อมทำตามทุกสิ่งที่ฉู่กั๋วกงว่า” องค์หญิงใหญ่แค้นสกุลหลิ่วเข้ากระดูกดำ นางกัดฟันกรอดพลางแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบ: “ช่างลุ่มหลงในความรักเสียจริง เพื่ออนุภรรยานอกเรือนคนนั้น เขาถึงกับสังหารภรรยาและบุตรีสายตรง บัดนี้ยังคิดจะป้ายสีบุตรีสายตรงอีก แม้แต่บุตรีแท้ ๆ ของตนเองยังไม่รู้จัก เดรัจฉานสิ้นดี!” หากเก่งนักก็ไม่ต้องแต่งงานกับนางเจียงตั้งแต่แรกสิ เหตุที่สมรสกับนางเจียง ในตอนนั้นก็เป็นเพราะเห็นแก่อำนาจและบารมีของสกุลเจียง ต่อมาเมื่อสกุลเจียงตกอับ ก็ปฏิบัติกับภรรยาเอกเช่นนี้ ช่างเลวทรามสิ้นดี! แต่นอกจากด่ากราดแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี ทว่าชีหยวนกลับเคาะโต๊ะพลางเอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า: “พวกเขาพูดว่าอะไรก็ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ? หากข้าบอกว่าข้าเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ พวกเขาก็ต้องก้มกราบสักการะข้าแล้วสิ?” ..... พูดกันอยู่ดี ๆ ชีหยวนพลันโพล่งประโยคแบบนี้ออกมา ทำใ
ภายในวังหลวง พระชายาหลิ่วเกร็งไปทั้งตัว ทั่วร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด สวรรค์ย่อมรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานางต้องอดทนอย่างไรบ้าง ขณะที่ถูกไล่ล่า นางต้องอุ้มท้องโต ๆ วิ่งหนีตายกลางฤดูหนาวซ่อนตัวอยู่ในไหดองสุราของคนอื่น เปียกชุ่มโชกไปทั้งร่างกาย จนเกือบแข็งตาย ต่อมาท่ามกลางหิมะตกโปรยปรายภายใต้การคุ้มกันของคนสนิท นางได้ให้กำเนิดบุตรชายในเรือนของชาวบ้านกลางหุบเขา และยังต้องซ่อนตัวหลบหนีจากการไล่ล่าที่ไม่หยุดพัก ท้ายที่สุด พวกเขาก็หลบหนีไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองเจียงซีอันไกลโพ้น ซ่อนตัวโดยการปกปิดชื่อแซ่ แต่กระนั้นก็ยังเกือบถูกจับได้หลายครั้ง นางคิดว่าชีวิตมันเลวร้ายพอแล้ว ทว่าต่อมา ตอนที่บุตรชายวัยได้หนึ่งขวบกว่าเกิดอาการตัวร้อนไข้ขึ้นสูงไม่หยุด เพราะไม่สามารถหาหมอที่ดีมารักษาได้ จึงถูกพิษไข้เล่นงานอย่างสาหัสจนกลายเป็นเด็กสติปัญญาบกพร่องไป หลายปีที่ผ่านมา นางอาศัยเพียงแค่ลมหายใจประคองชีวิตให้รอดต่อไปได้ นางอยากจะถามกลับ ถามต่อหน้าฉู่กั๋วกง แม้แต่พยัคฆาดุร้ายยังไม่กินลูกของมัน แล้วเหตุใดเขาถึงได้เลวทรามต่ำช้าจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้? นางอยากจะถามสักคำ ว่าเหตุใดต้องทำกับนาง
เขาแสดงท่าทางเวทนา: “เดิมข้าก็คิดว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้กับตัวจนเข้าโลง ถือว่าเห็นแก่ความผูกพันฉันพ่อลูกของพวกเรา แต่ใครเล่าจะทราบ ใครเล่าจะทราบว่าบัดนี้ท่านกลับฟื้นฝอยสืบเรื่องที่ข้ามีอนุนอกเรือนและให้กำเนิดบุตรธิดา ข้าก็ได้แต่จำใจต้องพูดความจริงออกมา” เขาเอ่ยพลางคุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน: “ฝ่าบาท เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ นางเจียงในตอนนั้นก็ทราบเรื่องนี้ ดังนั้นนางถึงได้เต็มใจรับทั้งจิงหงและหว่านชิวมาเลี้ยงดูสั่งสอนภายใต้ชื่อของนาง…” คำพูดของเขาหนักแน่นมั่นใจราวกับเป็นเรื่องจริงไม่ผิดเพี้ยน พระชายาหลิ่วโกรธจนแทบกระอักเลือด สองคนนี้ คนหนึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดนางอีกคนก็เป็นลุงสายเลือดเดียวกับนาง บัดนี้กลับรวมหัวกันชี้กวางเป็นม้าบิดเบือนความจริง กลั่นแกล้งสตรีผู้อ่อนแออย่างนาง ข่มเหงรังแกเกินไปแล้วจริง ๆ! นางผินศีรษะมองไปทางฮ่องเต้หย่งชาง: “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์เชื่อพวกเขาหรือเพคะ?” ฮ่องเต้หย่งชางอึดอัดหนักใจยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะมีความผูกพันลึกซึ้งกับพระชายาหลิ่ว และสงสารที่พระชายาหลิ่วต้องทนทุกข์ยากลำบากมานานหลายปีเพียงนี้ ทว่าขณะเดียวกัน เขาเองก็มีความสัมพันธ์อั
องค์หญิงใหญ่กุมมือฮ่องเต้หย่งชางไว้ด้วยสองมือ ออกแรงบีบแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มใบหน้าซีดขาว: “เสด็จพี่ หม่อมฉันขอร้องพระองค์ หลายปีที่ผ่านมานี้หม่อมฉันไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากพระองค์เลย แต่ครั้งนี้หม่อมฉันขอร้องพระองค์ ได้โปรดปกป้องราชบุตรเขยและจิ่นถางของหม่อมฉันด้วยเพคะ!” นางเอ่ยพลางน้ำตาไหลพรากดังฝนเทลงมา ทำให้ฮ่องเต้หย่งชางอดรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมาไม่ได้ เขาเอ่ยด้วยเสียงขรึม: “เจ้าวางใจ หมิงอันกลับมาแล้ว อีกไม่นานเราจะให้คนไปรับพวกเขากลับมา” ไม่เพียงลู่หมิงอันอยู่ที่เขตชานเมือง โอรสของเขาก็อยู่ที่เขตชานเมืองด้วย ถึงแม้ว่า ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะสติปัญญาบกพร่อง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา! พระชายาหลิ่วมององค์หญิงใหญ่ด้วยความตื่นตะลึง ภายในใจเต็มไปด้วยความว่างเปล่า อดไม่ไหวเอื้อมมือไปหมายจะดึงปิ่นบนศีรษะออก นางยังคาดหวังอะไรได้อีกหรือ? ฮ่องเต้หย่งชางก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เข้าข้างนางแล้ว นางกลับมาคราวนี้ มิเพียงสิ้นหนทางแก้แค้น แม้แต่ชาติกำเนิดตนเองยังถูกปฏิเสธ กลายเป็นตัวตลกไปโดยสมบูรณ์แล้ว ความทุกข์ทรมานที่นางเผชิญมาตลอดหลายปีทั้งหมดคืออะไร? เ
ฉู่กั๋วกงกำลังรอคอยเสียงนี้อย่างยิ่งยวด ครั้นพ้นออกจากวังหลวงแล้ว ก็กวักมือเรียกคนสนิทเข้ามา จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยเสียงแผ่วเบา ส่วนพระชายาหลิ่วในยามนี้กำลังมององค์หญิงใหญ่ด้วยความประหลาดใจ นางเดินทางกลับมาพร้อมลู่หมิงอันโดยตลอด ย่อมรู้ดีว่าลู่หมิงอันไม่ได้มีอาการความจำเสื่อมอะไร บัดนี้องค์ใหญ่กลับตรัสเช่นนี้… ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่พลันหันไปส่งสายตาให้พระชายาหลิ่ว อีกด้านหนึ่ง ชีหยวนได้พบกับลู่หมิงอันแล้ว นางมีเซียวอวิ๋นถิงเป็นผู้รับประกัน อีกทั้งยังมีสิ่งยืนยันที่ได้รับมาจากองค์หญิงใหญ่ กอปรกับเป็นบุตรีของชีเจิ้น การจะได้รับความเชื่อใจจากลู่หมิงอันมิใช่เรื่องยาก ได้ฟังคำพูดของนางจบ ลู่หมิงอันจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน: “ดังนั้น ยามนี้เจ้าต้องการเอาข้าไปขายหรือ” ในเมื่อจงใจแพร่งพรายข่าวออกไปว่าเขา ‘ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว’ ต่อจากนี้หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นแล้วพวกลู่หมิงฮุยจะต้องหาทางสังหารเขาให้ได้ทุกวิถีทางเพื่อกำจัดภัยในอนาคตแน่ สำหรับจุดนี้ ชีหยวนยอมรับอย่างตรงไปตรงมา: “ต้องขออภัยท่านราชบุตรเขยด้วย เพียงแต่ ท่านต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีเพียงนี้แล้ว ไม่อยาก
ราชบุตรเขยลู่เดิมเตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่ากลับมาต้องตายแน่ ๆ ถึงอย่างไรภายในใจเขาก็ทราบดี ลู่หมิงฮุยในยามนี้ดุจอาทิตย์กลางเวหา จวนฉู่กั๋วกงในยามนี้ก็รุ่งโรจน์ดุจอาทิตย์กลางเวหาเช่นกัน แม้ว่าเขาจะอาศัยที่หมู่บ้านภูเขาในเมืองเจียงซีอันห่างไกล แต่กระนั้นก็รู้ว่าเมืองหลวงในยามนี้คนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดก็คือเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยและอ๋องฉีผู้เป็นโอรสของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย ชินอ๋องโดยทั่วไปปกครองเมืองศักดินา มีองครักษ์คุ้มครองสามหมื่นนายก็นับว่าสูงเทียมฟ้าแล้ว ทว่าอ๋องฉีหรือ? วัยเพียงไม่กี่ขวบปีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง ได้รับเมืองศักดินาที่อุดมสมบูรณ์รุ่งเรือง อีกทั้งยังได้รับการเพิ่มกำลังองครักษ์จำนวนห้าหมื่นนายเป็นกรณีพิเศษด้วย ราชบุตรเขยลู่มิใช่สามัญชนคนธรรมดา และเป็นเพราะมีความรู้มาก ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าตนเองกลับมาคราวนี้จะต้องพบอุปสรรคแสนสาหัสแน่ ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า การล้างแค้นจะเริ่มเปิดฉากในลักษณะเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะเขาห่างราชสำนักมานานเกินไปกระมัง จึงตามไม่ทันแนวทางจัดการปัญหาของหนุ่มสาวสมัยนี้แล้ว? ไฉนเซียวอวิ๋นถิงกับชีหยวนถึงได้คุยเรื่องฆ
ผู้มาเยือนมีเจตนาร้าย ชีหยวนชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าโรมรันกลางฝูงชนโดยไม่มีหยุดชะงัก ลู่หมิงอันนับว่าได้เห็นฝีมือการขี่ม้าของชีหยวนกับตาแล้ว นางสามารถเคลื่อนไหวบนหลังอาชา ทั้งกระโดด ฟัน และจามกระบี่ ท่วงท่าทุกอย่างล้วนคล่องแคล่วพลิ้วไหวราวสายน้ำ ราวกับเติบโตบนหลังอาชาอย่างไรอย่างนั้น ใครบางคนตัดสินใจเด็ดขาด จามมีดยาวใส่ชีหยวนอย่างไม่สนชีวิต ลู่หมิงอันทนไม่ไหวตะโกนออกมาด้วยความตกใจ: “ระวัง!” หากมีดนี้จามลงไป เกรงว่าชีหยวนต้องเสียแขนข้างหนึ่งไปแน่ หากว่าจะหลบ ก็ต้องร่วงลงไป อาชาจำนวนมากเพียงนี้ คงได้เหยียบชีหยวนแบนอย่างแน่นอน ชีหยวนกลับเอนตัวลงไปอีกด้านหนึ่ง มุดใต้ท้องม้า ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกฝั่ง และใช้กระบี่ฟันมือขวาของบุคคลผู้นั้นขาดในเสี้ยวพริบตา ..... ลู่หมิงอันตาเหลือกอ้าปากค้าง เซียวอวิ๋นถิงเคยเห็นกระบวนท่านี้มาก่อน แม้แต่คิ้วก็ไม่ขยับสักนิด เพียงแต่เร่งความเร็วในการสังหารคนให้ไวขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น คนกลุ่มนี้นับรวมแล้วมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ทั้งสามคนร่วมมือกันแล้ว ไม่นานนักพวกเขาก็คลี่คลายอุปสรรคตรงหน้าได้สำเร็จ ลู่หมิงอันอดมองไปทางชีหยวนไม
มือของเขาเมื่อยล้าเต็มที บัดนี้เนื่องจากใช้แรงสังหารคนมากเกินไปทำให้มือเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากข้อมือถึงข้อศอกแต่เขากลับไม่เคยรู้สึกสะใจมากเท่านี้มาก่อน!ใช่แล้ว!บุรุษอกสามศอกมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็ควรอิสระเสรีได้ปลดปล่อยเต็มที่เช่นนี้มีคนหมายจะสังหารเขา แล้วทำไมเขาจะฆ่าคนอื่นไม่ได้?!ทำไมเขายังจะต้องเป็นคนดีอยู่อีก?หากคนดีมีแต่จะถูกคนอื่นเหยียบย่ำ มีแต่จะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เช่นนั้นความยุติธรรมของโลกใบนี้อยู่ที่ใดเล่า?เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรเสียที่ไหนกัน!เขาเหมือนได้กลับไปเป็นชายหนุ่มผู้สู้สุดชีวิตในอดีต หันไปถามชีหยวนว่า “คนที่พวกนั้นสามารถส่งมาได้ ก็คงมีแค่นี้แล้ว”ดังนั้น ตอนนี้ลู่หมิงฮุยควรทำเช่นไร?ตระกูลลู่ ลู่หมิงฮุยอยู่ในห้องสือมาตลอดฮูหยินใหญ่ลู่เปิดประตูห้องหนังสือ ซักถามอย่างร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง? มีข่าวส่งกลับมาหรือยัง?”ไม่มีผู้ใดร้อนใจไปมากกว่านางอีกแล้วถ้าลู่หมิงอันกลับมาได้ เรื่องราวในครานั้นก็คงถูกเปิดโปงขึ้นมาหากองค์หญิงใหญ่ได้รู้ว่าคนที่ลงมือในตอนนั้นคือลู่หมิงฮุยและคนของเรือนใหญ่ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตคนใ
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว