ฮ่องเต้หย่งชางรู้สึกหนักอึ้งในใจ ก่อนหน้านี้ที่ตำหนิเซียวอวิ๋นถิงไปสองสามประโยค ก็เพียงเพื่อหาข้ออ้างให้สามารถพูดกับพระชายาหลิ่วได้เขาพูดเบา ๆ ว่า “หว่านหยิน วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เรามารับเจ้ากลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว”พระชายาหลิ่วเหลือบมองเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่ดูบอบบางอ่อนแออย่างเย้ยหยัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้แสดงความเกรงใจอีกต่อไปมีบางเรื่องที่ไม่อาจปล่อยผ่านได้ และไม่อาจใช้คำพูดคลุมเครือเพื่อให้จบไปนางเอ่ยถามอย่างเสียดสี “ครอบครัวพร้อมหน้าหรือ ให้ข้ากลับวังไปอยู่พร้อมหน้ากับสนมรักของท่านที่เป็นศัตรูฆ่ามารดาข้าอย่างนั้นหรือ?”คำพูดนี้กล่าวหนักเกินไปเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกองค์หญิงเป่าหรงบีบมือเบา ๆ นางก็เข้าใจทันทีว่าลูกสาวต้องการให้ทำอะไร จึงรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระชายาหลิ่วพื้นดินบนภูเขาแข็งกระด้างและขรุขระนางคุกเข่าลงเช่นนี้ คนรอบข้างถึงกับเผลอสูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บแทนแต่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้แสดงอาการลังเลเลยแม้แต่น้อย นางเงยหน้ามองพระชายาหลิ่ว น้ำเสียงขมขื่นและเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “พี่หญิง! ข้ารู้ว่าท่านเกลียดข้า ท่านเกลียดข้า
ชีหยวนยืนมองอยู่ข้าง ๆ อย่างไร้ความรู้สึกท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นแอบอยู่หลังต้นไทร สั่นเทิ้มไปทั้งร่างขอให้สวรรค์คุ้มครอง ขอให้สวรรค์คุ้มครอง ฮ่องเต้กับพระชายาทะเลาะกัน พระชายากับเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถึงกับลงไม้ลงมือกัน พวกเขาไม่ได้ตั้งใจมาดูเรื่องสนุกเลยสักนิด!พวกเขาไม่อยากเห็นเลยจริง ๆ!!ขณะนั้น เซียวอวิ๋นถิงสะกิดเรียกชีหยวน แล้วลดเสียงเอ่ยถามนาง “รู้สึกอย่างไร?”รู้สึกอย่างไร?ชีหยวนถึงกับครุ่นคิดอย่างจริงจังจากนั้นนางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การเสียสละตนเองและอุทิศทุกสิ่งเพื่อความรักเป็นเรื่องโง่เสมอ คำสัญญาของบุรุษจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อยังมีรักเท่านั้น”พอหมดรักแล้ว ก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปเซียวอวิ๋นถิงถึงกับตะลึงงันเขาไม่เข้าใจ เหตุใดหญิงสาวที่อายุเพียงสิบกว่าปีที่แทบจะไม่มีประสบการณ์ได้ใกล้ชิดกับบุรุษมาก่อน เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การพลัดพราก และความแค้นที่ซับซ้อนเช่นนี้ กลับสามารถมองทะลุปรุโปร่ง และกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาได้เขาอดไม่ได้ที่จะแย้งขึ้นมา “แต่ แต่ว่าคนที่รักกัน ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อกันและกัน มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหรอกหรือ?”ชีหยวนหันไปมองเ
ราชบุตรเขยลู่เองก็อดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อองค์หญิงใหญ่ “คราวนี้จะจัดการอย่างไร?”หากพระชายาหลิ่วเล่นงานแค่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาคือนางด่าฮ่องเต้หย่งชางไปด้วย!ดูจากท่าทางแล้วก่อนหน้านี้ที่อยู่ในวัง พระชายาหลิ่วยังคงมีความหวังกับฮ่องเต้หย่งชางอยู่บ้างจึงยังให้เกียรติพระองค์ไม่เช่นนั้น เหตุการณ์เช่นนี้คงเกิดขึ้นในวัง ไม่จำเป็นต้องรอให้ไล่ตามกันออกมาแล้วค่อยตบหน้ากันที่นี่องค์หญิงใหญ่ก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาเช่นกันฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ต่อให้ใต้หล้ากว้างเพียงใด ฮ่องเต้ก็ยิ่งใหญ่ที่สุด หากพระองค์กริ้วขึ้นมาจริง ๆ อย่าว่าแต่น้องสาวแท้ ๆ เช่นนางเลย ต่อให้ไทเฮาเสด็จมาก็คงช่วยอะไรไม่ได้นางรีบวิ่งเข้าไปหาฮ่องเต้หย่งชาง ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ทำสงครามเย็นกับฮ่องเต้หย่งชางอยู่ นางกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะอธิบาย “เสด็จพี่ ท่าน ท่านโปรดเห็นแก่พระชายาที่ต้องทุกข์ทรมานมาตลอดหลายปี...”องค์หญิงเป่าหรงพลันร้องไห้ขึ้นมา “เสด็จแม่! เสด็จแม่!”ในใจของนางเต็มไปด้วยโทสะพระชายาหลิ่วนางแพศยานี่ ถึงกับกล้าด่านางไปด้วย กล้าเรียกนางว่าลูกนางแพศยา!ตั้งแต่เด็กจนโต ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น
ท่านโหวผู้เฒ่าชีบีบแขนของชีเจิ้นแน่น หัวใจของเขาเหมือนจะหยุดเต้นชีหยวนถวายบังคมด้วยความคล่องแคล่ว เอ่ยอย่างไม่ถ่อมตนและไม่อวดดี “หม่อมฉัน ชีหยวนแห่งจวนหย่งผิงโหว”......ชีเจิ้นรีบกอดต้นไม้ข้าง ๆ ไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นลมไปแล้วองค์หญิงเป่าหรงแค่นหัวเราะเย็นชาในใจนางกำลังคิดอยู่เลยว่าจะให้นางแพศยาชีหยวนตายอย่างไรดี ไม่คิดเลยว่าโอกาสจะถูกส่งมาให้ถึงที่ดี ดีมากนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหมอเทวดาเซวียถูกจวนตระกูลหลิ่วกักตัวไว้ตั้งแต่เริ่มมีชื่อเสียง?ชีหยวนคงเรียนวิชาแพทย์จากหมอเทวดาเซวียในความฝันกระมังนางสะอื้นเบา ๆ พลางลูบเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วฉวยโอกาสนี้กระซิบอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่ อย่าฟื้นขึ้นมาเด็ดขาด ต้องไม่ฟื้น ต่อให้ฟื้นก็ต้องร้องว่าปวดหัว ต้องบอกว่าปวดมาก เข้าใจไหมเพคะ?”เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยบีบข้อมือขององค์หญิงเป่าหรงเบา ๆเซียวอวิ๋นถิงรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะกระเด็นออกจากอกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้เขามองชีหยวนค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะหลับตาลงชีหยวนนั่งยอง ๆ ลง เห็นว่าองค์หญิงเป่าหรงคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ จึ
ตามหลักแล้วการฝังเข็มย่อมรู้สึกเจ็บ แต่ความเจ็บปวดนั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นหมอผู้ชำนาญ บางครั้งยังไม่ทันรู้สึกเจ็บดี เข็มก็ถูกถอนออกเสียแล้วแต่การฝังเข็มของชีหยวนไม่ใช่การรักษาโรค แต่เหมือนต้องการเอาชีวิตคนมากกว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยกรีดร้องลั่นดั่งภูตผีแล้วลุกขึ้นมาจากพื้น ไหนเลยจะมีความสง่างามและความอ่อนโยนอยู่อีกนางนึกถึงคำพูดของเป่าหรงก่อนหน้านี้ ที่บอกให้นางแสร้งทำเป็นเจ็บปวด แต่ตอนนี้จะต้องแสร้งทำไปทำไมกัน! นางเจ็บมากจริง ๆ!เจ็บจนแทบขาดใจตาย!เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยกุมศีรษะตัวเองไว้ ส่ายหน้าอย่างรุนแรง ร่ำไห้โอดครวญว่าเจ็บปวดชีเจิ้นที่ยืนกอดต้นไม้อยู่กลับเรอออกมาในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ทุกคนต่างเพ่งความสนใจไปที่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย แต่ปากเจ้ากรรมนั่นของเขาดันเรอออกมาได้!ไม่ต้องรอให้ท่านโหวผู้เฒ่าชีจ้องเขม็ง เขาก็ตบปากตัวเองฉาดใหญ่ทันที!ใครใช้ให้ปากอยู่ไม่สุขกัน!แต่ แต่ถึงแม้เขาจะเงียบปากก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี!แม้ชีหยวนจะปลุกเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นมาได้ แต่ดูจากท่าทีของนางแล้ว เห็นทีจะไม่มีท่าทีซาบซึ้งขอบคุณชีหยวน ตรงกันข้าม กลับเหมือนกำลังหาทางใส่ร้ายว่านางรักษาไม่สำเร
ชีหยวนค่อย ๆ เก็บเข็มทองกลับไป ก้มหน้าลงเล็กน้อยปิดบังไอสังหารในดวงตา ก่อนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “กราบทูลฝ่าบาท อาการลมปราณติดขัดของพระสนมรุนแรงนัก หากไม่เร่งกระตุ้นจุดลมปราณให้ไหลเวียน ทันทีที่ลมหายใจติดขัด เช่นนั้นนางอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องใช้วิธีรุนแรงมากหน่อยเพคะ”ถ้อยคำของนางมีเหตุผลและหลักฐานชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเช่นไร แต่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ฟื้นคืนสติแล้วนี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ฮ่องเต้หย่งชางไม่รอให้องค์หญิงเป่าหรงเอ่ยคำใด รีบถามชีหยวนต่อ “เช่นนั้น ตอนนี้อาการของพระสนมเป็นอย่างไร ดีขึ้นแล้วหรือไม่?”“หาไม่เพคะ” ชีหยวนถอนหายใจเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ พระสนมทรงโขกศีรษะจนแตก เดิมทีเลือดลมก็เสียสมดุล ภายหลังยังถูกความโกรธโจมตีหัวใจ นอกจากนี้ ระยะหลังมานี้ พระสนมมีภาวะอารมณ์อัดอั้น อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย จึงมักรู้สึกเจ็บบริเวณซี่โครงที่สองใต้กระดูกไหปลาร้าใช่หรือไม่เพคะ?”......ท่านโหวผู้เฒ่าชีตกตะลึงชีเจิ้นก็ตกตะลึงองค์หญิงเป่าหรงยิ่งตกตะลึงนางคนนี้มีฝีมือจริงหรือ!แต่ก่อนนางทำอะไรกันแน่?!ความสงสัยนี้ไม่ได้มีเพียงองค์หญิงเป่าหรงเท่านั้นที่อยากถ
ทันทีที่โทษลวงเบื้องสูงสี่คำถูกเอ่ยออกมา ขาของชีเจิ้นก็ถึงกับอ่อนแรงแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังพยายามรักษาท่าทีให้มั่นคง สมกับฐานะของท่านโหวแห่งจวนโหวท่านโหวผู้เฒ่าชีสูดลมหายใจลึก มองไปที่ชีหยวน “แม่หนูหยวน ครั้งนี้อันตรายไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ปู่หวังว่าเจ้าจะคิดทบทวนให้ดีก่อนลงมือ ตระกูลชีทั้งครอบครัว ทั้งตระกูลขึ้นอยู่กับเจ้า ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว!”เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถของชีหยวนเลยตอนนี้ ฮ่องเต้หย่งชางก็เหมือนยื่นดาบให้ชีหยวนกับมือแล้วหากชีหยวนคิดจะสังหารเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยจริง ๆ แค่ฟันครั้งเดียวก็จบเรื่องทว่า เช่นนั้นคนของตระกูลชีและตระกูลชีก็จะพินาศไปด้วยผู้เฒ่าดูเหมือนจะชราลงไปในพริบตา ไม่ใช่ผู้นำครอบครัวที่เคยตัดสินใจเด็ดขาด ลูกหลานต้องคอยเชื่อฟังทุกคำพูดอีกต่อไปแล้วชีหยวนมองเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะพูดเพียงสองคำว่า “วางใจ”พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไปทันทีชีเจิ้นหน้าซีดเหมือนคนร้องไห้ “จะวางใจได้อย่างไรล่ะ?! ท่านพ่อ…… ตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”ท่านโหวผู้เฒ่าไม่สั่นอีกต่อไปแล้ว แม้แต่น้ำเสียงกลับมาหนักแน่นกว่ามาก “เข้าไปรอที่เรือนกรรมฐาน! ข้าเชื่อในตัวนาง!”นางบ
“ขอบคุณ แต่ข้าไม่ต้องการ!”ชีหยวนปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและหนักแน่น “ถ้าข้าน้อยเป็นท่าน ตอนนี้ข้าน้อยจะไปอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาทกับพระชายาหลิ่วเสีย ท่านอ๋องมิต้องห่วง ข้าน้อยจะไม่ตายหรอก ข้าน้อยไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ”เขาเชื่อก็บ้าแล้ว!เซียวอวิ๋นถิงทั้งโกรธ ทั้งร้อนใจ แต่สุดท้ายก็ได้แต่สูดลมหายใจลึก “ระวังตัวให้ดี! หากเรื่องไม่สำเร็จ ก็โยนความผิดทั้งหมดมาไว้ที่ข้าเอง!”……ชีหยวนหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย ก่อนจะโบกมืออย่างขอไปทีนางไปพบเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก่อนเมื่อเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยและองค์หญิงเป่าหรงเห็นหน้านาง ก็พากันทำหน้าบึ้งตึงทันทีโดยเฉพาะองค์หญิงเป่าหรง พอเห็นนางคุกเข่าทำความเคารพแล้วกำลังจะลุกขึ้น ก็ตวาดเสียงดัง “ข้าอนุญาตให้เจ้าลุกขึ้นแล้วหรือไร?! เจ้าไม่รู้กฎระเบียบเลยหรือ?”ชีหยวนเป็นคนรู้จักยืดหยุ่น นางไม่ใส่ใจอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรคุกเข่าก็ไม่ได้เสียหายอะไรทว่าองค์หญิงเป่าหรงกลับเดินเข้าไปหานาง เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนมือของนางนี่เป็นวิธีที่องค์หญิงเป่าหรงทำจนเคยชิน ไม่ว่าจะในยุคปัจจุบันหรือตอนอยู่ในวัง นางก็ชอบทรมานคนด้วยวิธีน
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี
อาภรณ์ชุดใหม่ในเรือนตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปีนี้นับเป็นปีที่หาได้ยากที่เหล่าดรุณีสกุลสวีจะได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปเที่ยวชมพระโพธิสัตว์ สกุลสวีทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างปีติยินดี แม้แต่ฮูหยินสวีก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งตัว ในปีนี้นางสวมเสื้อนวมสองชั้นที่ทำจากผ้าไหมฝูกวงซึ่งเป็นแบบที่ทันสมัยที่สุด ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนนกยูง มองแล้วดูหรูหราเจิดจ้าจับตา เดิมทีนางรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ก่อนออกจากเรือนยังถึงขั้นถามสวีฮว่านขึ้นมาเป็นพิเศษว่า “วันนี้เป็นวันที่สาม ต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ จุดธูปทอนน้ำมัน ทว่าก็มีบรรดาสตรีผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเราแต่งกายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?” หลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาสตรีในสกุลสวีได้ชื่อว่ามัธยัสถ์เรียบง่ายมาตลอด แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดูถูกดูแคลนพวกนาง ใครต่างก็รู้ว่าในเมืองหลวงสวีฮว่านขึ้นชื่อว่าสุจริตมือสะอาด งานเลี้ยงของคนอื่น งานสังสรรค์สุราของคนอื่น เขาไม่เคยไปร่วมเลยสักครา เพราะไปกินของคนอื่น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องเชิญคนอื่นมากินเลี้ยงตอบแทนกลับในภายหลัง ใต้เท้าสวีเคร่งครัดในความสุจร
“ไม่!” ชีหยวนส่ายหน้า มองเซียวอวิ๋นถิงตรง ๆ พลางถามว่า “ท่านอ๋อง หากต้องให้คนอื่นมาพูดแทนท่านปู่และท่านพ่อของข้าน้อย ตรงกันข้าม ขอให้คนของท่านยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจท่านพ่อและท่านปู่ของข้าน้อยด้วยดีกว่า!” เหล่าจ้าวคิดในใจ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? คุณหนูใหญ่สกุลชีเสียสติไปแล้วหรือ?! ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ในทันที การลักลอบค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายและการสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกขายชาติให้อริศัตรูถือเป็นแผนการอันชั่วช้าเลวร้ายมากเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ผู่อู๋ย่งทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็สามารถทำให้สกุลชีสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชางนับจากนี้ไปตลอดกาล แม้ภายหลังจะหาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้วก็ตาม ทว่าหากว่า หากว่าชีหยวนถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า และคนในราชสำนักล้วนพากันรุมโจมตีสกุลชี หวังทำลายสกุลชีให้สิ้นซากไป ทว่าต่อมากลับได้ค้นพบความลับในภายหลังว่าเงินตำลึงจำนวนมหาศาลถูกซุกซ่อนไว้ในเรือนเช่าของสกุลสวี ไหนจะคนเหล่านั้นที่เซียวอวิ๋นถิงได้ส่งไปที่จี้โจวแล้วด้วย… เช่นนั้นในตอนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตอื