แต่เฝิงอวี้จางกลับไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย เขาเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะให้อะไรเป็นคำอธิบายอะไร? เขากับเว่ยช่างอิ้งร่วมกันติดสินบนบ่าวในจวนองค์หญิงใหญ่ ลักลอบเข้าไปในเรือนในของผู้อื่นเอง ตายไปก็สมควรอยู่แล้ว!”ฮูหยินเฝิงเบิกตาโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ นางถึงกับคิดว่าตนเองหูฝาดไปแล้ว รีบกระชากแขนเสื้อเขาถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าว่าอะไรนะ?!”เฝิงอวี้จางไม่อยากเสียเวลาพูดจาไร้ประโยชน์อีกเขารู้สึกหงุดหงิดเต็มทีดังนั้น เขาจึงสะบัดมือฮูหยินเฝิงออกอย่างแรง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านยังมองไม่เห็นความจริงอีกหรือ? ความจริงก็คือ เราเพิ่งกลับจากยูนนาน แม้แต่รากยังไม่ทันปักมั่น อย่าได้คิดว่าพึ่งพาฮองเฮาแล้วจะสามารถทำอะไรได้! เจ้าคิดว่าฮองเฮาจะยอมแตกหักกับองค์หญิงใหญ่เพียงเพราะเฝิงจวิ้นหรือ?!”ริมฝีปากฮูหยินเฝิงสั่นระริก ในใจมีถ้อยคำมากมายอยากจะพรั่งพรูออกมา ทว่าเมื่อล่วงมาถึงยามนี้ กลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยได้แม้แต่คำเดียวเฝิงอวี้จางพลันหันศีรษะไปมองเฝิงไฉ่เวย “ท่านอ๋องกล่าวว่าพี่ชายของเจ้า บอกกับเจ้าล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะทำสิ่งใด จริงหรือไม่?”ไม่คิดเลยว่าอยู่ดี ๆ เขาจะวกมาถามตนเอง
พอชีหยวนได้ยินเสียงผิดปกติ ก็รีบเปิดประตูออกไปดู สิ่งที่เห็นคือภาพลิ่วจินที่เลือดกำเดาไหลพรากเต็มหน้าปาเป่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หัวเราะแห้ง ๆ มือหนึ่งก็ลูบก้อนปูดบนหัวที่ลิ่วจินเป็นคนฝากไว้ให้ พลางรีบเอ่ยปากอธิบายว่า “ข้าเผลอชนคางเขาเข้า พอจะลุกขึ้นมาเพื่อขอโทษ ก็เผลอไปโขกเข้าที่จมูกเขาอีกที…...”บาปกรรมแท้!เขาตบหน้าตนเองแรง ๆ ในใจไปสองที ช่างอดกลั้นไม่เป็นเสียจริง หากทนได้นิดเดียวล่ะก็ อาจได้ฟังคำพูดหวานหยดย้อยกว่านี้ก็ได้!เฮ้อ ละครดี ๆ ต้องมาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เขาร้อนใจจนเกาหูเกาหัวอยู่ไม่สุขชีหยวนปรายตามองเขาอย่างเย็นชา แล้วเหลือบมองลิ่วจินที่สีหน้าเรียบเฉย กำลังใช้ผ้าเช็ดเลือดกำเดาอยู่ ยิ้มออกมาเบา ๆ อย่างมีความหมายบางอย่างไม่รู้เพราะเหตุใด ปาเป่ากลับถูกรอยยิ้มนี้ของคุณหนูใหญ่ตระกูลรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวเขารีบตามชีหยวนอธิบายพัลวันอย่างอดไม่ได้ “คุณหนูใหญ่ขอรับ ข้าน้อยไม่ได้แอบฟังจริง ๆ นะขอรับคุณหนูใหญ่……”ลิ่วจินที่ตามอยู่ข้างหลัง พลันกลอกตาอย่างสุดกลั้นทำไมเขาถึงได้มีเพื่อนคู่หูที่โง่เง่าได้ถึงเพียงนี้!แต่ไม่นานนัก ปาเป่าก็เหมือนไม่รู้จักกลัว ยังไล่ตามชีหยวนถ
ฮูหยินรองตระกูลชีลอบถอนหายใจในใจขณะนั้นเอง ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกส่งเสียงเอี๊ยดดังมา เซียวอวิ๋นถิงรูปร่างสูงสง่ายืนอยู่หน้าประตู มองไปยังชีหยวนที่อยู่ในลานช่างแปลกยิ่งนัก ไม่ว่าในที่นั้นจะมีผู้คนมากมายเพียงใด สายตาของเขากลับมองเห็นชีหยวนเป็นคนแรกเสมอครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พอเห็นชีหยวนยื่นว่าวคืนให้หวังฉานแล้วก็เดินตรงมาหาตน ดวงตาของเขาจึงเปื้อนรอยยิ้มฮูหยินรองตระกูลชีเองก็เห็นเซียวอวิ๋นถิง นางรีบเร่งก้าวเข้าไปสองสามก้าว แต่พอเห็นเซียวอวิ๋นถิง หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างฉับพลันพระนัดดารัชทายาทเสด็จมาตระกูลเฝิงเป็นตระกูลฝั่งฮองเฮา เขาจะมาที่นี่คงมิได้มาซักไซ้เอาความแม่หนูหยวนกระมัง?ในขณะเดียวกัน ชีหยวนก็เดินมาถึงตรงหน้าเซียวอวิ๋นถิงแล้ว เลิกคิ้วขึ้นก็ถามว่า “ท่านอ๋องมเพื่อไต่ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือ?”เซียวอวิ๋นถิงส่ายศีรษะเบา ๆ “ไม่จำเป็นต้องถามอันใด เรื่องเป็นอย่างไร ข้ารู้กระจ่างทุกอย่างแล้ว”ชีหยวนรู้สึกในใจซับซ้อนขึ้นมาในทันที “ท่านไม่โกรธหรือ?”นางลงมือสังหารเฝิงจวิ้นโดยตรง โดยไม่ปล่อยช่องว่างไว้แม้แต่น้อยท้ายที่สุดตระกูลเฝิงมีพระคุณต่อเซียว
องค์หญิงใหญ่แค่นหัวเราะเยาะออกมา “ก็หวังว่าเขาจะมีสติจริง ๆ เถิด อย่าให้ถึงเวลาต้องหาเรื่องใส่ตัวเองก็แล้วกัน”แท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร ทุกผู้คนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจชีหยวนก็ส่งสาวน้อยผู้นั้นมาให้องค์หญิงใหญ่แล้วองค์หญิงใหญ่หาได้โกรธเคืองไม่ แลไม่เห็นว่าชีหยวนกระทำผิดแต่อย่างใดเดิมทีชีหยวนก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ผู้ใดคิดขัดข้องนาง ก็ต้องเตรียมใจรับเคราะห์เองนางก็ไม่ได้จงใจเล่นงานแค่เฉพาะตระกูลเฝิงเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น เฝิงจวิ้นผู้นี้ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงกับคิดวางยาชีหยวนเสียด้วย!นับว่าเขามีไหวพริบบ้างเล็กน้อย ไม่รู้ไปได้ยินมาจากที่ใดว่าชีหยวนมีวิชาเชิงยุทธ์อยู่บ้าง เลยกลัวว่านางจะหลบหนีได้ จึงคิดการรอบคอบนักทว่าน่าเสียดาย คนฉลาดกลับถูกความฉลาดของตัวเองทำให้เดือดร้อนองค์หญิงใหญ่กล่าวออกมาตรง ๆ โดยมิได้ปิดบังว่า “หากว่าข้าเป็นตระกูลเฝิง ตอนนี้คงรีบกลับจวน ปิดประตูสำนึกผิด กักบริเวณบุตรหลานทั้งหลายอยู่แต่ในบ้าน ให้พวกเขาเรียนรู้กฎระเบียบเสียใหม่ ไปอยู่ยูนนานเสียตั้งหลายปี ยังไม่เจริญขึ้นมาบ้างเลยหรือ?! ยังคิดว่าตระกูลเฝิงเป็นเหมือนสมัยนายท่านผู้เฒ่าเฝิงยังมีชี
ความโง่เขลานั้น บางครั้งก็เป็นความชั่วร้ายที่ร้ายแรงที่สุดดูอย่างเช่นเฝิงจวิ้นการได้คุยกับคนฉลาด มักทำให้วางใจได้มากกว่า เพราะอย่างน้อยคนฉลาดก็เข้าใจหลักการที่ว่า เมื่อทำผิดแล้วย่อมต้องชดใช้เซียวอวิ๋นถิงยื่นมือออกไปรับการคารวะของเฝิงอวี้จาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านลุง เรื่องนี้หากจัดการให้เป็นอุบัติเหตุได้ก็ย่อมดีกว่า ท่านว่าเช่นไร?”เฝิงอวี้จางจะตอบอะไรได้อีก?เขาย่อมเข้าใจนัยแฝงในคำพูดของเซียวอวิ๋นถิงดีอยู่แล้ว จึงหลับตาลงก่อนจะพยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นอุบัติเหตุ เด็ก ๆ เล่นกันเกินขอบเขต ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา แล้วก็พาลให้บ่าวชายของจวนองค์หญิงใหญ่ต้องพลอยซวยไปด้วย”เซียวอวิ๋นถิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยในที่สุดเขาก็เริ่มเห็นแววบางอย่างจากตระกูลเฝิงเสียทีใบหน้าเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยเสียงราบเรียบ “หวังว่าท่านลุงจะคิดอย่างที่พูด ไม่ใช่เพียงเพื่อตบตาอ๋องอย่างข้าเท่านั้น”เฝิงอวี้จางหลับตาอีกครั้ง ก่อนโค้งศีรษะต่ำลง “มิกล้า! ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย นับแต่นี้เป็นต้นไป กระหม่อมจะควบคุมคนในตระกูลให้ดี ไม่ให้พวกเขาทำสิ่งใดพลาดพลั้งไปอีก!”เซียวอวิ๋นถิง
สีหน้าของเฝิงอวี้จางเขียวคล้ำสลับซีดขาว เขาถูกเซียวอวิ๋นถิงตอกกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้ระบายความโกรธไม่พอ ยังต้องกล้ำกลืนความอัดอั้นเข้าไปอีกเต็มอก ศีรษะแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมาอยู่รอมร่อเซียวอวิ๋นถิงหาได้สนใจเขาไม่ เขาโน้มตัวลงไปมองเฝิงไฉ่เวย ก่อนจะกดเสียงต่ำเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณหนูเฝิง ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะไม่เห็นค่าของบุญคุณชีวิตนั่นจริง ๆ หรือแค่แกล้งทำเป็นไม่เห็น ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก ตอนนั้นข้าเองก็ยังเด็ก เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ ข้าเองก็เช่นกัน”“บุญคุณที่ว่า ข้าจะตอบแทนให้เจ้ากับตระกูลเฝิงเท่าที่ควรจะได้รับ” เขามองนางอย่างเย็นชา “ไม่ง่ายกว่าจะได้หวนกลับเมืองหลวง หากไม่อยากให้ทั้งตระกูลต้องโดนเนรเทศอีกหน ให้ทางฝั่งอวิ๋๋๋นหนานมีโลงศพเพิ่มอีกหลายใบละก็ นับแต่นี้ไป อย่าได้คิดแตะต้องชีหยวนอีก!”ทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ย ใบหน้าของเฝิงไฉ่เวยก็ซีดลงทีละส่วน จนกระทั่งซีดจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำนางอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีบุรุษคนนี้ คนที่นางเฝ้าคิดว่าในวันหนึ่งนางจะต้องแต่งให้เขามาตั้งแต่เด็ก บัดนี้เพื่อสตรีอื่น เขากลับมาเอ่ยคำเตือนที่รุนแรงเช่นนี้ บอกให้นางอย่าได้วางแผนทำร้ายสตรีนางนั้นอ