ฮูหยินผู้เฒ่าชีเมื่อคลายความกังวลลงแล้ว ก็จับมือฮูหยินรองแน่น พลางจ้องมองอีกฝ่าย “เมื่อคืนแม่หนูหยวนไม่ค่อยสบาย ถูกส่งกลับเรือนที่เมืองหลวงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับนางทั้งสิ้น”ฮูหยินรองชีเองก็นึกถึงชีหยวนขึ้นมาในทันทีจริง ๆตอนนี้ก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าย้ำหนักแน่นเช่นนี้ ใจของนางก็เต้นโครมครามขึ้นมา รีบกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วและแล้วไม่นานนัก องครักษ์เสื้อแพรก็เข้ามายังเรือนกรรมฐาน เริ่มสอบถามรายละเอียดการเข้าออกเรือนตอนกลางคืนของทุกคน แยกสอบถามเป็นรายคนฮูหยินรองชีได้รับคำกำชับจากฮูหยินผู้เฒ่า ก็ยืนยันหนักแน่นว่าชีหยวนเริ่มไม่สบายตั้งแต่หัวค่ำ และลงเขาไปนานแล้วคนตระกูลชีตอนนี้เป็นตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจใหม่ในราชสำนัก อีกทั้งเหล่าองครักษ์เสื้อแพรก็ล้วนได้รับคำสั่งมาแล้ว จึงไม่คิดจะทำให้เรื่องยุ่งยาก เพียงแค่สอบถามตามหน้าที่พอเป็นพิธี แล้วก็จากไปอย่างสุภาพฮูหยินรองเพิ่งรู้ตัวว่าฝ่ามือของตนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นนั่นคือองค์หญิงเชียวนะ!องค์หญิง!สิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!ในเวลานี้ ผู้ที่เกิดคำถามขึ้นในใจก็ไม่ใช่เพียงแค่ฮูหยิ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขันทีหลัวเดิมคิดดีใจว่าเมื่อคืนองค์หญิงเป่าหรงไม่ได้ก่อเรื่องอะไร ไหนเลยจะรู้ว่าเพียงก้าวเข้าไปในห้องกลับเห็นเงาร่างขององค์หญิงเป่าหรงลอยอยู่กลางอากาศ ก็ถึงกับตกใจล้มก้นจ้ำเบ้า ร้องลั่นออกมาจากนั้นเขาก็พรวดพราดวิ่งออกไป ชี้ไปทางเหล่านางกำนัล พลางตะโกนลั่นด้วยความโกรธจนสุดเสียงว่า “พวกชั้นต่ำ! องค์หญิงเกิดเรื่องร้าย พวกเจ้ากลับไม่รู้! จะมีพวกเจ้าไว้เพื่ออะไรกัน?!”เมื่อคืนขันทีหลัวกลัวว่าองค์หญิงเป่าหรงจะร้อนรนอยากรู้ผลลัพธ์เร็วเกินไป จึงมัวแต่ยุ่งกับการสืบข่าวสารข้างนอก ใครจะคิดว่าพอวันนี้กลับมา จะได้เห็นศพขององค์หญิงเป่าหรงองค์หญิงเป่าหรงแขวนคออยู่กับขื่อไม้ในห้อง ที่ใต้เท้าของนางยังมีม้านั่งที่ล้มอยู่ทุกอย่างล้วนเข้าข่ายว่าเป็นการจบชีวิตตนเองแต่ขันทีหลัวรู้ดีว่าองค์หญิงเป่าหรงไม่มีทางอยากตายแน่นอนนางเป็นคนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต หากนางจะตายก็ไม่มีทางตายง่ายดายถึงเพียงนี้ จะต้องลากเอาทุกคนที่นางพอจะจัดการได้ลงนรกไปด้วยกันแน่จะตายอย่างสงบเช่นนี้ได้อย่างไร?!พอคิดได้ว่าตลอดทั้งคืนก็ไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวจากฝั่งคนของพวกตงอิ๋งเลย หัวใจของขันทีหลัวก็หนัก
ชีหยวนคล้ายจะลังเลอยู่เล็กน้อย ครั้นเห็นนางลังเลใจ องค์หญิงเป่าหรงก็ร้องไห้ออกมาด้วยความจริงใจยิ่งกว่าเก่า “ให้อภัยข้าเถิด คุณหนูใหญ่ชี ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว…” นางเอ่ยพลาง ก็คล้ายจะสูญเสียสติ วิ่งโซซัดโซเซเข้าหาชีหยวน ชีหยวนเองก็มิได้ขยับ ทว่า เสี้ยวขณะเดียวหลังจากองค์หญิงเป่าหรงวิ่งเข้ามาใกล้ นางพลันยกข้อมือขึ้น เผยให้เห็นเกาทัณฑ์แขนเสื้อที่อยู่บนข้อมือของนางมาตลอด ได้ ในเมื่อพึ่งพาใครไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่นางสามารถพึ่งพาตนเองได้ก็เพียงพอแล้ว นางจะจบหายนะนี้ด้วยมือของตนเอง! นางไร้ซึ่งความลังเล กดกลไกยิงลูกดอกออกไปอย่างเลือดเย็น ชีหยวนหัวเราะออกมาด้วยความดูแคลน ยึดผ้าม่านไว้แล้วเหยียบเสาไปหนึ่งที เสี้ยวพริบตาก็เหินตัวลอยขึ้นจากพื้น หลบเกาทัณฑ์แขนเสื้อได้ทันเวลา จากนั้นก็ทิ้งผ้าม่านลงมาให้ตกข้างกายองค์หญิงเป่าหรง ทันใดนั้นนางก็หยิบสายคาดเอวฝังอัญมณีเส้นหนึ่งซึ่งนำออกมาจากเรือนกรรมฐานด้านข้างมาไว้ในมือ ก่อนจะจัดการคล้องคอองค์หญิงเป่าหรง องค์หญิงเป่าหรงผงะไป สองมือดึงรั้งสายคาดเอวไว้อย่างไม่อยากเชื่อ ชีหยวนกลับหัวเราะเสียงเย็น
ไม่สิ เปลี่ยนคำถาม ควรจะต้องถามว่า ใครเป็นคนพานางมาที่แห่งนี้มากกว่า?! นางเลื่อนมือขึ้นกุมลำคอไว้ ปกติไม่กลัวฟ้ากลัวดิน แต่ตอนนี้กลับถูกโยนมาในสถานที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน อย่างไรเสียก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาหน่อย ๆ กระทั่งนางได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วดังขึ้นมา ทั้งที่เสียงหัวเราะเบามาก แต่เมื่อได้ยินในใบหูขององค์หญิงเป่าหรงยามนี้กลับไม่ต่างจากเสียงอสนีบาตดังสนั่น ทำเอานางแทบสติแตกกระเจิงไปทั้งร่าง เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใจแล้วว่าจิตวิญญาณไม่มั่นคงที่หมอหลวงมักพูดเสมอหมายความว่าอย่างไร บัดนี้นางรีบลุกพรวดขึ้นมาอย่างร้อนรน พิงกำแพงด้วยความหวาดกลัวพลางมองไปยังเบื้องหน้าที่มีเบาะนั่งทรงกลมและกล่องรับบริจาควางอยู่ไม่ไกล ก่อนจะถามด้วยเสียงโหดเหี้ยมว่า “ใครกันที่พรางเป็นเทพแสร้งเป็นผีอยู่ตรงนั้น?” อันที่จริงชีหยวนก็มิได้มีนิสัยชอบทำให้คนตื่นตกใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผีอยู่แล้ว หากมิใช่เพราะเมื่อครู่ด้านนอกเรือนกรรมฐานขององค์หญิงเป่าหรงเต็มไปด้วยนางกำนัลและองครักษ์ ให้ลงมือสังหารที่นั่นก็เกรงว่ายากจะเลี่ยงไม่ให้เกิดเสียงดังออกไป นางก็คงจะไม่พา
นางนั่งรับลมอยู่ข้างหน้าต่าง รู้สึกปวดศีรษะและก็รู้สึกวิตกกังวลไปพร้อมกัน เหตุใดข่าวความเคลื่อนไหวยังมาไม่ถึงอีก? ชินอ๋องหวยเหลียงคงมิได้ถึงขั้นหมดสิ้นปัญญาจะรับมือกับสตรีเพียงนางเดียวได้กระมัง? ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน ขันทีหลัวก็มาถึงเสียที เมื่อเข้าประตูมาก็ส่งเสียงอุทานออกมาทันที ก่อนจะรีบหันไปตำหนินางกำนัลเอย่างร้อนรน “พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?! ให้องค์หญิงปล่อยผมสยายตากลมเย็นเช่นนี้ใช่ได้ที่ไหน พวกเจ้าไม่รู้จักห้ามปรามบ้างหรือ?!” ทันใดนั้นบรรดานางกำนัลต่างคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน องค์หญิงเป่าหรงกลับโบกมืออย่างหงุดหงิด “ไสหัวออกไปให้หมด!” บรรดานางกำนัลต่างรู้สึกราวกับได้รับอภัยโทษ รีบร้อนล่าถอยออกไปทันที ให้พื้นที่พวกเขาสองคนได้สนทนา ขันทีหลัวก็หยิบผ้าแห้งมาจากด้านข้างจากนั้นก็จัดการเช็ดผมให้องค์หญิงเป่าหรง องค์หญิงเป่าหรงถามด้วยเสียงเข้ม “ยังไม่มีข่าวส่งกลับมาอีกหรือ?” รู้ว่านางถามถึงอะไร ขันทีหลัวก็อธิบายด้วยเสียงที่เบาลง “ทูลองค์หญิง ทุกพื้นที่ล้วนมีแต่พวกสตรี มิหนำซ้ำบริเวณเชิงเขาก็ถูกปิดล้อม ถึงจะอยากสังหารชีหยวน ก็ต้องให้นางเดินทางพ้นประตูอารามลงเขาไปก่อนพ่ะย
แม้จะถึงช่วงปลายปีแล้ว แต่สภาพอากาศยังคงหนาวจัดเช่นเดิม ชีหยวนวิ่งผ่านทางลัดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ยามเฝ้าของที่แห่งนี้ได้รับคำสั่งจากไล่เฉิงหลงมาก่อนแล้ว ย่อมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นนาง พอวิ่งมาได้ช่วงสั้น ๆ กระทั่งถึงตีนเขาแล้ว ก็ไม่สามารถควบอาชาต่อได้อีกแล้ว นางสละอาชาทิ้งไป เพราะรู้ดีว่าอาชาศึกขององครักษ์เสื้อแพรล้วนแต่ได้รับการฝึกมาอย่างดี นางปล่อยไปตอนนี้ อาชาตัวนี้ก็สามารถหาทางกลับไปหาเจ้านายของมันเองได้ และจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นใดตามมา หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พระจันทร์ลอยสูงอยู่กลางอากาศแล้ว มองจากที่ไกล ๆ หน้าผาแห่งนี้ชัดเจนว่าเป็นแค่เนินลาดเล็ก ๆ เท่านั้น จนกระทั่งได้มายืนอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นความเล็กจ้อยของตนเอง องครักษ์ที่เฝ้าบริเวณนี้มีอยู่เบาบางที่สุดและนั่นก็มีเหตุผล อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ ต่อให้เป็นลิงปีนขึ้นไป ก็เสี่ยงจะพลัดตกลงไปในร่องน้ำกลางหุบเหวเช่นกัน ราวกับว่าเป็นการเตือนชีหยวน เศษหินก้อนหนึ่งก็ร่วงตกลงไปในหุบเหว กระแทกกับธารน้ำแข็งจนเกิดเป็นโพรง ชีหยวนอาศัยแสงจันทร์มองลงไป ก็เห็นกระแสน้ำเชี่ยวกร