เสียงพิณในม่านหิมะ

เสียงพิณในม่านหิมะ

last updateLast Updated : 2025-08-08
By:  BosskerrUpdated just now
Language: Thai
goodnovel18goodnovel
Not enough ratings
26Chapters
4views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

หิมะนั้นร่วงโรยเพราะสายลม แต่หัวใจของข้า เคลื่อนไหวเพราะเสียงพิณของเจ้า เสียงที่แม้ไม่ดีดสายพิณ ก็ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงจิต เสียงที่รอคอยว่าสักวันหนึ่งข้าจะได้รับการให้อภัย รอว่าสักวันหนึ่ง เราสองจะได้หวนกลับมาพบกันอีกครา...

View More

Chapter 1

บทที่ 1 คืนหิมะแรกกับเสียงพิณต้องห้าม

หิมะแรกของปีมาถึงเร็วกว่าทุกครา เร็วจนชาวบ้านในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงต่างกล่าวขานว่าเป็นลางร้าย บ้างว่าเพราะปีนี้ดวงดาวเรียงตัวผิดแผก บ้างก็ลือกันว่าเป็นเพราะเสียงพิณต้องห้ามกำลังจะกลับมา ทว่าในสายตาของลู่จิ่นซาน หิมะแรกนั้นกลับงดงามเหลือเกิน

ชายหนุ่มในชุดขนสัตว์สีเทานั่งอยู่บนหลังม้า บนไหล่ของเขามีเกล็ดหิมะโปรยปรายปกคลุมเป็นแผ่นบาง เขาเงยหน้ามองผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยละอองขาว ก่อนจะถอนใจเบา ๆ พลางมองไปยังทางลาดสู่ภูเขาหมอกเบื้องหน้า

“หิมะเช่นนี้ หากมิใช่เพื่อป่าหยก คงไม่มีผู้ใดยอมเดินทางผ่านเขตนี้”

เขาพึมพำกับตนเอง ริมฝีปากแดงเรื่อท่ามกลางความเย็นยะเยือก

เสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านซอกผาหิน พัดพาเอาเกล็ดหิมะลอยว่อน ราวกับมีเสียงกระซิบแว่วมากับสายลม เสียงที่คล้ายเสียงสายพิณขาดสะบั้น เสียงที่หาได้จากที่ใดมิได้ นอกจากภูเขาหมอกในคืนหิมะแรกเช่นนี้

“เจ้าก็ได้ยินใช่หรือไม่?” จิ่นซานถามม้าคู่ใจอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคล้ายจะเหม่อลอย แต่วาววับไปด้วยบางอย่างที่คล้ายความหวาดกลัว

ม้าเงียบ แต่โลกกลับมิใช่เงียบเช่นนั้น

เสียงหนึ่ง เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน แว่วมาแตะหูเขา

เสียงพิณ...

จิ่นซานชะงัก หัวใจเต้นแรงโดยไร้เหตุผล

เสียงนั้นคล้ายจะดังมาจากยอดเขา ท่วงทำนองแปลกประหลาดไม่เหมือนเสียงพิณของชาวยุทธ ไม่เหมือนเสียงพิณที่เขาเคยได้ยินในงานราชสำนัก และมิใช่แม้กระทั่งเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านที่เขาเติบโตมา เป็นเสียงที่เหมือนจะมาจากอีกภพหนึ่ง

“ใครเล่นพิณในคืนหิมะเยี่ยงนี้?” เขาพึมพำ ลมหายใจรินไอขาวออกมาจากปาก

ดวงตาของเขาไล่มองไปตามแนวสันเขาที่สูงชัน และแม้หิมะจะขาวโพลนจนบดบังสิ่งใดเกือบหมด แต่เขากลับเห็นร่างหนึ่ง ร่างที่เลือนรางยิ่งกว่าเงา ยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ราวกับผู้ใดเนรมิตขึ้นมา

มือเรียวยาวของนางวางลงบนพิณไม้สีดำสนิท สายพิณทั้งเจ็ดส่องประกายสีเงินในยามต้องแสงจันทร์ ลู่จิ่นซานนิ่งงัน เขาลืมแม้แต่การหายใจ

เมื่อสายพิณแรกถูกดีด เสียงนั้นก็แทรกผ่านหิมะ แทรกผ่านผืนลม และพุ่งเข้ามาถึงหัวใจ

เขาเคยได้ยินบทเพลงมากมาย แต่มิครั้งใดเลยที่เสียงจะไหลเข้าสู่หัวใจได้โดยไม่ผ่านโสตประสาท เสียงนี้มิใช่แค่ได้ยิน แต่มันรู้สึกได้

หัวใจเขาบีบรัด ความทรงจำพร่าเลือนหลายฉากแล่นเข้ามาในห้วงคิด ภาพสนามรบ ภาพหญิงสาวในชุดขาว ภาพเปลวไฟ และเลือดที่สาดลงบนสายพิณ จิ่นซานทรุดเข่าลงบนหิมะโดยไม่รู้ตัว

“นี่มัน อะไรกัน...” เขากุมอก รู้สึกเจ็บจี๊ดราวกับมีคมดาบบาดจากภายใน

เพลงยังไม่จบ แต่จังหวะสะดุดกะทันหัน ราวกับผู้ดีดพิณหยุดไปชั่ววินาที แล้วท่วงทำนองก็เปลี่ยน จากอ่อนโยนเป็นกดดัน จากเศร้าโศกเป็นเยียบเย็น ราวกับหิมะทั่วแผ่นดินพร้อมจะกลืนกินทุกอย่าง

“หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้!” เขาร้อง แต่เสียงของเขากลับอ่อนแรงเหลือเกิน

ลู่จิ่นซานฝืนลุกขึ้น มือสั่นเทาเมื่อจับสายบังเหียนม้า เขาตัดสินใจควบม้าขึ้นเขาไป เพื่อหาเจ้าของเสียงพิณ เขาจำไม่ได้ว่าเดินทางไปไกลเพียงใด หรือเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุด เขาก็มาถึงยอดเขาหมอก

ที่นั่นไม่มีใคร นอกจากพิณหนึ่งรางวางอยู่บนหิมะ ไม่มีรอยเท้า ไม่มีเงา ไม่มีแม้แต่ไออุ่น เขาเอื้อมมือไปแตะพิณนั้น ทันใดนั้น เสียงกระซิบหนึ่งแว่วเข้ามา

“อย่าแตะ เจ้ายังไม่พร้อมจะจำ...”

เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี อ่อนหวานและเศร้าสร้อย ราวกับน้ำตาที่รินไหลใต้ม่านหิมะ

จิ่นซานชะงัก ถอนมือกลับอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะหันขวับไปทางต้นเสียง

ที่นั่น ไม่มีใคร แต่สายลมยังคงพัด ท่วงทำนองยังคงอยู่ในหัว และหิมะยังคงโปรยปราย

เสียงในหัวเขาเงียบลง ทว่าเงาของคำพูดเมื่อครู่ยังคงก้องกังวานอยู่ในใจ

“อย่าแตะ เจ้ายังไม่พร้อมจะจำ...”

ลู่จิ่นซานยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ สายลมหอบเอาเกล็ดหิมะปะทะใบหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความงุนงงและคลางแคลง หากแต่ในขณะเดียวกันกลับมีบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจที่อบอุ่น

ใช่แล้ว อบอุ่น ทั้งที่รอบกายคือหิมะหนาวเหน็บ ทั้งที่ลมพัดกระหน่ำจนชุดขนสัตว์ไม่อาจต้านทานได้

เขาก้มลงมองพิณไม้ดำเบื้องหน้าอีกครั้ง พิณนั้นเยือกเย็นราวกับสลักจากน้ำแข็ง แต่ในแววตาของลู่จิ่นซานกลับมีแสงอ่อนโยนฉายวาบอยู่แวบหนึ่ง

“พิณเช่นนี้ มีอยู่จริงในใต้หล้านี้หรือ?” เขาพึมพำเบา ดวงตาฉายความตกตะลึงและหลงใหลไปพร้อมกัน

พิณนั้นดูไม่เก่า หากแต่เต็มไปด้วยลวดลายโบราณ ตัวพิณทำจากไม้ดำไม่มีเสี้ยนเงา สายทั้งเจ็ดทอประกายสีเงิน แม้ไม่มีผู้ดีด แต่เสียงสะท้อนของบทเพลงเมื่อครู่ยังแว่วคล้ายเงาลม

หรือแท้จริงแล้ว มิใช่แค่เสียงสะท้อน แต่เป็นความทรงจำที่ยังหลงเหลือ?

ลู่จิ่นซานย่อตัวลง มือนั้นสั่นเล็กน้อยขณะวางลงบนขอบพิณ เย็นเยียบ ราวกับสัมผัสกับความตายที่แช่แข็งไว้

ทันใดนั้น...

“เจ้าช่างดื้อรั้นนัก”

เสียงหญิงสาวเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงในหัว แต่กังวานอยู่เบื้องหลัง จิ่นซานหันขวับไปโดยพลัน

สายลมพัดรุนแรงขึ้นหนึ่งช่วง ทว่าภายใต้ม่านหิมะ เขากลับเห็นเงาร่างบางในชุดขาวคลุมหน้าด้วยผ้าบางบางดุจหมอก สตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นสนโบราณ ใบหน้ามองไม่ชัด มีเพียงสายตาคู่นั้นที่มองตรงมายังเขา ลึกซึ้งดั่งผืนน้ำ แฝงความโศกเศร้าอันไร้คำอธิบาย

“เจ้าคือ...เจ้าของพิณนี้หรือ?” เขาถาม

“พิณนี้มิใช่ของข้า...” นางตอบเสียงเบา “...แต่ข้าคือผู้ดีดมัน”

“เสียงของเจ้า...” ลู่จิ่นซานนิ่งไป “ข้าฟังแล้ว ราวกับหัวใจจะหยุดเต้น”

“เจ้าควรหยุดฟังมันตั้งแต่ท่อนแรก”

“ข้าไม่อาจทำได้ ข้ารู้สึกว่า ข้าเคยได้ยินมันมาก่อน”

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าจำไม่ได้หรอก”

“หมายความว่าอย่างไร?”

เขาขยับเข้าใกล้ แต่สตรีตรงหน้าเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย แววตาเตือนสติและห่างเหินอย่างน่าประหลาด

“อย่าเข้าใกล้” นางกล่าว

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะข้ามิใช่คนในโลกนี้”

จิ่นซานชะงักไป หัวใจเต้นสะดุดเล็กน้อย

“นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร...”

“กลับไปเสีย” น้ำเสียงของนางเย็นเยียบลงเล็กน้อย “เจ้าไม่ควรต้องมาได้ยินเสียงพิณนี้ในภพนี้”

ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ความรู้สึกประหลาดเริ่มตีวนในทรวงอก ความปวดร้าวที่ไร้ที่มา ความผูกพันที่ไร้เหตุผล ความกลัวที่จะสูญเสียในขณะที่เขาเพิ่งได้เจอ

“หากเจ้ามิใช่คนในโลกนี้ แล้วเจ้าคือใคร?” เขาถามเสียงแผ่ว

หญิงสาวเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเพียงคำเดียว

“เงา”

เมื่อกล่าวจบ นางก็หมุนกายหันหลังให้ ดวงตาของลู่จิ่นซานเบิกโพลง

“เดี๋ยวสิ...เจ้าชื่ออะไร?”

นางไม่ตอบ เพียงเดินฝ่าหิมะออกไป เสียงฝีเท้าก็เบาหวิวดั่งมิได้ย่ำลงบนหิมะจริง

จิ่นซานฝืนขยับก้าวตาม ทว่าร่างของหญิงผู้นั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับม่านขาวพร่า ราวกับละลายไปกับหิมะ

“หญิงลึกลับผู้นั้น...” เขาพึมพำ “เจ้าเป็นใครกันแน่...”

เสียงพิณในหัวเขาเงียบไปแล้ว แต่ใจเขายังสั่นไหวไม่หยุด ลู่จิ่นซานยืนเหม่อมองผืนหิมะเบื้องหน้าอยู่เนิ่นนาน เขาไม่อาจทราบได้ว่าผ่านไปกี่เค่อแล้วตั้งแต่เงาร่างนั้นหายลับไป มีเพียงความเงียบและเสียงลมหิมะที่ยังพัดพาราวกับกล่อมเขาให้หลับใหลไปพร้อมความลึกลับที่ยังหาคำตอบมิได้

“เงา...หรือว่านางหมายถึงวิญญาณ?” เขาพึมพำ

ในใจเขานั้นมีคำถามมากมายปะทุขึ้นเป็นระลอก หากแต่เมื่อมองพิณบนพื้นหิมะอีกครั้ง ก็เหมือนถูกสายใยบางอย่างเหนี่ยวรั้ง

มันยังคงอยู่ พิณนั้นยังอยู่ตรงหน้าเขา หากว่านางเป็นเพียงเงา แล้วสิ่งนี้เล่าจะเป็นเงาด้วยหรือ?

จิ่นซานย่อตัวลงช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมมืออีกครั้ง แตะลงบนขอบพิณอย่างแผ่วเบา ราวกลัวว่าสิ่งนี้จะละลายหายไปเช่นเดียวกับเจ้าของเสียงพิณเมื่อครู่

ไม้เย็นเฉียบยังคงสัมผัสได้ ชัดเจนจนเขารู้ว่าสิ่งนี้มิใช่ภาพลวงตา

“เช่นนั้น ข้าจะเก็บเจ้าไว้” เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกับสนทนากับพิณ

เขาหยิบพิณขึ้นมาถือไว้แนบอก แม้มันจะใหญ่และดูหนัก แต่กลับมิได้หนักอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับกันมันเบาราวกับสิ่งของที่มีเพียงเปลือก หรือสิ่งของที่บรรจุด้วยวิญญาณ เมื่อนำพิณขึ้นม้า ลู่จิ่นซานก็มองรอบกายอีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างรั้งเขาไว้ ไม่ให้จากยอดเขานี้ไปง่ายดายนัก

ต้นสนที่หญิงสาวยืนอยู่เมื่อครู่ยังคงเดิม หากแต่เมื่อมองนาน ๆ กลับเหมือนมีบางสิ่งเปลี่ยนไป หิมะที่ปกคลุมพื้นรอบโคนต้นไม้เบาบางกว่าจุดอื่น ราวกับมีบางสิ่งที่เคยหยัดยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนานพอให้หิมะหลบเลี่ยง

            ร่างนั้นอาจมิใช่เพียงเงา...

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
26 Chapters
บทที่ 1 คืนหิมะแรกกับเสียงพิณต้องห้าม
หิมะแรกของปีมาถึงเร็วกว่าทุกครา เร็วจนชาวบ้านในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงต่างกล่าวขานว่าเป็นลางร้าย บ้างว่าเพราะปีนี้ดวงดาวเรียงตัวผิดแผก บ้างก็ลือกันว่าเป็นเพราะเสียงพิณต้องห้ามกำลังจะกลับมา ทว่าในสายตาของลู่จิ่นซาน หิมะแรกนั้นกลับงดงามเหลือเกินชายหนุ่มในชุดขนสัตว์สีเทานั่งอยู่บนหลังม้า บนไหล่ของเขามีเกล็ดหิมะโปรยปรายปกคลุมเป็นแผ่นบาง เขาเงยหน้ามองผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยละอองขาว ก่อนจะถอนใจเบา ๆ พลางมองไปยังทางลาดสู่ภูเขาหมอกเบื้องหน้า“หิมะเช่นนี้ หากมิใช่เพื่อป่าหยก คงไม่มีผู้ใดยอมเดินทางผ่านเขตนี้”เขาพึมพำกับตนเอง ริมฝีปากแดงเรื่อท่ามกลางความเย็นยะเยือกเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านซอกผาหิน พัดพาเอาเกล็ดหิมะลอยว่อน ราวกับมีเสียงกระซิบแว่วมากับสายลม เสียงที่คล้ายเสียงสายพิณขาดสะบั้น เสียงที่หาได้จากที่ใดมิได้ นอกจากภูเขาหมอกในคืนหิมะแรกเช่นนี้“เจ้าก็ได้ยินใช่หรือไม่?” จิ่นซานถามม้าคู่ใจอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคล้ายจะเหม่อลอย แต่วาววับไปด้วยบางอย่างที่คล้ายความหวาดกลัวม้าเงียบ แต่โลกกลับมิใช่เงียบเช่นนั้นเสียงหนึ่ง เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน แว่วมาแตะหูเขาเสียงพิณ...จิ่นซานชะงัก หัวใจเต้นแ
last updateLast Updated : 2025-07-21
Read more
บทที่ 2 หญิงผู้นั้นคือใคร?
แสงจันทร์ทอดทอลงมาผ่านม่านหมอกบาง ทาบเงายาวของต้นไม้ลงบนทางลาดเขา ลู่จิ่นซานควบม้าลงจากภูเขาช้า ๆ พลางหันมองกลับไปยังยอดเขาอีกครั้งเสียงพิณเงียบไปแล้วจริง ๆ แต่หัวใจเขายังคงกังวานด้วยเสียงนั้นไม่จางคืนนั้น เขากลับถึงโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงช้ากว่าทุกครั้ง สภาพของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยหิมะ เสื้อคลุมชุ่มน้ำเย็นจนแทรกถึงกระดูก“อ้าวคุณชายลู่! ข้านึกว่าท่านหลงป่าหิมะไปแล้วเสียอีก!”เจ้าของโรงเตี๊ยมชราร้องทัก ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเขาแบกพิณดำลงมาจากหลังม้า“ไปที่ภูเขาหมอกมาหรือ? นั่นมัน หุบเขาต้องห้ามเลยนะขอรับ!”ลู่จิ่นซานพยักหน้าน้อย ๆ ไม่กล่าวสิ่งใด พลางเดินเข้าไปยังห้องพักชั้นบนสุด เมื่อถึงห้อง เขาวางพิณลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าต่าง ก่อนจะหย่อนกายลงกับเบาะผ้าทออย่างหมดแรง มือเรียวยาวของเขาเลื่อนปลายนิ้วแตะลงบนสายพิณหนึ่ง อย่างเบาที่สุดพลิ้ว~เสียงสายสะท้อนออกมาเบาราวเสียงหายใจ แต่กลับกระเพื่อมในอากาศเหมือนละอองหิมะที่ถูกปล่อยจากท้องฟ้าท่วงทำนองเพียงหนึ่งสาย ทำให้ภาพที่เขาเห็นบนภูเขากลับมาแจ่มชัดในหัวอีกครั้งหญิงสาวผู้นั้น...นางคือใครกันแน่?เหตุใดจึงมีพิณอันลี้ลับเช่นนี้อยู่กับนา
last updateLast Updated : 2025-07-29
Read more
บทที่ 3 นักพิณที่ไร้เงา
เสียงพิณนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว แม้ว่าแสงแดดอ่อนจะส่องลอดม่านหิมะลงมาแทนเงาจันทร์เมื่อคืน แต่ลู่จิ่นซานกลับไม่อาจแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความฝันหรือความจริงเขาถือบันทึกเก่าเล่มหนึ่งกลับมาที่ห้องของตนในโรงเตี๊ยม หนังสือที่ไม่มีชื่อในสารบบตำราใด หนังสือที่เจ้าของร้านยังกล่าวว่า “ไม่ควรมีผู้ใดเอ่ยถึงอีกต่อไป”บทเพลงต้องห้ามแห่งหิมะนั่นคือชื่อบนหน้าปก ซึ่งหมึกซีดจางลงราวถูกสายลมแห่งกาลเวลาเกาะกัดทีละหยดทีละหยด หากแต่ว่าเพียงแค่แตะปลายนิ้วลงบนปก เสียงพิณในหัวเขาก็กลับมากระเพื่อมทันทีเขานั่งลงข้างหน้าต่าง ห่มผ้าคลุมตัวแน่นหนา ก่อนจะเปิดอ่านหน้าตำราอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษแผ่นแรกปรากฏลายมือหวัดเล็ก ตัวอักษรเขียนด้วยหมึกแดงหม่น ราวกับผสมเลือดเข้าไป“ผู้ใดได้ยินเพลงนี้ในยามหิมะแรก จงรู้ไว้เถิด ว่าดวงวิญญาณเจ้าเคยข้องแวะกับมันในภพก่อน”“พิณนี้ มีเจ็ดสาย เจ็ดเสียง เจ็ดชะตา หากใครบรรเลงครบถ้วน หนึ่งชีวิตจะดับ หนึ่งคำสาปจะคลาย”จิ่นซานขมวดคิ้ว “หนึ่งชีวิตจะดับ...” เขาทวนในใจเขาไล่สายตาอ่านต่อ ภายในเป็นเรื่องเล่ารวบรวมจากยุคโบราณ บ้างอ้างว่าเป็นบันทึกจากแม่ทัพคนหนึ่ง บ้างกล่าวว่าเป็
last updateLast Updated : 2025-08-03
Read more
บทที่ 4 ความจริงของเสียงพิณในอดีต
สะพานกลางหิมะ เป็นสะพานไม้เก่าคร่ำที่ทอดข้ามลำธารแข็งตัวแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหมู่บ้านอวิ๋นหลิงกับแนวป่าทางเหนือ ว่ากันว่าในอดีตสะพานนี้เคยเป็นทางผ่านของขบวนเกวียนหลวง แต่ภายหลังเมื่อเส้นทางเปลี่ยน เส้นสะพานก็ถูกทอดทิ้งให้หิมะถมทับจนเหลือเพียงไม้ผุ ๆ กับราวจับที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งใสวาว แต่ยามนี้มันกลับดูเหมือนสถานที่ต้องมนตร์ลู่จิ่นซานยืนอยู่ปลายสะพานอีกฝั่งหนึ่ง หิมะยังคงร่วงเบา ๆ สลับกับเสียงน้ำแข็งแตกร้าวเบา ๆ ใต้ฝ่าเท้าเขารอ...และนางก็มาตามสัญญา...อวี้หลานในชุดขาวยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน เงียบงัน ไม่พูด ไม่ขยับ ไม่มีพิณในมือ แต่กลับคล้ายมีกลิ่นของเสียงพิณลอยคลุ้งรอบร่างนางวันนี้ นางไม่ได้ปิดหน้าอีก หากแต่หน้าของนางก็ยังเลือนรางเช่นเดิม ราวกับสวรรค์ยังไม่อนุญาตให้เขาจำลู่จิ่นซานเป็นฝ่ายก้าวขึ้นสะพานก่อน ฝีเท้าแต่ละก้าวช้าและมั่นคง หิมะดังกรอบแกรบใต้รองเท้าหนัง“ข้ามาแล้ว” เขาเอ่ย“ข้ารู้” นางตอบเรียบ ๆ “เจ้าคือผู้เดียวที่มาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภพใด”“ข้าหมายถึงครั้งนี้” จิ่นซานเอ่ยเบา “ในภพนี้ ข้าก็มา”นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “เหตุใดจึงดื้อดึง?”“เพราะข้าไม
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
บทที่ 5 ตำนานเพลงพิณหิมะต้องสาป
รุ่งสางของวันที่สาม หิมะยังไม่หยุดตก และดูจะไม่มีวี่แววว่าจะหยุดในเร็ววันท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านอวิ๋นหลิงปกคลุมด้วยม่านหมอกสีขาวอมเทา ราวกับสวรรค์เบื้องบนกำลังปิดฉากเวทีให้เสียงหนึ่งได้ดังก้องขึ้น เสียงที่ไม่ใช่จากธรรมชาติ หากเป็นเสียงแห่งความทรงจำลู่จิ่นซานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง กล่องพิณไม้ดำยังวางอยู่ตรงหน้า สายพิณเส้นแรก ปรากฏขึ้นแล้ว ไม่มีใครแตะ ไม่มีใครเปิดกล่องนั้น แต่มันกลับผุดขึ้นมาอย่างเงียบงัน คล้ายถูก “เรียกคืน” ด้วยเสียงบางอย่างในใจ“สายหนึ่ง…ลืม”เขาได้ยินคำนี้อีกครั้ง แม้ไม่มีเสียงใดพูด จิ่นซานยื่นมือออกไป ปลายนิ้วเกือบจะแตะสายพิณเส้นนั้น แต่แล้วกลับชะงักกะทันหัน กล่องพิณนี้มีบางอย่างอยู่ในนั้นที่ไม่ใช่เพียงเครื่องดนตรีเขาลุกขึ้น หยิบกล่องนั้นเข้าห่อผ้าอย่างแน่นหนา แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งตรงไปยังสถานที่เดียวที่พอจะให้คำตอบแก่เขาได้ที่นั่นก็คือหอจารึกหมอกจันทร์...หอจารึกหมอกจันทร์ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน เป็นเรือนไม้สามชั้นหลังใหญ่ที่ถูกสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ก่อน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครคือผู้ก่อตั้งบ้างว่าเป็นนักพรตผู้เร้นลับ บ้างว่าเป็นบัณฑิตสำนักหลวงที่ลี้ภัยมาอยู
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
บทที่ 6 ตำนานเสียงพิณก่อนคืนหิมะคลั่ง
หลังออกจากหอจารึก ลู่จิ่นซานไม่ได้กลับโรงเตี๊ยมในทันที หากแต่เดินทอดเท้าไปตามตรอกหิมะของหมู่บ้านอวิ๋นหลิง เงียบงันราวเมืองที่ถูกฝังอยู่ใต้ม่านขาวเขาเดินอย่างไร้จุดหมาย แต่หัวใจกลับมีเป้าหมายชัดเจนยิ่งนัก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าตำนานพิณต้องห้ามนั้นเกี่ยวพันกับเขาและอวี้หลานอย่างไรในภพก่อน และบทเพลงนั้นมีจุดจบเช่นใดเมื่อเดินผ่านศาลเจ้าร้างเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเล็ก ๆ ข้างหมู่บ้าน จู่ ๆ หูเขาก็แว่วเสียงบางอย่าง เสียงรัวสายพิณเพียงวูบเดียวแล้วเงียบลงเขาหยุดชะงัก หันมองรอบกาย ไม่มีผู้ใด ไม่มีรอยเท้า มีเพียงร่องรอยหิมะบาง ๆ ที่ไถลคล้ายกับมีเงาบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านไปก่อนหน้าเขาไม่นานเสียงนั้นมาจากในศาลเจ้า...ลู่จิ่นซานก้าวขึ้นบันไดไม้ผุอย่างระแวดระวัง เมื่อดันประตูไม้คร่ำคร่าเข้าไป กลิ่นอับของธูปเก่าและฝุ่นโบราณก็ลอยเข้าจมูกภายในศาลเจ้ามีรูปสลักเทพสวมหมวกพิณโบราณ มือข้างหนึ่งยกดีดสายพิณ มืออีกข้างแตะที่หน้าอกตนเอง บรรยากาศเย็นเยียบราวกับกาลเวลาไม่อาจเคลื่อนไหวภายในที่แห่งนี้ เขาเดินเข้าไปช้า ๆ แล้วก็เห็นสิ่งหนึ่งวางอยู่บนแท่นบูชามันเป็นแผ่นไม้ไผ่หนึ่งชิ้น...ลู่จิ่นซานหยิบมันขึ้นมาอย่า
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
บทที่ 7 ลมหายใจของสายพิณ
หิมะยังไม่หยุดตกในคืนที่สาม ชาวบ้านในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงเริ่มมีสีหน้าหวาดระแวง ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการจุดไฟเล่นในลานกลางหมู่บ้านเช่นทุกปีเมื่อหิมะแรกมาเยือน มีแต่แววตาเหลียวมองฟ้าอย่างหวาดกลัว ราวกำลังรอคอยบางสิ่งที่มองไม่เห็น หากใกล้เข้ามาภายในห้องพักของโรงเตี๊ยมชั้นบนสุด ลู่จิ่นซานจ้องมองกล่องพิณเบื้องหน้า สามสายปรากฏแล้วลืม...จำ...โทษ...และคืนนี้ เขารู้สึกได้ว่าสายที่สี่กำลังจะตื่นขึ้น!เขาไม่รู้ว่าการดีดแต่ละสายเกิดขึ้นเพราะฝัน หรือเพราะหัวใจเขาเริ่มยอมรับว่าอดีตคือเรื่องจริง แต่สิ่งที่รู้แน่ คือยิ่งเขาจำได้มากขึ้น เสียงของนางก็ชัดเจนมากขึ้นในหัว“อวี้หลาน…” เขาพึมพำ “เจ้ารอข้าอยู่ที่ใดกันแน่”ก่อนรุ่งสาง ลู่จิ่นซานกลับไปยังศาลเจ้าร้างอีกครั้ง เขาเชื่อว่าเสียงลมหายใจของพิณ คือเสียงของวิญญาณที่ยังไม่จากไป เมื่อเขาก้าวเข้าไปในศาลครานี้ กลับไม่พบแค่ความเงียบตรงกลางห้อง มีหญิงสาวในชุดขาวนั่งหันหลังให้ ร่างนางนิ่งงัน แต่กลิ่นของดอกเหมยและเสียงสายพิณที่ไม่ถูกรบกวนยังคงลอยล่องอยู่รอบกาย“เจ้ามารอข้าใช่หรือไม่” เขาถามหญิงสาวไม่ตอบ ลู่จิ่นซานย่อตัวลงเบื้องหลังเงานั้น ห่างเพียงไม่ถึ
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
บทที่ 8 หญิงผู้มีเสียงแทนดาบ
ยามรุ่งสางของวันที่สี่ หิมะไม่หยุดตก ทว่าในความหนาวเยือกนั้นกลับมีเสียงฆ้องดังก้องไปทั่วหมู่บ้านอวิ๋นหลิง“ราชโองการจากวังหลวง! ผู้ใดครอบครองพิณต้องห้าม จงมอบตนออกมา!”“มิฉะนั้นจะถือว่าคิดกบฏ!”ลู่จิ่นซานยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม ม่านหิมะเบื้องหน้าไม่ได้บดบังแววตาที่เงียบงันของเขาเลยแม้แต่น้อยเบื้องล่าง ทหารหลวงกว่าสิบคนกำลังตรวจค้นบ้านเรือนทีละหลัง พวกเขาสวมเกราะเงินดำปักตราดอกเหมยแดงบนบ่าตราของ “หน่วยหลิงอิ๋น” หน่วยลับที่ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ ไม่มีใครกล้าขัดขืน ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธ เขากำกล่องพิณแน่น ร่างไม่ไหวติงคืนนี้ สายพิณเส้นที่หกเริ่มสั่นขึ้นโดยที่เขายังมิได้สัมผัส“สายหก…รัก”ก่อนรุ่งสาง ฟ้ายังคล้ำ ลมหนาวตัดผ่านช่องหน้าต่างอย่างไร้ปรานี แต่ในอกเขากลับอบอุ่นร้อนผ่าว ราวเปลวเพลิงแห่งอดีตที่ยังคงลุกไหม้ไม่จาง เขารู้ว่าราชโองการครั้งนี้มิได้มีเป้าหมายแค่ “พิณ” หากแต่เป็น “ผู้ดีด” ต่างหาก ประตูห้องพักถูกเคาะแรงสามครั้ง“ลู่จิ่นซาน ท่านอยู่หรือไม่? ข้าคือหัวหน้าหน่วยหลิงอิ๋น ได้รับบัญชาให้นำท่านเข้าสู่เมืองหลวง!”เสียงนั้นเข้มแข็งแต่ไร้ความโกรธ มีเพียงน้ำเส
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
บทที่ 9 สะพานกลางหิมะกับบทเพลงที่ขาดหาย
หิมะเริ่มตกหนาในยามสาย ลู่จิ่นซานกับอวี้หลานออกเดินทางจากวังหลวงอย่างเงียบงัน โดยใช้ชื่อของตำหนักไป๋อวี้กงเป็นเหตุผลว่ากำลังบำเพ็ญสมาธิภายนอก เป็นสิทธิ์ที่นักดนตรีหลวงได้รับเมื่อเกิดแรงบันดาลใจหรือค้นหาท่วงทำนองใหม่ขบวนมีเพียงม้าสองตัว ไม่มีผู้ติดตาม เขตต้องห้ามที่ทั้งสองจะไปนั้นไม่ปรากฏบนแผนที่ของทางการ แต่มีในความทรงจำของอวี้หลาน ราวกับเป็นภาพสลักลึกที่ไม่มีวันจาง“ชื่อสะพานนั้นคืออะไรหรือ?” ลู่จิ่นซานถามขึ้น ขณะม้าเหยาะฝ่าแนวป่าสน“สะพานไป๋เสวี่ย” นางตอบเสียงเบา “สะพานหิมะขาว”“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากบันทึกใด”“ไม่มีใครบันทึกไว้” อวี้หลานทอดสายตาไปยังหิมะร่วง “เพราะมันเป็นสะพานที่ไม่ควรมีอยู่”ยามบ่ายหิมะโปรยปกคลุมทุกทาง และในที่สุด ทั้งสองก็เดินทางมาถึงเชิงเขาเตี้ย ๆ ซึ่งมองแทบไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เมื่อแหวกม่านเมฆออก ก็ปรากฏสะพานไม้เก่าที่ทอดยาวข้ามหุบเหวลึกสะพานนั้นไร้ราว ไม่มีเครื่องป้องกันใดเพียงแผ่นไม้บาง ๆ ถูกวางเรียง ราวกับเชื้อเชิญให้ผู้กล้าข้ามผ่าน หรือผู้หมดหวังปล่อยตนให้ตกลงปลายสะพานอีกฝั่งหนึ่งคือโขดหินสูงที่มีต้นเหมยต้นเดียวขึ้นโดดเดี่ยว ใต้ต้นเหมยนั้น มีแท่นหินส
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
บทที่ 10 กุญแจแห่งท่วงทำนอง
หิมะหยุดตกในรอบร้อยปี ท้องฟ้ายามเช้าสีฟ้าอ่อนจาง ๆ เจือแสงทอง ต้นเหมยต้นเดียวที่ปลายสะพานไป๋เสวี่ย กำลังผลิดอกทีละกลีบอวี้หลานนั่งสงบนิ่งใต้ต้นไม้นั้น สวมชุดขาวผืนเดิม มีรอยชื้นที่ปลายแขนเสื้อซึ่งปัดกลีบเหมยเมื่อคืนก่อนลู่จิ่นซานยืนอยู่ใกล้ ๆ มือยังคงแตะอยู่บนพิณเจ็ดสายที่เพิ่งสมบูรณ์ แววตาเขาเปลี่ยนไป เงาสงครามในอดีตคล้ายถูกลบเลือนทีละนิด แต่แล้ว เสียงหนึ่งในใจเขาดังขึ้นอีกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าท่อนสุดท้ายที่เจ้าเล่นเมื่อคืนนี้เคยเป็นอาวุธที่ลอบสังหารฮ่องเต้”เขาขมวดคิ้ว เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของอวี้หลาน แต่เป็นเสียงในความทรงจำ เสียงของชายชราในอดีตที่เคยเป็นอาจารย์ผู้สอนเขาเรียบเรียงเพลงครั้งแรกในวัยเยาว์“อวี้หลาน” เขาเอ่ยเรียก ขณะที่หญิงสาวยังหลับตานิ่ง“เจ้ารู้หรือไม่ว่า เพลงนี้ เคยถูกใช้เพื่อสังหารฮ่องเต้?”อวี้หลานลืมตาขึ้นช้า ๆ สายตานางสงบนิ่ง แต่มีบางอย่างในแววตาฉายประกายลึก“ข้ารู้” นางตอบเบา “แต่ข้าไม่เคยพูด เพราะข้าไม่แน่ใจว่าเจ้ายังจำได้มากเพียงใด”ลู่จิ่นซานนั่งลงตรงข้าม“ข้าจำได้เพียงว่า ข้าแต่งท่อนสุดท้ายขึ้นหลังสงครามจบ”“แต่ไม่รู้ว่าไยถึงกลายเป็นเพลงต้องห้ามของราชส
last updateLast Updated : 2025-08-07
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status