สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนางมองไปยังนางหวังด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ใบหน้ายิ้มแต่ภายในไม่ยิ้มพลางส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ยิ้มมาจากก้นบึ้ง ทว่าน้ำเสียงกลับยังมีความอ่อนโยน พลางตบไปที่มือของเซี่ยงหรงอย่างยิ้มแย้ม “ห้ามพูดจาส่งเดช! ท่านพี่อวิ๋นถิงของเจ้าเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่ ส่วนชีจิ่นก็เป็นไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง ทุกคนต่างก็รู้ดี”ไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง คุณชายตระกูลใหญ่คำเรียกขานสองชื่อนี้ ไม่ว่าชื่อใดก็รู้สึกว่าไพเราะเสนาะหู ทว่าเมื่อออกมาจากปากของฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงในตอนนี้ ไม่สามารถปิดบังกลิ่นอายที่มีนัยของการเหน็บแนมเอาไว้ได้เลยนี่แสดงให้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะมากเพียงใดนางหวังยิ้มไม่ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางกล่าวอย่างตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก “จะต้องเป็นเพราะเด็กน้อยไม่รู้ความเป็นแน่…”นางแทบจะร้องไห้เสียงดังภายในใจอยู่แล้ว!เจ้าโง่สองคนนี้! นางปฏิบัติต่อชีจิ่นอย่างสุดใจ ต่อให้รู้ว่านางไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ แต่ก็เป็นบุตรสาวที่นางเอ็นดูและปกป้อง นึกไม่ถึงว่าจะหันกลับมาใช้มีดแทงลงบนหัวใจของนางอย่างโหดเหี้ยม!ชีจิ่นอยู่ที่ตระ
ถ้าสมองของเขายังดีอยู่ ก็ควรรู้ว่าเขามีสถานะเช่นไร!ทว่าสุดท้ายนึกไม่ถึงว่าเขาจะกอดชีจิ่นไว้แล้วประท้วงเซี่ยงหรง บอกเซี่ยงหรงว่าคู่หมั้นไม่นับว่าเป็นอันใดได้! นี่มันหมายความว่ากระไรกัน?!พวกไม่มีสมอง!แต่งงานกับคนประเภทนี้ สู้แต่งงานกับหมูเสียยังดีกว่า!เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงกล่าวเช่นนี้ นางก็กล่าวออกมาอย่างหมดข้อสงสัยในทันที “ใช่เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ตระกูลชีช่างทำตัวเหมือนเด็กยิ่งนัก เรื่องเช่นนี้สามารถเอามาล้อเล่นได้กระนั้นหรือ?”ทั้งสองคนต่างก็พูดเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าได้พูดออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งต่อหน้าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านี้แล้วว่าตระกูลของพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลชีแม้แต่น้อยงานแต่งงานอันใดนั่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับอยู่แล้วนางหวังรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก ทว่าในเวลานี้พวกเขามีเหตุมีผล ส่วนนางกลับเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผลเสียเอง ย่อมมีความทุกข์ใจที่พูดออกมาไม่ได้อยู่แล้วทว่าในสถานการณ์นี้ ไม่ว่านางจะอธิบายอันใดก็เหมือนกับกำลังช่วยชีอวิ๋นถิงกับชีจิ่นอธิบายท้ายที่สุดนางออกมาจากตระกูลเซี่ยงได้อย่างไรนั้น นางจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จนกระทั่งรถม้าหยุดลง
นางหวังกลับเรือนของตนเองอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ให้หลิวจงมาหาอย่างหงุดหงิดพอหลิวจงเข้าประตูมา นางก็ถามใส่หน้าเขาในทันที “ข้ากำชับไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าห้ามให้นายน้อยออกจากจวนโดยเด็ดขาด?! พวกเจ้าทำงานอย่างไรกันแน่ ไยนายน้อยถึงได้ออกจากจวนได้เล่า?!”ช่างไร้สาระเกินไปแล้ว!แล้วดันมาเป็นวันนี้! แล้วยังดันมาถูกเซี่ยงหรงพบเข้า!นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากชีเจิ้นรู้เรื่องนี้เข้า จะเดือดดาลมากสักเพียงใด!หลิวจงเองก็เต็มไปด้วยความขมขื่นมากเช่นกัน เจ้านายให้ชีอวิ๋นถิงกักบริเวณไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ทว่าปกติผู้ใดจะคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องเช่นนี้จริง ๆ กันเล่า?ก่อนหน้านี้ชีอวิ๋นถิงก็เป็นเช่นนี้ พอถูกกักบริเวณ ก็หนีไปเช่นกันก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจนี่นา!ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้น ความรับผิดชอบทั้งหมดกลับตกมาอยู่ที่พวกบ่าวไพร่เสียแล้วเขาอึก ๆอัก ๆ “คือว่า ฮูหยิน…ด้วยนิสัยของนายท่าน…”ยังไม่ทันจะจบ อยู่ ๆ เสวี่ยซงก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ “ฮูหยิน ฮูหยิน! ท่านรีบไปช่วยนายน้อยด้วยเถิดขอรับ ท่านโหวจะตีนายน้อยตายแล้วขอรับ!” ว่าอย่างไรนะ?!นางหวังลุกขึ้นมาจากม้านั่งอย่างฉับ
เข้าไปในเรือนพักนอกเมืองเร่งรีบเมื่อมาถึงประตูโค้งรูปพระจันทร์ ยังมีกำแพงอีกชั้นกั้นอยู่ นางก็ได้ยินเสียงตำหนิของชีเจิ้นลอยออกมาจนกระทั่งนางก้าวข้ามประตูโค้งรูปพระจันทร์ไป ทันใดนั้นก็มองเห็นชีเจิ้นยืนอยู่กลางลานบ้าน ทว่าเวลานี้ชีอวิ๋นถิงกำลัง นอนคว่ำอยู่บนม้านั่ง ถูกชีเจิ้นใช้แส้ม้าเฆี่ยนตีอย่างโหดร้ายชีเจิ้นลงมืออย่างไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย แส้ที่ฟาดลงมาบนร่างในแต่ละครั้ง นำพาเอาลมแรงที่แสนเยือกเย็นออกมาด้วย เสื้อผ้าที่อยู่บนหลังของชีอวิ๋นถิงขาดจนหมดแล้ว เผยให้เห็นรอยบาดแผลเป็นเส้น ๆ โผล่ออกมานางหวังตกใจแทบสิ้นสติ ร่ำไห้พลางโผเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้าชีอวิ๋นถิงในทันที “ท่านโหว! ท่านโหว! อย่าตีอีกเลยนะเจ้าคะ หากยังตีต่อไป ท่านอาจตีเขาจนตายได้นะเจ้าคะท่านโหว!”ชีเจิ้นไม่เคยมีโทสะขนาดนี้มาก่อนเขาจับจ้องไปที่นางหวัง พลางพ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถอยไป!”นางหวังตกใจเสียใจหัวใจรู้สึกบีบรัด เนื้อตัวสั่นเทา พลางร่ำไห้ขอร้องด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านโหว ข้ารู้ว่าเขาทำความผิดใหญ่หลวง ข้ารู้ทุกอย่าง…แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของพวกเรานะเจ้าคะ!”ในเวลานี้ชีอวิ๋นถิงกำลังนอนคว
เห็นได้ชัดว่าอยู่ในโถงดอกไม้แล้ว ตัดขาดจากลมหนาวภายนอก ทว่าในเวลาเดียวกับที่ชีเจิ้นกล่าวคำพูดนั้นออกมา นางหวังก็รู้สึกว่ามีความเย็นยะเยือกสายหนึ่งค่อย ๆ คืบคลานมาที่สันหลังของนาง ทำให้นางรู้สึกเหมือนตกลงไปในห้องที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งนางอ้าปากอยู่ชั่วขณะ รู้สึกแต่เพียงว่าลำคอทั้งแห้งผากและทั้งเจ็บ พอจะเอ่ยปากถึงได้รู้ว่าเสียงของตนเองได้แหบแห้งไปหมดแล้ว “เช่นนั้นความหมายของท่านโหวก็คือ…”ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อครู่นางเห็นบุตรชายของตนเองถูกตี ยังเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงขนาดสาปแช่งชีจิ่นอยู่ภายในใจ ทว่าในเวลานี้ เมื่อชีเจิ้นกล่าวประโยคนี้จบ นางก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาอีกถึงอย่างไรนั่นก็เป็นลูกที่นางเลี้ยงดูมากับมือ เป็นลูกที่นางเฝ้าดูและอุ้มชูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย!ชีเจิ้นไม่มีความสองจิตสองใจใด ๆ และไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นนางหวังถามเช่นนี้ เขาก็ถามกลับไปว่า “มิเช่นนั้นฮูหยินคิดว่าข้าหมายความว่าอย่างไรเล่า?”ใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยความถากถางอยู่บางส่วน “ตอนนี้ทั่วทั้งราชสำนักกำลังวุ่นวายให้เหล่าขุนนางที่กอบโกยผลประโยชน์จากความดีความชอบ พึงสังวรณ์คำพูดและการกระทำของตน
นางหวังรู้อยู่แก่ใจดี ยิ่งเป็นชีเจิ้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสละบรรดาศักดิ์ที่เป็นของเขา หากว่าชีอวิ๋นถิงไม่ได้ ถึงแม้นางจะไม่มีบุตรชายคนอื่นอีกแล้ว ทว่าอนุภรรยาของชีเจิ้นก็ยังมีได้นี่นา!การคาดเดานี้เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น ทว่าก็ทำให้นางหวังสั่นไปทั้งตัวนางกัดฟันพลางหลับตาลง “ท่านโหว ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ!”ชีเจิ้นกวาดตามองนางอยู่ชั่วครู่ ไม่พูดอันใดมากอีก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปภายในเรือนพักนอกเมืองอ้างว้างโดดเดี่ยวขึ้นมาโดยฉับพลันอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ชีอวิ๋นถิงไปแล้ว ชีจิ่นก็ถูกกักขังอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในห้องปีกตะวันออกของเรือนด้านหลัง นางลุกนั่งไม่ติดที่ ไม่รู้แม้กระทั่งด้านนอกเกิดอันใดขึ้นบ้างกันแน่นางประเดี๋ยวลุกประเดี๋ยวนั่ง ภายในใจกำลังคาดเดาท่าทีของตระกูลชีอยู่ตลอดเวลานางอยู่ที่ตระกูลชีตั้งแต่เล็กยันโต ในใจของนางรู้นิสัยของชีเจิ้นกับนางหวังเป็นอย่างดียิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งกระวนกระวายใจเพราะว่านางเข้าใจดีมากว่า คนอย่างชีเจิ้นไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ เขาให้ความสำคัญกับเกียรติของตระกูลและอนาคตมากกว่าสิ่งใดทั้งน
บุตรสาวย่อมเป็นผู้ที่เข้าใจมารดามากที่สุด ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายนางหวังมาสิบกว่าปี ชีจิ่นเข้าใจอย่างถ่องแท้ทุกการกระทำของนางหวังตั้งแต่แรกแล้วเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางหวัง นางแทบจะไม่มีการชะงักแม้เพียงเสี้ยววินาที รีบปิดหน้าพลางคุกเข่าลงกับพื้นแล้วร่ำไห้อย่างเจ็บปวด “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!หากว่ากระทำผิดแล้วยังใช้ไม้แข็งกับนางหวัง โทสะของนางหวัง ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกอาจจะคิดแค่เพียงว่าอยากตบเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดก็จะเกิดความวุ่นวายจนถึงขนาดไม่อาจควบคุมได้ทว่าหากยอมรับผิดด้วยท่าทีจริงใจตั้งแต่ต้น แสดงออกว่าจะไม่ทำผิดอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางหวังกะจะให้โอกาสอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีชีจิ่นก็ไม่ได้มีเวลามาคิดใคร่ครวญเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ทำทั้งหมดต่างก็อาศัยสัญชาตญาณในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางคุกเข่าไถลไปข้างหน้าพลางกอดต้นขาของนางหวังเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างปวดใจ “ท่านแม่ ข้ากลัวมากจริง ๆ นะเจ้าคะ! ข้าถูกไล่ออกจากจวน กลัวว่าท่านจะไม่ต้องการข้าแล้วจริง ๆ …”หัวใจคือก้อนเนื้อย่อมมีความรู้สึก นางหวังเห็นนางร่ำไห้อย่างเศร้าโศกเช่นนี้ ภายในใจทั้งเจ็บแค้น
สุดท้ายในช่วงเวลาที่ชี้เป็นชี้ตาย นางหวังก็บีบข้อมือของชีจิ่นเอาไว้แน่น พลางตบปิ่นปักผมทองชิ้นนั้นลงสู่พื้นทุกคนต่างก็ตกตะลึงอวิ๋นเยี่ยนแข้งขาอ่อน ล้มลงกับพื้นดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว พลางกลืนน้ำลายเข้าไปอย่างตึงเครียดสวรรค์ นางเกือบจะคิดว่าคุณหนูของนางจะต้องตายเช่นนี้เสียแล้วเกาเจียหันไปมองนางหวังพลางขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกเป็นกังวลท่านโหวได้ตัดสินความตายไปแล้ว จะต้องกำจัดชีจิ่นทิ้งให้ได้ คิดว่าชีจิ่นอกตัญญู เจ้าแผนการยากจะคาดเดาฮูหญิงกลับมาเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายหากกลับไปในครานี้จะอธิบายกับท่านโหวเช่นไรดี?!ชีจิ่นดวงตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา กระโจนเข้าไปกอดขาของนางหวัง “ท่านแม่!”ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความโล่งอกโชคดี โชคดีที่นางเดิมพันชนะ!หากว่าวันนี้คนที่มาเป็นชีเจิ้น ท่าทางเสแสร้งของนางในครั้งนี้คงจะต้องไม่มีประโยชน์อันใดเป็นแน่ทว่าคนที่มาคือนางหวัง ถึงอย่างไรสตรีก็มีความใจอ่อนมากกว่า แผนการทรมานตนเองของนางเป็นการล่าถอยเพื่อที่จะได้ก้าวไปข้างหน้า ทำตรงกันข้ามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนางหวังลูบผมของชีจิ่น พลางยื่นมือไปประคองนางลุกขึ้น “เจ้าไปเถิด!”ชีจิ่นม
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื