หลังจากจัดการข้ารับใช้แล้ว ต่อมาก็คือคนในเรื่องแล้ว ชีเจิ้นมองนางหวัง “ต่อจากนี้ไป ต้องอบรมชีอวิ๋นถิงอย่างเข้มงวดแล้ว! หากปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไร้ความกริ่งเกรงเช่นนี้อีก จะเป็นการทำร้ายเขาแล้ว!” คำพูดเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่นางหวังคิดจะพูดเช่นกัน ตัวนางเองก็พูดสนับสนุนว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาใช้ไม่ได้เกินไปแล้วจริงๆ…” “ส่วนซีจิ่น ก็ส่งไปที่บ้านพักชานเมืองเถอะ” ชีเจิ้นไม่รอให้นางหวังพูดจบ เขาตัดบทคำพูดของนาง ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะหนึ่ง นางหวังยังไม่ทันประมวลผลคำพูดเขา รอจนได้สติกลับมา จึงเบิกตากว้าง “ท่านโหว!” นางไม่อยากเชื่อ! พวกนางเลี้ยงดูชีจิ่นมานานหลายปีถึงเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็น พิณ หมากล้อม อักษร หรือภาพวาด ล้วนไม่มีเรื่องใดที่ชีจิ่นไม่ชำนาญ และยามพาออกไปข้างนอก ก็เป็นตัวแทนของหน้าตาและศักดิ์ศรีของจวนโหว จวนหย่งผิงโหวก็บอกกับบุคคลภายนอกว่า ในอดีตนั้น ที่คลอดออกมาเป็นฝาแฝด เพียงแต่ผู้เป็นพี่หายไปและหาพบแล้วเท่านั้น แต่เวลานี้กลับจะส่งตัวชีจิ่นออกไป? นางรู้สึกลังเลและตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง “ท่านโหว เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอาจิ่นที่…” ชีเจิ้นมองนางอย่างผิดหวัง “ผู้
ทว่าชีหยวนที่รู้แต่แรก กลับไม่ยอมเปิดโปง แต่ใช้แผนซ้อนแผน ล่อเสือออกจากถ้ำ หลอกล่อแม่นมจางและชีอวิ๋นถิงให้ตกสู่กับดักทีละก้าว นางจงใจทำเช่นนั้น จงใจให้ชีเจิ้นได้เห็นว่า เพื่อชีจิ่นแล้ว ชีอวิ๋นถิงสามารถทำได้ถึงขั้นใด และก็จงใจให้ชีเจิ้นได้เห็นว่า ชีอวิ๋นถิงซึ่งเป็นบุตรชายคนโตผู้ถือกำเนิดจากภริยาเอก ที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดจวนโหวในอนาคตนั้น ขาดคุณสมบัติอันเหมาะสมเพียงใด นี่มัน… จิตใจเย็นชาเกินไปแล้วจริงๆ! ทว่ายามนี้ เมื่อชีเจิ้นพูดถึงชีหยวน ก็เต็มไปด้วยคำชื่นชมและความชอบใจ ทำให้นางหวังไม่อาจพูดสิ่งใดได้มากนัก ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยว่า “เจ้าค่ะ ท่านโหววางใจเถอะ ข้ารู้แล้ว” จากนั้น ชีเจิ้นก็แยกจากนางหวังและตรงไปที่หอหมิงเยว่ ที่หอหมิงเยว่ ไป๋เจ๋อวิ่งร่างกายสั่นสะท้านเข้ามา คุกเข่าผลุบลงเบื้องหน้าชีหยวน น้ำเสียงยังคงสั่นเทาด้วยความประหม่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เมื่อครู่ข้าเห็นคนลากแม่นมจางไปแล้วเจ้าค่ะ แม่นมจางแม้แต่พูดก็พูดไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!” ชีหยวนกำลังอ่านหนังสือ นางราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋จื่อ ก็ทำเพียงหัวเราะเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล ในที่สุด จวนหย่งผิงโหวที่วุ่นวายมาค่อนคืน ก็เข้าสู่ความสงบในช่วงสั้นๆ สรรพสิ่งรอบกายเงียบสงัด แม้แต่หญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูยังหลับสัปหงกอยู่บนโต๊ะ และยังหาวออกมาเป็นระยะ ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือนั่นเอง นางพลันได้ยินเสียงทุบประตูดัง ‘ปังปังปัง’ อย่างเร่งร้อน เสียงนี้ทำให้นางสะดุ้งขึ้นมา ตอนแรกยังคิดว่าตนเองกำลังฝันไป รอจนเสียงยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบปาดน้ำลายทีหนึ่ง จากนั้นวิ่งมาเปิดประตูเรือน เมื่อประตูเรือนถูกเปิดออก เกาเจียที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ก็ตำหนิออกมาว่า “ทำอะไรอยู่ฮึ? เปิดประตูแค่นี้ก็ยังอืดอาดชักช้า!” หญิงรับใช้หวาดหวั่นจนสีหน้าซีดขาว รีบอธิบายว่า “ลมแรงเกินไปน่ะเจ้าค่ะ เลยคิดไม่ถึงว่าท่านจะมาในเวลานี้…” นางหวังที่อยู่ข้างหลังกระแอมขึ้นมาทีหนึ่งอย่างหมดความอดทน “อย่าได้พูดมาก เข้าไปแล้วค่อยว่ากัน!” เกาเจียรีบรับคำ ดันหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูออก จากนั้นประคองนางหวังเดินเข้าไป ภายในห้อง บรรดาสาวใช้ทั้งหลายล้วนยังไม่เข้านอน ต่างก็อยู่เป็นเพื่อนชีจิ่นอย่างระมัดระวัง วันนี้พวกนางก็มองออกแล้วว่า เกรงว่าท่านโหวคงโมโหคุณหนูของพว
ราวกับมีสายฟ้าสายหนึ่งฟาดลงมาจากท้องฟ้า เสียงร้องไห้ของชีจิ่นหยุดลงแล้ว รู้สึกเพียงว่าในหัวของตนมีเสียงวิ้งดังขึ้นมา ราวกับมีดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนกำลังระเบิดอยู่ในหัวของนาง ส่งนางไป? ! จวนหย่งผิงโหววางแผนจะทิ้งนางแล้ว?! หลังค้นพบชาติกำเนิดของตน นางก็หวาดหวั่นอยู่ทุกวัน ทุกวันล้วนต้องหวาดกลัวว่าตนเองจะสูญเสียความโปรดปราน จะถูกละทิ้งไป ดังนั้น นางจึงได้ทำทุกวิถีทางในการติดต่อคนขายเนื้อแซ่สวี่และหลี่ซิ่วเหนียง ให้พวกเขาขัดขวางมิให้ชีหยวนกลับมา จึงได้ส่งสัญญาณให้แม่นมฮวาลงมือกับชีเหยียน จึงได้พยายามจับชีอวิ๋นถิงไว้อย่างเร่งร้อนเช่นนี้ เพราะต้องการให้ชีอวิ๋นถิงยืนอยู่ข้างนางไปตลอด แต่ตอนนี้ นางยังไม่ทันได้ลงมือจริงๆ เลยด้วยซ้ำ กลับจะต้องจากไปแล้ว?! ชีจิ่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เกือบจะกอดขานางหวังไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างปวดใจว่า “ท่านแม่! ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ! วันหลังข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ขอร้องท่าน อย่าให้ข้าไปเลยนะเจ้าคะ! ตั้งแต่เด็กจนโตข้าก็ไม่เคยจากท่านไปเลย ข้าไม่อาจไม่มีท่านนะเจ้าคะ ท่านแม่!” นางร้องไห้จบเสียงแหบแห้ง ทำให้คนอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้
ถึงอย่างไรชีจิ่นก็เติบโตมาข้างกายนางหวัง จึงเข้าใจถึงจุดอ่อนของนางหวังเป็นอย่างดี ทันทีที่สงบลง นางก็จะทำการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อตนที่สุดอย่างรวดเร็ว นางหวังถูกทำให้สะเทือนใจอย่างที่คิดจริงๆ ภายใต้ความรู้สึกผิด นางขึ้นเสียงสั่งการเหล่าข้ารับใช้ว่า “จงดูแลคุณหนูรองให้ดี หากให้ข้ารู้ว่าใครกล้าละเลย! ก็ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี!” จากนั้นก็ให้เกาเจียนำของที่ชีจิ่นใช้เป็นประจำไปให้หมดอีก หลังจัดการเรื่องต่างๆ ไปมาอย่างวุ่นวาย ค่ำคืนนี้ก็ได้ผ่านไปแล้ว ในยามที่ฟ้าเพิ่งสาง รถม้าคันหนึ่งก็ออกจากประตูมุมตะวันตกของจวนหย่งผิงโหวอย่างเงียบๆ จากนั้นตรงไปทางประตูเต๋อเซิ่งซึ่งเป็นประตูเมือง หลังนางหวังจัดการเรื่องการออกจากจวนของชีจิ่นเสร็จ ก็เหน็ดเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงแล้ว ในตอนที่ฝืนกลับไปถึงห้อง นางก็เห็นชีเจิ้นนั่งอยู่บนเตียงแล้ว จึงถอนใจออกมาทีหนึ่ง กล่าวว่า “ส่งไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ นางร้องไห้จนใจข้าพลอยไม่สบายไปด้วย” ชีเจิ้นเหลือบมองนางอย่างเรียบเฉยทีหนึ่ง “หากยามปกติเจ้าไม่ตามใจพวกเขาเช่นนั้น เวลานี้ ก็คงไม่ก่อปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนี้!” เหตุใดกลับมาโทษนางอีกแล้วเล่า? นางหวัง
ยามนี้ชีจิ่นถูกส่งจากไปแล้ว สำหรับชีหยวนแล้วถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก จะได้ถือโอกาสนี้ใช้เวลากับฮูหยินและท่านโหวให้เต็มที่ เพื่อเพราะสร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นมา ชีหยวนเผยรอยยิ้มที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา “สาวน้อยที่โง่งม เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว” ยังกล่าวไม่ทันจบ นอกห้องก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจของเสาเย่าดังเข้ามา ไป๋อินรีบออกไปตรวจสอบดู จากนั้น ชีหยวนก็ได้ยินไป๋อินร้องเสียงดังอยู่หน้าประตูว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ! คุณหนูของพวกเรายังไม่ลุกจากเตียงเลยเจ้าค่ะ ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!” สีหน้าของชีหยวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้ว ส่วนชีอวิ๋นถิงนั้น ได้เลิกม่านบุกเข้ามาในห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว เขาไม่กล่าวสิ่งใดก็พุ่งเข้าหาชีหยวนทันที มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อขอชีหยวนขึ้นมา อีกข้างก็บีบคอของชีหยวนไว้ เค้นถามอย่างดุร้ายว่า “เจ้าบังคับให้อาจิ่นจากไป เจ้าบีบบังคับจนอาจิ่นจากไปแล้ว เจ้ามันนังสารเลว!” เจ้าคนเสียสตินี่! เหลียนเฉียวตกใจอย่างมาก นางรีบไปดึงแขนของชีอวิ๋นถิงออกอย่างสุดกำลัง “คุณชายใหญ่! ท่านปล่อยคุณหนูของพวกเราเถิดเจ้าค่ะ!” ชีหยวนก้มศีรษะลง ยกศอกขึ้น แล้วก
ทันทีที่ชีอวิ๋นถิงจากไป เหลียนเฉียวก็รีบร้องไห้เข้าไปตรวจดูลำคอของชีหยวน ชีอวิ๋นถิงมิได้ออมมือแม้แต่น้อยจริงๆ บนคอของชีหยวนปรากฏรอยจ้ำสีแดงเป็นวงรอบ ที่แค่เห็นก็ทำให้คนตกใจ ไป๋จื่อได้สติกลับมา รีบพูดอย่างลนลานว่า “ข้าจะไปหายาทา!” ทว่าอารมณ์ของทุกคนล้วนหนักอึ้ง เหลียนเฉียวยิ่งอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของคุณหนูใหญ่เลยนะ! เดิมทียังคิดว่า หลังชีจิ่นจากไปแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นมาแล้ว ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นลูกแท้ๆ มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนในบ้าน ความผูกพันก็สามารถสร้างขึ้นอย่างช้าๆ ได้ ทว่าดูจากตอนนี้ ต่อให้ชีจิ่นจากไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ชีหยวนส่องกระจกพลางลูบลำคอของตน ในกระจก รอยบีบที่คอของเธอดูแล้วน่าตกใจเป็นอย่างมาก นางเคยสังหารคนมาก่อน ดังนั้นนางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า เมื่อครู่หากไม่มีคนขัดขวางแล้วล่ะก็ ชีอวิ๋นถิงคิดจะบีบคอนางให้ตายจริงๆ ตัวเขาวางแผนให้ร้ายคน ทำร้ายไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงกลับเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษแทน แต่เขากลับไม่คิดว่าตัวเองกระทำผิด สิ่งแรกที่นึกได้ คือการมาฆ่านางระบายโทสะ ครั้งนี้ฆ่าไม่สำเร็จ แล้วครั้งหน้าเล่า? เพราะตายมาแล้ว
แม้ชีอวิ๋นถิงโง่เขลา แต่ชีหยวนก็น่ารังเกียจ! นางมองชีหยวนอย่างเย็นชา “นั่นเป็นพี่ชายของเจ้า! เจ้าเพิ่งกลับมา ยังไม่เคยใช้เวลาร่วมกับเขามาก่อน เขาไม่ชอบเจ้าก็เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าอ่อนลงหน่อย ที่ควรก้มหัวก็ต้องก้มหัว หากเจ้าลดท่าทีลงแล้ว เขาย่อมไม่มีทางไม่พอใจเจ้า ” หยุดไปครู่หนึ่ง นางเห็นชีหยวนเงยหน้าขึ้นมองตนนิ่งๆ จึงเลี่ยงสายตาไปอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง แล้วกล่าวเสียงหนักต่อว่า “เรื่องคอของเจ้า อย่าได้พูดเหลวไหลออกไป ยิ่งอย่าได้เอ่ยกับท่านพ่อของเจ้า! เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายิ่งแย่ไปกว่านี้ รู้หรือไม่?” ตั้งแต่ต้นจนจบ นางหวังมิได้ตำหนิชีอวิ๋นถิงแม้แต่ครั้งเดียว ทว่า ชีหยวนก็มิได้รู้สึกแปลกใจแล้ว เพราะในชาติที่แล้ว หลังชีอวิ๋นถิงแต่งภรรยา ก็ยังสามารถรักษาตัวประดุจหยกไม่แตะต้องอิสตรี และยังปฏิบัติกับลูกของชีจิ่นราวบุตรในไส้ของตนอีก กระทั่งสนับสนุนองค์ชายสี่ ‘ฉีอ๋อง’ เพื่อชีจิ่นด้วย ยามนี้มาลองคิดดูแล้ว หากมิใช่เพราะมีมารดาที่ไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดีแบบนางหวังคอยให้ท้าย แล้วชีอวิ๋นถิงจะทำตัวบัดซบถึงเพียงนั้นได้อย่างไร? นางมิได้ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น “ลูกทรา
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว