เสียงของหูเหิงเอ่ยขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านพ่อพูดถูก เสบียงเหล่านี้พวกเรากินมิหมดหรอก แต่พวกป้าเลี่ยวอดอาหารมาหลายวันแล้วขอรับ!”“พวกเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายมิสามารถออกไปหาอาหารได้ พวกเราช่วยได้สักนิดก็ช่วยเถิดขอรับ!”“ท่านวางใจได้ หากพวกเราไม่มีเสบียงแล้ว ข้ากับท่านพ่อเข้าไปล่าสัตว์ในภูเขาให้ได้ มิปล่อยให้ท่านแม่กับน้องสาวต้องอดอย่างแน่นอน!”สตรีผู้นั้นเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “นำไปมอบให้เถิด! วันพรุ่งแม่จะไปขุดผักป่าที่ในภูเขาสักหน่อย เอามาผสมกับข้าวแล้วต้มโจ๊กให้พวกเจ้ากิน จะได้ประทังชีวิตไปจนบาดแผลเจ้าหายดี!”หลิงอวี๋ฟังถึงตรงนี้แล้วก็จากไปก่อนหน้านี้นางยังกังวลอยู่ว่าหูเฉิงจะอาศัยการสนับสนุนของตนไปแอบอ้างบารมีเพื่อรังแกผู้อื่น และข่มเหงชาวบ้านบัดนี้เมื่อเห็นว่าแม้มีเพียงแต่เสบียงหนึ่งถุง หูเฉิงก็มิได้เก็บไว้เองแต่แบ่งปันให้คนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกทั้งลูกทั้งสองคนและภรรยาของหูเฉิงก็มิใช่คนเห็นแก่ตัวเช่นกัน การที่หลิงอวี๋มอบเสบียงบรรเทาทุกข์ให้กับพวกเขาก็สามารถวางใจได้แล้วหลิงอวี๋รีบกลับไปที่เมืองจงโจว เซียวหลินเทียนยังมิกลับมา ดังนั้นหลิงอวี๋จึงไปหาแม่ทัพจี้ก่อนแ
หูเฉิงมองแผนที่ที่หลิงอวี๋วาดขึ้นมาแล้วลูบคางอย่างนิ่งเงียบจากนั้นหูกังก็เอ่ยแทรกขึ้น “ฮองเฮาหลิง ทางน้ำนี้ต้องขุดนานเท่าใดหรือ? เมื่อขุดแล้วจะทำให้น้ำที่ท่วมอยู่ระบายออกไปได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”หลิงอวี๋จึงเอ่ยออกไปอย่างมั่นใจ “หูกัง ข้าช่วยสำรวจมาให้พวกเจ้าแล้ว… พวกเจ้ามิเคยเห็นแม่น้ำสายนั้น อย่าว่าแต่น้ำที่ท่วมในหมู่บ้านพวกเจ้าเลย น้ำที่ท่วมพวกหมู่บ้านในละแวกนี้ก็ระบายไปได้ไม่มีปัญหา!”“พวกเจ้าไปหาคนมาขุดเถิด ข้าจะรับผิดชอบเรื่องอาหารการกินของพวกเจ้าเอง ไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าหิวโซไปทำงานเป็นแน่!”จากนั้นหลิงอวี๋ก็หันไปหาหูเฉิงอีกครั้ง “ท่านลุงหู ท่านเป็นคนที่ได้เห็นใต้หล้ามาก่อน ท่านน่าจะรู้ดีว่าพึ่งพาผู้อื่นนั้นมิสู้พึ่งพาตนเอง!”“หวังพึ่งราชสำนักมิได้แล้ว ก็ทำได้เพียงพึ่งพาตนเองเท่านั้น! หากพวกท่านมิยินยอมที่จะช่วยเหลือตนเองก็ทำได้เพียงแต่รอความตายเท่านั้น!”“ฝนตกหนักเช่นนี้มิรู้ว่าเมื่อใดจะหยุดตก หากพวกท่านอยู่บนภูเขาเช่นนี้ไปตลอด ไม่มีใครไปขุดลอกระบายน้ำ เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ!”“แม้ว่าพวกเราจะอยากช่วยเหลือพวกท่าน แต่ก็ไม่มีกำลังคนและทรัพยากรมากถึงเพียงนั
“ฮองเฮาหลิงประสงค์ถามสิ่งใด หากหูเฉิงรู้จะตอบทุกสิ่งมิปิดบัง และจะพูดความจริงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”หูเฉิงแสดงท่าทีเคารพอย่างมาก แม้แต่จะนั่งตรงหน้าหลิงอวี๋ก็ยังมิกล้า“ท่านลุงหูนั่งลงคุยกันเถิด!”หลิงอวี๋ยิ้มเล็กน้อย นางข่มขวัญหูเฉิงได้เรียบร้อยแล้วจึงมิจำเป็นต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันอีกหูเฉิงเองก็มิใช่คนขี้ขลาด เขาคิดว่าครอบครัวของตนตกต่ำถึงเพียงนี้แล้ว มิได้มีอะไรจะเสียอีก เขาจึงนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าหลิงอวี๋อย่างใจเย็น“ท่านลุงหู เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้วว่าราชสำนักของพวกท่านยังเอาตัวมิรอด ยามนี้คงมิอาจช่วยเหลือพวกท่านได้!”“ข้า สามีของข้าและเจ้าแห่งทิศใต้แท้จริงแล้วเป็นสหายกัน พวกเรามาจากฉินตะวันตกก็เพื่อที่จะช่วยเหลือเจ้าแห่งทิศใต้ สิ่งเหล่านี้อาจจะไกลเกินไปสำหรับพวกท่าน เช่นนั้นเรามาพูดถึงสิ่งที่ใกล้ดีกว่า!”“ท่านบอกข้าทีว่าพวกท่านติดอยู่บนภูเขานี้กี่คน?”หูเฉิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกไป “ฮองเฮาหลิง พวกเราเป็นราษฎรของหมู่บ้านตงหยาง ที่หมู่บ้านตงหยางมีราษฎรอยู่กว่าร้อยครัวเรือนพ่ะย่ะค่ะ จำนวนคนก็น่าจะห้าร้อยกว่าคน”“ครั้นเมื่อน้ำท่วม พวกเราล้วนวิ่งขึ้นภูเขากัน มีคนจำนวนมากที่ตา
หลิงอวี๋เห็นว่าเด็กหนุ่มที่พูดอยู่ใส่เพียงเสื้อตัวหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งที่แขนเสื้อก็ยังมีเลือดซึมออกมาด้วยนางจึงรู้สึกสะกิดใจขึ้นมา เด็กหนุ่มผู้นี้พยายามล่าสัตว์มาอย่างสุดชีวิตจึงกังวลว่าตนจะแย่งชิงไปกระมัง?นางครุ่นคิด จากนั้นก็หยิบเสบียงหนึ่งถุงและโอสถรักษาแผลหนึ่งกล่องออกมาจากในมิติ จากนั้นก็เอ่ยออกไปอย่างอดทน “ท่านลุงหู ข้าขอมอบเสบียงถุงนี้กับพวกท่านก่อน เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงใจของข้า!”“อีกอย่างเด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมา ข้าจึงมอบโอสถรักษาแผลให้เขาด้วยหนึ่งกล่อง พวกท่านถอยหลังไปสักหน่อย ข้าจะโยนขึ้นไปให้!”บุรุษผู้นั้นยกหน้าไม้ขึ้นมาอย่างระวังตัว หลิงอวี๋กังวลว่าลูกดอกของเขาจะยิงทะลุถุงข้าวเข้า นางจึงรีบเปิดให้เขาดูอย่างรวดเร็วบุรุษผู้นั้นตาไวมาก เมื่อเขาเห็นว่าเป็นถุงเสบียงจริง ๆ ก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีครั้นเมื่อเกิดน้ำท่วม ครอบครัวของพวกเขาเอาแต่ห่วงจะหนีเอาตัวรอด ต่างก็มิได้นำเสบียงออกมาหลายวันมานี้ พวกเขาอาศัยล่าสัตว์และขุดผักป่าเพื่อประทังชีวิต มิได้กินข้าวกันมาหลายวันแล้วหลิงอวี๋ยกมือขึ้นสะบัดแล้วโยนขึ้นไป ถุงที่บรรจุข้าวอยู่ห้าหกกิโลก็ตกอยู่ตรงหน้าขอ
หลิงอวี๋อาศัยพลังระดับสูงของตน แค่เพียงครึ่งชั่วยามก็ไปถึงบนภูเขาฝั่งตรงข้ามได้แล้วฝนยังคงตกหนักอยู่ หลิงอวี๋ปีนขึ้นไปได้ครึ่งเขาก็มิเห็นเงาแม้แต่คนเดียว ชาวบ้านเหล่านั้นคงจะหลบกันอยู่ในถ้ำไปแล้วหลิงอวี๋จึงค้นหาตามถ้ำ นางเดินไปก็ตะโกนไปว่า “มีคนอยู่หรือไม่?”เดินไปได้สักพักหนึ่งก็เห็นว่าบนที่สูงมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง และที่ปากทางเข้าก็มีคนชะโงกหน้ามองไปมาอย่างระแวดระวัง เมื่อคนผู้นั้นเห็นหลิงอวี๋ก็เบี่ยงตัวหลบเข้าไปทันที“มีคนหรือไม่?”หลิงอวี๋ตะโกนเสียงดัง “หากมีคนกรุณาออกมาคุยกันหน่อยเถิด ข้าต้องการความช่วยเหลือ!”หลิงอวี๋ตะโกนออกไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครออกมานางจึงปีนขึ้นไป และเมื่อปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงตะคอกอย่างโกรธเคือง“หยุดนเจ้าเป็นใคร? หากกล้าเดินเข้ามาอีกก็อย่าหาว่าหน้าไม้ของข้ามิเกรงใจ!”หลิงอวี๋หยุดลงแล้วเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าที่บนถ้ำนั้นมีบุรุษคลุมเสื้อฟางกันฝนพร้อมใส่หมวกฟางกำลังถือหน้าไม้เล็งมาที่นางข้าง ๆ นั้นมีเด็กผู้ชายอายุสิบสี่สิบห้าสองคนยืนอยู่ พวกเขาสวมชุดขาดรุ่งริ่ง และถือหน้าไม้เล็งมาที่นางด้วยเช่นกันมองดูแล้วน่าจะเป็นพ่อลูกกัน“ท่านล
พลังของทั้งสองคนในตอนนี้ก้าวหน้าไปมากแล้ว ระยะทางหลายสิบเมตรเช่นนี้สำหรับพวกเขามินับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับลู่ปินและเหล่าองครักษ์นั้นนับเป็นเรื่องยากลู่ปินจึงพาคนลงจากภูเขาไปก่อน จากนั้นค่อยหาทางไปรวมตัวกับพวกเขาก่อนหน้านี้หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนดูแลกองทัพขนาดใหญ่ ล้วนแต่เป็นการเดินตามกันอย่างมิออกนอกเส้นทางแต่ในตอนนี้มิต้องกังวลพวกลู่ปิน ทั้งสองคนจึงล้วนใช้พลัง แล้วเคลื่อนไหวไปมาบนขอบหน้าผาอย่างรวดเร็วเมื่อตามทิศทางการไหลของโคลนถล่มไป มินานหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนก็มาถึงที่ปากหุบเขา แล้วก็เห็นว่าน้ำยังคงไหลลงไปต่อด้านในหุบเขานั้นเป็นแม่น้ำที่กว้างนับร้อยเมตร แม่น้ำสายนี้ทำให้หลิงอวี๋เห็นแล้วตกตะลึงเสียจนตาเบิกโพลง จากนั้นก็เห็นว่าทั้งสองฝั่งเป็นหน้าผาสูงชัน ทั้งยังเป็นขอบที่เรียบเสมอกันอีกด้วยราวกับว่าหน้าผาดั้งเดิมเป็นชิ้นเดียวกัน แล้วถูกขวานขนาดใหญ่ผ่าลงตรงกลางให้แยกจากกันเป็นสองส่วนหลิงอวี๋นึกขึ้นมาได้ราง ๆ ว่าตอนที่ตนถูกหลงหมิงสลายเลือดเนื้อและกระดูกที่ยอดเขาเฟยหวงนั้น สุดท้ายฟ้าถล่มดินทลาย ยอดเขาเฟยหวงก็เกิดรอยแยกหนึ่งขึ้นมา แล้วในตอนที่หลงหมิงพุ่งเข้ามาก