ชีพจรของรั่วหลานขาด ๆ หาย ๆ มิแน่นอนตอนนี้หลิงอวี๋จึงมิอาจวินิจฉัยได้ว่านางป่วยเป็นโรคกระไรนางใช้ความสามารถในการรับรู้ตรวจสอบจนพบว่า ภายในร่างกายของรั่วหลานก็มีพลังวิญญาณอยู่เช่นกัน แต่พลังวิญญาณเหล่านี้ก็ขาด ๆ หาย ๆ ด้วย มันล่องลอยไม่มีระเบียบเลยสักนิดนี่คือโรคกระไรกัน?หลิงอวี๋พบโรคเช่นนี้เป็นครั้งแรก สิ่งนี้ดูราวกับว่าเกินกว่าความรู้ที่ตนเรียนมาแล้ว“พวกเจ้าคือสาวใช้ของคุณหนูรั่วหลานหรือ?”ทันทีที่หลิงอวี๋เงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าสาวใช้ทั้งสองจ้องตนอยู่ที่ข้างเตียง นางจึงเอ่ยถามออกไปสาวใช้ทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งค่อนข้างสูง ส่วนอีกคนหนึ่งมีใบหน้ากลม ๆเมื่อได้ยินหลิงอวี๋ถามเช่นนั้น สาวใช้ที่ตัวสูงก็ก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินอู่ บ่าวชื่อไป๋เฉี่ยว นี่คือน้องสาวบ่าวชื่อไป๋อวี้เจ้าค่ะ!”“พวกเราสองคนเป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋เอ่ยถามออกไป “ไป๋เฉี่ยว เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าคุณหนูของพวกเจ้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนที่จะป่วยมีอาการอันใดหรือไม่ แล้วหลังจากที่ป่วยแล้วมีอาการอันใดบ้าง?”ปีนี้ไป๋เฉี่ยวอายุยี่สิบ มีรูปลักษณ์งดงาม การแต่งกายก็ดูมิคล้ายกับสาวใช้ทั่วไป
เซียวหลินเทียนฟังตามคำพูดของเกิ่งสื่อแล้วจึงเอ่ยไปว่า “เมืองจงโจวน้ำท่วมหนักมาก แม่ทัพจี้รอให้ราชสำนักช่วยเหลือมาโดยตลอด แต่เวลาก็ล่วงเลยมาถึงเพียงนี้แล้ว ทางราชสำนักก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย!”“ข้าจะมิปิดบังนายกองเกิ่ง ครั้งนี้พวกเราก็ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพจี้มาเช่นกัน ให้มุ่งหน้าไปตรวจสอบสถานการณ์ที่เมืองหลวงแดนเทพ!”“นายกองเกิ่ง มิทราบว่าทางปากั๋วโจวนี้ ทางราชสำนักได้ส่งคนมาช่วยเหลือบ้างหรือไม่?”เกิ่งสื่อหัวเราะเยาะ “หากพึ่งความช่วยเหลือของราชสำนัก เช่นนั้นทุกคนก็มิรอดกันแล้วขอรับ!”“ท่านอู่ ท่านบอกแม่ทัพจี้เถิดว่าเขามิต้องรอแล้ว ราชสำนักไม่มีทางช่วยเหลือหรอก!”เซียวหลินเทียนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงแดนเทพแล้วว่า เมืองของแดนเทพส่วนใหญ่ล้วนถูกน้ำท่วมไปหมดเมืองหลวงแดนเทพก็ยังเอาตัวมิรอด ไหนเลยจะมีกำลังไปช่วยเหลือเมืองต่าง ๆ เหล่านั้นเขาแสร้งทำท่าทีมิรู้อะไรทั้งนั้นแล้วเอ่ยถามไป “นายกองเกิ่ง นี่มันเริ่มจากที่ใดกัน?”“ภัยพิบัติใหญ่ ๆ นับตั้งแต่โบราณมา ทางราชสำนักก็ล้วนช่วยเหลือทั้งสิ้น แล้วเหตุใดจึงบอกให้พวกเรามิต้องรอเล่า?”เกิ่งสื่อเอ่ยอย่างปวดใจ “ตามเหตุผลแ
กระทั่งเกิ่งสื่อออกไปแล้ว หลิงอวี๋จึงกางม่านพลังในกระโจมแล้วมองไปทางเซียวหลินเทียน“ท่านมีความคิดว่าอย่างไรเพคะ?”หลิงหว่านมองหลิงอวี๋อย่างสงสัย มิรู้ว่าการที่นางถามคำถามนี้โดยไม่มีที่มานั้นมันหมายความว่าอย่างไร?เซียวหลินเทียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมา “ตามเหตุผลแล้ว หากในบ้านมีผู้ป่วยแล้วแม่ทัพต่งพบกับหมอที่มีชื่อเสียง ก็มีแต่จะเชิญหมอที่มีชื่อเสียงไปที่บ้านเพื่อรักษาผู้ป่วย!”“แต่แม่ทัพต่งผู้นี้กลับให้เจ้ารออยู่ที่นี่ แล้วยอมให้ผู้ป่วยลำบาก มิยอมเชิญเจ้าไปที่บ้านเขา!”“เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง!”หลิงอวี๋ยิ้มแล้วมองไปทางหลิงหว่าน “หว่านเอ๋อร์ เจ้าลองพูดมาว่าความเป็นไปได้สองอย่างที่พี่เขยเจ้าว่านี้คืออะไร?”หลิงหว่านชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงเข้าใจว่าหลิงอวี๋รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ดังนั้นนางจึงได้เอ่ยถามเซียวหลินเทียนเช่นนั้นและเมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินหลิงอวี๋เอ่ยถาม เขาก็รู้ว่าสิ่งที่นางต้องการจะถามนั้นคืออะไรความรู้ใจกันเช่นนี้ทำเอาหลิงหว่านรู้สึกอิจฉา กว่าพี่หญิงหลิงหลิงกับพี่เขยจะมาถึงจุดที่รู้ใจกันได้เช่นนี้ ทั้งสองคนจะต้องใช้เวลาบ่มเพาะกันมานานอย่างแน่นอนควา
ฝนยังคงตกอยู่ พื้นดินล้วนเต็มไปด้วยโคลนตมเมื่อหยวนซือหลิงล้มลงไปเช่นนี้จึงล้มลงไปในโคลน ทันใดนั้นชุดที่งดงามรวมไปถึงใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางก็เปรอะเปื้อนโคลนตมไปหมดหยวนป๋อมิคาดคิดแม้แต่น้อยว่าหยวนซือหลิงจะแกล้งสลบ เมื่อเขาได้ยินอันเหลียนพูดเช่นนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อยหยวนซือหลิงเป็นโรคหัวใจหรือ?เหตุใดเขาจึงมิรู้เล่า?ลุงต้วนมีประสบการณ์มามากกว่าหยวนป๋อ เขาจึงเข้าใจในทันทีแต่เนื่องจากเป็นคนของตำหนักเสวียนเทียน เขาจึงมิอาจเปิดโปงแผนการเล็ก ๆ ของหยวนซือหลิงได้“นายน้อย อุ้มนางเข้าห้องไปก่อนเถิดขอรับ!”ลุงต้วนเอ่ยเตือนขึ้นมาหยวนป๋อจึงรีบก้าวเข้าไปอุ้มหยวนซือหลิงเข้าห้องจากนั้นลุงต้วนก็ประสานมือคำนับหลิงอวี๋ “ฮูหยินอู่ คุณหนูของตระกูลเราใส่ร้ายท่าน ในตอนนี้นางโรคหัวใจกำเริบฉับพลัน คงจะมิสามารถขออภัยท่านได้ในตอนนี้!”“เรื่องนี้นายน้อยของเราจะต้องมีคำอธิบายให้ท่านอย่างแน่นอน ฮูหยินอู่โปรดให้อภัยเป็นการชั่วคราวก่อนเถิดขอรับ!”หลิงอวี๋มองออกนานแล้วว่าหยวนซือหลิงแกล้งสลบ และนางก็รู้สึกดูแคลนการกระทำหลบเลี่ยงความรับผิดชอบของตนเองเช่นนี้ยิ่งนักแต่เห็นแก่หน้าของหยวนป๋อกับลุงต้วน หลิ
หลิงอวี๋ครุ่นคิด แล้วหัวเราะเยาะออกไป “อันเหลียน หากไม่มีเหตุแล้วจะมีผลได้อย่างไรเล่า?”“เจ้าบอกว่าบัดนี้มิใช่เวลาตามหาว่าใครเป็นฝ่ายลงมือก่อน เช่นนั้นข้าขอถามว่า เมื่อใดจึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตามหารึ?”“เจ้ามิให้นายน้อยของพวกเจ้าตรวจสอบให้แน่ชัดว่าผู้ใดผิดผู้ใดถูก หรือว่าเจ้าคิดจะให้ข้าแบกรับคำกล่าวหาไร้เหตุผลนี้ไปโดยไม่มีที่มาเช่นนั้นหรือ?”“เรื่องถูกผิดนั้น เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ หากเจ้าเป็นนางรับใช้ที่ซื่อตรง ก็มีแต่จะช่วยตักเตือนเจ้านายของตนมิให้ทำในสิ่งเลวร้าย!”“แต่เจ้ามิตักเตือนมิห้ามปราม ทั้งยังบิดเบือนความจริงและสนับสนุนในเรื่องเลวทรามอีก สิ่งนี้หากจะพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็คือความจงรักภักดี!”“แต่หากจะพูดให้ระคายหูสักหน่อย ก็คือการทำเช่นนี้เป็นการยุยงคุณหนูของเจ้าให้ยิ่งมิเคารพกฎหมายและคุณธรรมมิใช่หรือ?”“ข้าว่าเจ้ามิได้หวังดีต่อคุณหนูของเจ้าสักนิด แต่เจ้าคิดจะยุยงให้นางก่อเรื่องที่ใหญ่โตยิ่งขึ้น ทำให้สุดท้ายแล้วในวันหนึ่งนางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตเพราะความโอหังของนางเอง!”ลุงต้วนฟังอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยเขานึกถึงการต่อสู้ของหยวนซือหลิงกับหลิงอวี๋ก
หยวนป๋อได้ฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเห็นว่าหยวนซือหลิงยังคงดื้อดึงและใส่ร้ายหลิงอวี๋เช่นนี้ เขาก็โกรธจนสีหน้าแย่“หยวนซือหลิง จนถึงบัดนี้เจ้ายังมิรู้ว่าตนผิดอีกรึ?”หยวนป๋อเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “คนจำนวนมากถึงเพียงนี้ล้วนบอกว่าเจ้าเป็นฝ่ายลงมือก่อน เจ้ายังคิดจะใส่ร้ายฮูหยินอู่อีกรึ?”หยวนซือหลิงจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างหน้าด้าน “พี่ใหญ่ หรือว่าท่านยินดีจะเชื่อคนนอก แต่มิยอมเชื่อน้องสาวของท่านเช่นนั้นหรือ?”“พวกเขาเป็นพวกเดียวกันก็ย่อมต้องเข้าข้างนางมาใส่ร้ายข้าอยู่แล้ว!”หลิงหว่านได้ยินเช่นนั้นก็โกรธมาก แล้วด่าทอออกมา “ข้ากับพี่สาวมาที่หมู่บ้านนี้เป็นครั้งแรก มิได้รู้จักชาวบ้านเหล่านี้แม้แต่น้อย!”“พวกเขาแค่เห็นถึงความอยุติธรรมจึงเข้ามาช่วยทวงความยุติธรรมก็เท่านั้น เหตุใดเมื่อออกจากปากเจ้าจึงกลายเป็นเราเป็นพวกเดียวกันเสียได้เล่า!”“คุณหนูหยวน มีคำหนึ่งที่พวกเขากล่าวได้ถูกต้องแล้ว คนไร้เหตุผลเช่นเจ้า เติบโตมาเสียเปล่าจริง ๆ!”หยวนป๋อเห็นว่าบรรดาชาวบ้านและทหารต่างก็ชี้ไม้ชี้มือมาที่พวกเขาพลางพากันวิพากษ์วิจารณ์ ก็รู้สึกว่าถูกหยวนซือหลิงทำให้ขายหน้าไปหมดแล้ว“หยวนซือ