หลงจิ้งมีความรับผิดชอบเช่นนี้ เจ้าแห่งทิศใต้จะมิพอใจได้อย่างไรกัน!เมื่อเห็นความรุนแรงของไฟลุกไหม้ขึ้นมา และเหล่าผู้คุ้มกันของสำนักซิงหลัวต่างก็ยุ่งอยู่กับการดับไฟและรักษาทรัพย์สิน เจ้าแห่งทิศใต้ก็ยิ้มเยาะขึ้นมาทันทีทำร้ายลูกชายของตนจนเป็นเช่นนี้ พวกเขายังคิดว่าจะหนีรอดไปได้อีกหรือ?หลงจิ้งและเย่หรงได้ทำในสิ่งที่พวกเขาควรทำแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือความรับผิดชอบของตน“จิ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด! ที่เหลือปล่อยให้พ่อจัดการเอง!”หลงจิ้งพยักหน้า จากนั้นก็ทักทายเย่หรงแล้วจะกลับไปเย่หรงมิเห็นหลิงอวี๋ จึงเอ่ยถามออกไป “เจ้าแห่งทิศใต้ เสี่ยวชีกลับไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจ้าแห่งทิศใต้ก็มิได้ปิดบังเย่หรง จึงกระซิบไป “เซียวหลินเทียนและหวงฟู่หลินถูกขังอยู่ในภูเขาอนันต์ของสำนักซิงหลัว สิงอวี๋และเพ่ยเพ่ยพาคนกลุ่มหนึ่งไปช่วยพวกเขาแล้ว!”“มหาปราชญ์ก็พาคนไปเช่นกัน เขาคิดจะจับตัวเซียวหลินเทียนและหวงฟู่หลิน!”ว่ากระไรนะ?สีหน้าของเย่หรงเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นกระหม่อมก็จะไปช่วยด้วย! เจ้าแห่งทิศใต้ กระหม่อมขอยืมม้าท่านสักตัวเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”หลงจิ้งยังมิได้ไป เ
เมฆฝนตั้งเค้า ลมพัดกระหน่ำทั่ว!ท่านผู้เฒ่าเย่มองเย่ซื่อเจียงออกไปแล้ว ก็หันไปมองเย่หมิงเย่หมิงถูกเขามองจนรู้สึกผิด ก้มหน้าลงต่ำ “ท่านปู่ ข้า... ข้าในฐานะพี่ใหญ่ทำหน้าที่ได้มิดีพอ ข้าทำให้พวกท่านผิดหวังในความไว้วางใจ!”ท่านผู้เฒ่าเย่ส่ายหน้า “มิใช่แค่เจ้าทำหน้าที่ได้มิดีพอ ข้าในฐานะปู่ก็ทำหน้าที่ได้มิดีพอเช่นกัน แต่ยามนี้หากจะเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว!”“เย่หมิง เหตุใดท่านปู่ของเจ้าถึงเรียกเจ้ามา? เจ้าล่วงรู้ถึงความตั้งใจอันดีของเขาหรือไม่?”เย่หมิงมองเย่ซงเฉิง พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ท่านปู่ทั้งสองล้วนต้องการให้ข้าได้ยินกับหูตนเองว่า เย่ซวินเสื่อมทรามลงได้อย่างไร เพื่อให้ข้าตื่นตัวระมัดระวัง ต่อไปจะได้มิถูกผู้อื่นชักจูงให้เดินไปบนเส้นทางเดียวกับเย่ซวินขอรับ!”เย่ซงเฉิงพยักหน้า “นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง คือเพื่อให้เจ้าเข้ามามีส่วนร่วมด้วย!”“ท่านพ่อของเจ้าเป็นผู้นำตระกูลเย่ ทว่าความสามารถของเขาเพียงคนเดียวย่อมมีจำกัด เขามิอาจดูแลได้รอบด้านไปเสียทุกสิ่ง!”“เย่หมิง เจ้าบรรลุเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านพ่อและท่านปู่ของเจ้าฝากความหวังไว้กับเจ้าอย่
เมืองหลวงแดนเทพเกิดความปั่นป่วน หลิงอวี๋และหลงเพ่ยเพ่ยต่างก็คาดมิถึงว่า พวกตนเพิ่งออกจากเมืองหลวงแดนเทพไปเพียงคืนเดียวก็กลับเกิดเรื่องมากมายขึ้นเช่นนี้เสียแล้วหลายคนรีบเดินทางมาถึงเมืองเล็กที่อยู่หน้าภูเขาอนันต์ หลงเพ่ยเพ่ยก็ถูกมู่หยางหัวหน้าองครักษ์เงาของจวนเจ้าห่งทิศใต้สกัดไว้มู่หยางคือบิดาของมู่ตง หัวหน้าองครักษ์ของหลงเพ่ยเพ่ย อายุสี่สิบกว่าปี สูงกว่ามู่ตงหนึ่งช่วงศีรษะ“ท่านหญิง คนของมหาปราชญ์และตำหนักหมาป่าสวรรค์ปิดล้อมเชิงเขาอนันต์ไว้หมดแล้ว พวกเราขึ้นไปช่วยคนบนเขามิได้แล้วขอรับ!”“ก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งคนไปสืบดูแล้ว หวงฝู่หลินและเซียวหลินเทียนช่วยหวงฝู่หมิงจูออกมาได้ แต่ถูกเจ้าสำนักซิงหลัวทำร้ายจนบาดเจ็บ พวกเขาจำต้องหลบเข้าไปในตำหนักใต้ดินแห่งความตาย!”ระหว่างทาง หลิงอวี๋ได้ฟังหลงเพ่ยเพ่ยเล่าถึงตำหนักใต้ดินแห่งความตายในตำนานนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าเซียวหลินเทียนและคนอื่น ๆ หลบเข้าไปในตำหนักใต้ดินแห่งความตาย หลิงอวี๋ก็ถอนหายใจโล่งอกไปชั่วคราว ขอเพียงมิตกไปอยู่ในมือของเจ้าสำนักซิงหลัว จากนี้ย่อมต้องมีวิธีช่วยพวกเขาออกมาได้แน่นอนหลงเพ่ยเพ่ยก็คิดเช่นเดียวกัน จึงกล่าวว่า “ท่านล
หลิงอวี๋ขมวดคิ้ว ทางด้านฝ่ายสนับสนุนได้เตรียมการไว้แล้ว แต่สิ่งที่หลงเพ่ยเพ่ยพูดต่างหากคือประเด็นสำคัญ เซียวหลินเทียนและคนอื่น ๆ จะสามารถเดินออกจากตำหนักใต้ดินมาถึงทางออกได้อย่างราบรื่นหรือไม่?“ลุงมู่ ท่านพอจะหาแผนที่ภูเขาอนันต์ได้หรือไม่? พวกเราจะได้ลองศึกษากันดูหน่อยว่า อดีตเจ้าสำนักน่าจะสร้างทางออกไว้ที่ใดมากที่สุด?”ภูเขาอนันต์มิสามารถบุกเข้าไปตรง ๆ ได้ ทำได้เพียงหาหนทางจากทางออก บางทีอาจจะสามารถเข้าไปจากทางออกเพื่อช่วยเหลือเซียวหลินเทียนและคนอื่น ๆ ออกมาได้“ข้านำแผนที่ติดตัวมาด้วยตอนออกเดินทาง!”มู่หยางหยิบแผนที่ออกมาส่งให้กับหลิงอวี๋แผนที่นี้ละเอียดมาก ระบุยอดเขาทุกยอดของภูเขาอนันต์รวมถึงเส้นทางทุกสายหลิงอวี๋สวมบทบาทเป็นอดีตเจ้าสำนัก ลองจินตนาการถึงตำหนักใต้ดินที่ตนออกแบบ จะต้องวางแผนอย่างไรจึงจะมิทำลายทัศนียภาพของภูเขาอนันต์นางมิเชื่อว่าอดีตเจ้าสำนักจะยอมทำลายบ้านเกิดของตนเพื่อสร้างตำหนักใต้ดินแห่งนี้ขึ้นมาหลงเพ่ยเพ่ยก็โน้มตัวเข้ามาดูเช่นกัน แต่ดูไปดูมาหลงเพ่ยเพ่ยก็ยังจินตนาการมิออกว่าภูเขาที่สูงชันเช่นนี้สามารถสร้างตำหนักใต้ดินขนาดใหญ่ไว้ข้างใต้ได้อย่างไรเถาจื่อ
แม้ว่านี่จะมิใช่ครั้งแรกที่หลิงอวี๋ได้พบเก๋อเฟิ่งฉิง แต่ก่อนหน้านี้นางมิได้มีความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเก๋อเฟิ่งฉิงเป็นพิเศษทว่าเซียวหลินเทียนได้มอบหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์ให้กับหลิงอวี๋มาโดยมีเจตนาเอาใจนางถึงแม้ในใจหลิงอวี๋จะยังคงมีความสงสัยในตัวเซียวหลินเทียนอยู่ แต่ทัศนคติของนางที่มีต่อเซียวหลินเทียนก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นโดยมิรู้ตัวดังนั้น เมื่อได้พบเก๋อเฟิ่งฉิงอีกครั้ง ในใจของหลิงอวี๋จึงมีปมค้างคาอยู่เสมอ“ท่านหญิง คุณหนูสิง!” มู่หยางเดินออกไปก่อนแล้วเก๋อเฟิ่งฉิงก็เดินเข้ามาหลงเพ่ยเพ่ยและเก๋อเฟิ่งฉิงมิได้มีการพบปะติดต่อกันเป็นพิเศษนัก แม้ว่าทุกคนจะรู้จักกัน แต่ปกติแล้วไม่มีการไปมาหาสู่กันหลงเพ่ยเพ่ยยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูเก๋อช่างหูตากว้างไกลเสียจริง ตัวข้าท่านหญิงและสิงอวี๋เพิ่งมาถึงมินาน คุณหนูเก๋อก็รู้แล้ว!”เก๋อเฟิ่งฉิงยิ้มอย่างใจกว้าง “ท่านหญิงอย่าเข้าใจผิดไป ข้ามิได้รู้ร่องรอยของท่านจากการจับตามอง! คนของข้าอยู่ข้างหน้าไปยี่สิบลี้คอยจับตาดูทุกคนที่มายังภูเขาอนันต์!”“ท่านหญิง ข้ามิขอปิดบังท่าน มหาปราชญ์มาที่ภูเขาอนันต์เพื่อจับคน ข้านำคนมาก็เพราะต้องการช่วยคนที่เข
เมื่อเก๋อเฟิ่งฉิงเห็นว่าหลิงอวี๋ยอมให้ตนเข้าร่วมก็แสยะยิ้มเย็นชาในใจหากมิใช่เพราะคนของนางที่พามามิสามารถช่วยเซียวหลินเทียนและคนอื่น ๆ ออกมาจากเงื้อมมือของมหาปราชญ์ได้ นางจะยอมมอบโอกาส ‘สาวงามช่วยวีรบุรุษ’ เช่นนี้ได้อย่างไร!เมื่อครู่นางก็ไตร่ตรองอยู่ครึ่งค่อนวัน มิอยากสูญเสียโอกาสในการช่วยเซียวหลินเทียน จึงได้เลือกมาหาพวกนางเก๋อเฟิ่งฉิงได้ยินน้ำเสียงออกคำสั่งของหลิงอวี๋ก็รู้สึกมิพอใจอยู่บ้าง แต่มิได้เผยสีหน้าแม้แต่น้อย นางหยิบแผนที่ออกมานี่คือแผนที่หนังแกะ ดูจากสีสันก็รู้ได้ถึงความเก่าแก่ บางจุดชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเก๋อเฟิ่งฉิงวางแผนที่ลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “ในอดีตบรรพบุรุษของข้าก็เคยเข้าร่วมสำรวจตำหนักใต้ดิน เขาถูกกลไกกับดักตัดขาไปข้างหนึ่ง คิดว่าตนไม่มีปัญญาเดินจนสุดทางตำหนักใต้ดิน จึงลากสังขารกลับมายังทางเข้า”“จนกระทั่งสิ้นใจ บรรพบุรุษของข้าก็ยังคงฝังใจอยู่เสมอ กล่าวว่า การที่มิสามารถเดินจนสุดตำหนักใต้ดินได้นั้นเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเขา เขาทั้งหลงใหลและคลั่งไคล้ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ แม้จะต้องเสียขาไปข้างหนึ่งเพื่อการดังกล่าว ทว่าชั่วชีวิตที่เหลือก็มิเคยเสียใจที่
เพื่อหลิงอวี๋แล้วเซียวหลินเทียนมิเสียดายที่จะละทิ้งฐานะจักรพรรดิมายังเมืองหลวงแดนเทพเพื่อตามหานางความรักอันลึกซึ้งนี้ทำให้เก๋อเฟิ่งฉิงทั้งอิจฉาและริษยา เหตุใดตนจึงมิอาจมีความรักที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้บ้าง?เก๋อเฟิ่งฉิงอยากจะฆ่าหลิงอวี๋ให้ตายนัก นางไม่มีทางยอมใช้สามีร่วมกับสตรีอื่นเป็นอันขาดทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลงเพ่ยเพ่ยแล้วนางมิอาจลงมือได้ ทำได้เพียงหาโอกาสอื่นแทนฟ้ามืดแล้ว เส้นทางบนภูเขายากลำบาก เดินไปกว่าหนึ่งชั่วยามจึงมาถึงป่าเขาที่เก๋อเฟิ่งฉิงกล่าวถึงแผนที่กับสภาพความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันมาก บนแผนที่มิได้ระบุว่ามีแม่น้ำ แต่กลางป่าเขากลับมีลำธารสายหนึ่งที่น้ำไหลจากด้านบนลงมาสองข้างทางลำธารเต็มไปด้วยหินรูปร่างประหลาดตั้งตระหง่านอย่างเย็นเยียบอยู่ใต้แสงจันทร์"มิสู้เราแยกย้ายกันค้นหา บางทีอาจจะพบอะไรบ้าง!" หลงเพ่ยเพ่ยเสนอแนะ"ได้!" หลิงอวี๋พยักหน้า พาเถาจื่อปีนขึ้นไปตามลำธารเก๋อเฟิ่งฉิงก็พาสาวใช้และผู้คุ้มกันของตนไปยังอีกทิศทางหนึ่ง"ฮองเฮา ท่านว่าฝ่าบาทกับพวกเขาจะสามารถฝ่าไปถึงทางออกได้อย่างปลอดภัยหรือไม่เพคะ?" เถาจื่อถามขณะปีนป่าย"อย่าเรียกข้าว่าฮองเฮาสิ!"หลิงอวี๋
หลิงอวี๋อยู่ริมลำธารเพียงลำพัง นางหมอบราบกับพื้นเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวของสายน้ำหลังจากฟื้นคืนพลังยุทธ์ ประสาทการได้ยินของนางเฉียบคมกว่าแต่ก่อน กอปรกับการชี้แนะของเย่ซงเฉิงและเย่ซื่อฝาน พลังยุทธ์ของหลิงอวี๋จึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเพียงแต่แม้ประสาทหูจะเฉียบคมเพียงใด นอกเหนือจากเสียงน้ำไหลแล้วก็มิได้ยินความเคลื่อนไหวอื่นใดเลยในขณะเดียวกัน พวกเซียวหลินเทียนได้ฝ่าด่านจนเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วแม้จะเดินตามแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้มาตลอด ทว่าความยากลำบากในการฝ่าด่านแค่ง่ายกว่าแนวทิศตะวันออกเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยากขึ้นเรื่อย ๆ ทีละด่านเซียวหลินเทียนเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน รวมกับบาดแผลก่อนหน้านี้เขาก็แทบจะทรงตัวมิอยู่แล้วแม้จะอาศัยโอสถรักษาแผลและโอสถแก้ปวดประคองอาการมาตลอด แต่พวกเผยอวี้ก็ยังสังเกตเห็นถึงความอ่อนแอของเขาเดินมาได้ครึ่งทาง จ้าวซวนก็ไปรับพวกหวงฝู่หลินลงมาทางฝั่งหวงฝู่หลินก็ทนต่อไปมิไหวแล้วเช่นกันเมื่อมหาปราชญ์มาถึงก็ร่วมกับเจ้าสำนักซิงหลัว ยื่นคำขาดสุดท้ายแก่หวงฝู่หลิน หากมิยอมเดินออกจากตำหนักใต้ดินด้วยตนเอง พวกเขาจะบุกโจมตีมหาปราชญ์เคียดแค้นหวงฝู่หลินและเซียวหลิน
หลิงอวี๋มาที่เมืองหลวงแดนเทพได้สักพักหนึ่งแล้ว นางรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอูเป็นการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าตระกูลใหญ่ ๆ หลายตระกูลเนื่องจากพวกนางได้ปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์มารุ่นแล้วรุ่นเล่า และควบคุมเครื่องยาสมุนไพรชั้นยอดอันล้ำค่าที่เหล่าบรรดาตระกูลใหญ่และผู้บำเพ็ญตนในแดนเทพต้องการ ดังนั้นตระกูลเหล่านี้จึงเคารพพวกนางมากอีกทั้งนี่ยังทำให้เกิดเป็นตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตัวสูงส่งมิเห็นหัวใครและอวดดีอีกด้วยแต่ก็เช่นเดียวกับที่ตระกูลหลงนั่งอยู่อย่างมั่นคงในแผ่นดินของแดนเทพมาหลายร้อยปีนี้ พวกตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็มิได้ให้ความเคารพต่อตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปเหล่าตระกูลใหญ่ส่วนมากต่างก็รู้สึกว่าเครื่องยาสมุนไพรของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ฟ้าดินประทานให้ทุกคน เหตุใดจึงต้องให้ตระกูลหลงและตระกูลอูเป็นผู้ควบคุมและจัดสรรให้ทุกคนด้วยเล่า?ในตอนนี้เมื่อได้ยินมู่ตงบอกว่าตระกูลอูมิได้เห็นฮองเฮาและท่านหญิงอยู่ในสายตา หลิงอวี๋ก็รู้สึกเป็นห่วงตระกูลอูขึ้นมาการยั่วยุอำนาจจักรพรรดิและตระกูลใหญ่เหล่านั้นเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลอูจะปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ในท้ายที่สุด
กลุ่มของหลิงอวี๋รีบมุ่งตรงไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างรีบร้อน เผยอวี้เอ่ยถามออกไป “พี่หญิงหลิงหลิง เหตุใดเจ้าแห่งทะเลจึงปล่อยท่านออกมาง่ายดายถึงเพียงนี้เล่า?”“ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าต่อให้นำพระราชโองการจากฮองเฮามา เจ้าแห่งทะเลอาจจะมิปล่อยท่านออกมาก็เป็นได้!”“ข้ายังมีประโยชน์กับเขาอยู่ ตอนนี้เขาทำอะไรข้ามิได้ และมิอาจสังหารข้าได้ด้วย จึงได้ปล่อยข้าออกมา!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาเรียบ ๆ “แต่เจ้าแห่งทะเลรู้ตัวตนของข้าแล้ว เขาน่าจะมีแผนสำรองอยู่!”หลังจากเถาจื่อขึ้นรถม้าก็มิได้พูดอะไรทั้งนั้น จิตใจของนางค่อนข้างอ่อนล้า หลังจากพักผ่อนไปสักพักหนึ่งจึงรู้สึกดีขึ้นแต่หลิงอวี๋และเผยอวี้ต่างก็มิได้สังเกตว่า สายตาที่เถาจื่อมองพวกเขานั้นค่อนข้างแปลก ทั้งยังแฝงความเกลียดชังอยู่ในนั้นด้วย“เช่นนั้นทางที่ดีพวกเรารีบไปจากแดนเทพกันเถิด!”วิกฤตในวันนี้ ทำให้เซียวหลินเทียนและเผยอวี้ตระหนักถึงอันตรายของการอยู่ในแดนเทพต่ออำนาจของพวกเขาในแดนเทพนั้นมิอาจเทียบกับเจ้าแห่งทะเลได้ พลังก็สู้เจ้าแห่งทะเลมิได้ การรีบไปจากแดนเทพต่างหากจึงจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก เมื่อทำเสร็จแล้วค่
เจ้าแห่งทะเลมองท่านอาสุ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ท่าทางของท่านอาสุ่ยดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บภายในจริง ๆ ท่าทางของหลิงอวี๋เมื่อครู่ก็มิได้ดูดีนักการประลองของทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย!แต่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้จริงหรือ?“เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางใช้หยกหล้าสุขาวดีอย่างไร?”เจ้าแห่งทะเลซักต่ออย่างมิยอมปล่อยท่านอาสุ่ยส่ายหัว “หม่อมฉันสร้างภาพลวงตาให้หลิงอวี๋ นางเองก็ทำเช่นกันเพคะ นางใช้พลังจิตในการใช้หยกหล้าสุขาวดี ตั้งแต่ต้นจนจบหม่อมฉันมิเคยเห็นหยกหล้าสุขาวดีปรากฏออกมาเลยเพคะ!”“เจ้าแห่งทะเล ท่านเคยตรัสว่าหยกหล้าสุขาวดีหลอมรวมกับหลิงอวี๋แล้วมิใช่หรือเพคะ?”“หยกหล้าสุขาวดีอยู่ในร่างของนาง นางแค่คิดก็สามารถใช้หยกหล้าสุขาวดีได้แล้ว!”เมื่อท่านอาสุ่ยนึกถึงคำสั่งที่หลิงอวี๋ทิ้งเอาไว้ในจิตของตน นางก็อยากจะให้หลิงอวี๋ตายไปเสียใครจะชอบให้คนที่สามารถทำให้ตนกลายเป็นคนโง่ได้ทุกเมื่อมีชีวิตอยู่กัน!ในเมื่อตนมิสามารถจัดการกับหลิงอวี๋อย่างเปิดเผยได้ เหตุใดมิใช้อำนาจของเจ้าแห่งทะเลกำจัดภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้เล่า!“เจ้าแห่งทะเล หม่อมฉันคิดว่าท่านไปนำหยกหล้าสุขาวดีของนางมาใ
หลิงอวี๋แย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “หลังจากออกไปแล้ว หากท่านทำตัวดี มิทำเรื่องชั่วช้าอีก ท่านก็จะมีชีวิตสงบสุขไปจวบจนแก่เฒ่า!”“แต่หากท่านกล้าไปร่วมมือกับคนชั่วแล้วมาหาเรื่องข้าอีก ทะเลทรายแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ฝังศพของท่าน!”“เจ้าทำอะไรกับข้า?”ท่านอาสุ่ยเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจและสงสัย“ท่านเชี่ยวชาญวิชาดูดกลืนวิญญาณ ก็น่าจะรู้ว่าข้าสามารถทิ้งคำสั่งไว้ในจิตสำนึกของท่านได้ หากมิไปกระตุ้นคำสั่งนี้ ก็จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น!”“ทว่าหากไปกระตุ้นมัน ท่านก็จะกลับมาอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้อีกครั้ง!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาอย่างมีความหมาย “นี่นับว่าเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ท่านให้ข้าเรียกท่านว่าแม่!”ท่านอาสุ่ยตกตะลึง แต่นางมิได้แข็งแกร่งเท่าหลิงอวี๋ แม้ว่าจะมิพอใจกับวิธีการนี้ของหลิงอวี๋แต่ก็มิอาจต่อต้านได้“ออกไปเถิด ท่านเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรบอกกับเจ้าแห่งทะเลว่าอย่างไร!”หลิงอวี๋จึงเปลี่ยนความคิดในใจ จากนั้นท่านอาสุ่ยและนางก็ออกจากภาพลวงตามาสู่ความเป็นจริงทั้งสองคนต่างก็ล้มลงไปกับพื้นพร้อมกันการประลองพลังจิตครั้งนี้สิ้นเปลืองพลังของทั้งสองคนไปเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลิงอวี๋จะชนะ แต่ปฐม
หลิงอวี๋มิได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่น้อย นางและท่านอาสุ่ยยังคงต่อสู้กันอยู่ในภาพลวงตาพลังของท่านอาสุ่ยสูงกว่าของหลิงอวี๋ ดังนั้นหลิงอวี๋จึงต้านอย่างยากลำบากมากขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะต้านมิอยู่นั้น จู่ ๆ นางก็นึกถึงหยกหล้าสุขาวดีขึ้นมาเย่ซงเฉิงเคยบอกไว้มิใช่หรือว่า หยกหล้าสุขาวดีนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เหนือกว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ความลับของมันมีเพียงตนเท่านั้นที่จะเข้าไปสำรวจได้?ส่วนการสูญเสียความทรงจำสามารถทำให้ตนละทิ้งข้อจำกัดของอดีต ทำความรู้จักตนเองใหม่อีกครั้ง และไปสำรวจความลึกลับของหยกหล้าสุขาวดีได้!เย่ซงเฉิงสามารถสร้างภาพลวงตาที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นให้ตนได้ นี่มิใช่สิ่งที่พลังของเขาสามารถทำได้แน่นอน!เขาแค่ใช้อิทธิฤทธิ์ของหยกหล้าสุขาวดีของตนมาสร้างภาพลวงตาให้กับตนในเมื่อเขาสามารถใช้ตนกระตุ้นศักยภาพของหยกหล้าสุขาวดีได้ แล้วเหตุใดตนที่อยู่ในฐานะเจ้าของหยกหล้าสุขาวดีจะมิสามารถใช้ได้เล่า?หลิงอวี๋คิดแล้วก็หลับตาลง จากนั้นในหัวของนางก็ตั้งสมาธิแน่วแน่นึกถึงทะเลทรายในชั่วพริบตาบริเวณรอบ ๆ ก็เป็นทะเลทรายทั้งหมด ทะเลทรายสีเหลืองทองนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วนางก็
หากวิชาดูดกลืนวิญญาณของตนถูกอีกฝ่ายต้านกลับได้ มีหรือที่ท่านอาสุ่ยจะมิรู้จุดจบ นางอาจจะติดอยู่ในภาพลวงตาที่หลิงอวี๋สร้างขึ้นตลอดไปและมิสามารถออกไปได้อีกในยามนี้ ท่านอาสุ่ยมิกล้าประมาทหลิงอวี๋แล้ว นางจึงพยายามช่วงชิงอำนาจการควบคุมอย่างสุดความสามารถในเวลานี้หลิงอวี๋เองก็มิสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน หากนางมิกดท่านอาสุ่ยเอาไว้ นางก็คงจะกลายเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งทั้งสองคนแข่งขันกันโดยที่ต่างคนต่างก็ใช้วิธีการของตนมากดอีกฝ่ายไว้เจ้าแห่งทะเลเห็นเพียงปากของคนทั้งสองขยับอยู่ และการแสดงออกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมิได้ยินว่าทั้งสองคนพูดอะไรกันนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เจ้าแห่งทะเลมิได้คิดว่าหลิงอวี๋มีวิชาดูดกลืนวิญญาณและสามารถควบคุมท่านอาสุ่ยได้แต่เขาแค่สงสัยว่า ท่านอาสุ่ยจะมิอยากให้ตนรู้ความลับของหยกหล้าสุขาวดี จึงสื่อสารกับหลิงอวี๋เป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นเลือดไหลออกมาจากจมูกของท่านอาสุ่ยและหลิงอวี๋!นี่คือธาตุไฟเข้าแทรกหรือไม่?ยามนี้ต่อให้เจ้าแห่งทะเลจะเขลาแค่ไหนก็รู้แล้วว่าเรื่องราวมิได้เป็นไปตามทิศทางที่ตนคาดไว
แม่บ้าอะไรเล่า!หลิงอวี๋ลอบกำหมัดแน่นผู้ที่ศึกษาวิชาสะกดจิตต่างก็รู้กันดีว่า ผู้ที่จิตแข็งจะมิถูกสะกดจิตได้ง่าย ๆอีกทั้งผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาสะกดจิตก็ยังรู้ด้วยว่า หากพบผู้ที่จิตแข็งกว่าพวกเขา การสะกดจิตจะมิสำเร็จ และอาจจะถูกอีกฝ่ายสะกดจิตกลับได้ด้วย!ในชั่วพริบตานั้นหลิงอวี๋จึงตัดสินใจว่าจะใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ให้ท่านอาสุ่ยได้ลิ้มรสการถูกสะกดจิตกลับเช่นกัน“ข้ายังมองมิเห็นทางออกเลย ข้าปวดหัวยิ่งนัก ข้าจะทนมิไหวแล้ว!”หลิงอวี๋ยังคงแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดต่อแต่ในหัวของนางกำลังคิดหาวิธีที่จะจัดการกับท่านอาสุ่ยอยู่วิชาสะกดจิตของท่านอาสุ่ยในยุคนี้ก็คือวิชาดูดกลืนวิญญาณนั่นเอง การที่เจ้าแห่งทะเลเชิญนางมาจัดการกับตนก็เป็นการยืนยันได้แล้วว่าท่านอาสุ่ยเป็นปรมาจารย์ทางด้านนี้หากคิดจะจัดการกับปรมาจารย์เช่นนี้ การพึ่งวิธีการธรรมดาทั่วไปไม่มีทางที่จะบรรลุเป้าหมายได้แน่!ใกล้มือหลิงอวี๋เองก็ไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมแก่การสะกดจิตท่านอาสุ่ยกลับด้วยอีกทั้งเจ้าแห่งทะเลก็ยืนจ้องตาเป็นมันอยู่ด้านข้าง หากเขาพบว่ามีอะไรผิดปกติแล้วมาขัดขวางนาง นางก็จะมิอาจบรรลุเป้าหมายได้เช่นกันหลิงอวี๋นึก
“เจ้าค่ะ ท่านแม่!”หลิงอวี๋ตอบรับ จากนั้นตรงหน้าก็ปรากฏประตูไม้โบราณบานหนึ่งขึ้นมา เมื่อนางผลักประตูเปิด ข้างในห้องนั้นล้วนเป็นหมอก จนมองมิเห็นการตกแต่งใด ๆ“อาอวี๋ เจ้าเห็นสิ่งใด?”ท่านอาสุ่ยเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน“ท่านแม่ มีแต่หมอกเต็มหมด นอกจากนี้แล้วข้ามองมิเห็นอะไรเลย!”หลิงอวี๋บอกไปตามความจริงท่านอาสุ่ยรู้สึกสับสนขึ้นมา วิชาดูดกลืนวิญญาณของตนถึงขั้นสูงสุดแล้ว ในแดนเทพแทบจะไม่มีใครเทียบเทียมกับตนได้นางชี้นำให้หลิงอวี๋เปิดประตูแห่งความทรงจำ ตามหลักเมื่อหลิงอวี๋เปิดประตูนั้นไปก็น่าจะนึกถึงเรื่องที่เกี่ยวกับหยกหล้าสุขาวดีได้ แต่เหตุใดสิ่งที่เห็นจึงมีแต่หมอกเสียได้เล่า!ท่านอาสุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “อาอวี๋ เดินเข้าไป เดินฝ่าหมอกเหล่านั้นไปแล้วเจ้าจะพบ!”หลิงอวี๋จึงเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่อฟัง แต่นอกจากหมอกแล้วนางก็ยังมิเห็นสิ่งใดอยู่ดีอีกทั้งยังปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงด้วย“ท่านแม่ ข้าปวดหัว!” นางเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดท่านอาสุ่ยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ นี่คือปฏิกิริยาที่หลีกเลี่ยงมิได้เมื่อหลิงอวี๋อยู่ในกระบวนการขุดค้นความทรงจำ“อดทนไว้ ขอเพียงฝ่าหมอกไปได้ก็จะม
“ข้ามีนามว่าหลานฮุ่ยจวน ข้าเป็นคนให้กำเนิดเจ้ามา เป็นแม่ของเจ้า!”ท่านอาสุ่ยเอ่ยต่อ “อาอวี๋ แม่รอเจ้ามาหลายปีแล้ว ขอเพียงเจ้าเปิดห้องขังนี้ แม่ก็จะอยู่กับเจ้าตลอดไปได้!”หลิงอวี๋เห็นแสงสีรุ้งเหล่านั้นจางลงไป จากนั้นนางก็มาอยู่ในห้องขังที่มืดมิดห้องหนึ่งสตรีที่สวมอาภรณ์เก่า ๆ ผู้หนึ่งกำลังถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดูราวกับว่าถูกทุบตีมาอย่างสาหัสเมื่อนางเห็นหลิงอวี๋ สตรีผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาคว้าลูกกรงไว้แล้วเรียกนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังใบหน้านั้นมีความอ่อนโยนและค่อนข้างคุ้นเคย หลิงอวี๋จึงเดินเข้าไปหาโดยมิรู้ตัว“ท่านคือท่านแม่ของข้าหรือ?”นางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสับสน“ข้าคือแม่ของเจ้า… อาอวี๋ เจ้าคือลูกที่ข้าอุ้มท้องมาสิบเดือนและให้กำเนิดเจ้ามา เหตุใดเจ้าจึงจำข้ามิได้เล่า?”“อาอวี๋ แม่ก็มิอยากแยกจากเจ้าเช่นกัน แต่คนเลวพวกนั้นมาพรากเราออกจากกัน พวกเขาขังแม่ไว้ที่นี่ ทุบตีทำร้ายแม่ ทรมานแม่!”สตรีผู้นั้นสะอื้นพลางเอ่ยออกมา “แม่คิดถึงเจ้าตลอดเวลาที่อยู่ในคุก ที่เจ้ามาหาที่นี่มิใช่ว่าเพื่อจะมาช่วยเหลือแม่หรอกหรือ?”“เจ้ารีบไขประตูช่วยแม่ออ