เพียงหญิงชราก้าวออกมาถึงห้องโถงรับแขก ทุกสายตาของคนที่นั่งอยู่ภายในนั้น ต่างหันมองมาที่นางเป็นจุดเดียว สายตาฝ้าฟางพยามเพ่งมองไปที่ลุ่มคนมากมาย เพื่อจะดูว่าคนไหน ที่ลูกสะใภ้เอ่ยถึง แล้วคนไหนกัน! คือบุตรชายของนาง “นายท่านทั้งหลาย รอสักครู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวลูกสะใภ้ของข้าน้อย จะนำชาออกมาต้อนรับ ตอนนี้นางกำลังต้มอยู่ นานๆ จะมีแขกผ่านมาทางนี้ เราจึงมิได้จุดเตาไว้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ” หญิงชราเอ่ยชี้แจงอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ กับแขกจำนวนมาก ที่นั่งอยู่เต็มทุกโต๊ะภายในร้าน สายตาก็เฝ้าเพียรพยายาม มองหาคนที่คิดว่าเป็นบุตรชายคนโต แต่จากที่เห็นคนที่นั่งอยู่ มีวัยไม่มากกว่าบุตรชายก็อ่อนกว่ามากแม้จะรู้ว่าบุตรชายนั้น ได้ตายไปแล้ว แต่บางครั้งนางก็คาดหวัง ว่าจะมีคนแอบช่วยเหลือให้เขารอดชีวิต หากจะว่าไปแล้วในวันประหาร นางก็เพียงยืนมองอยู่ไกลๆ เห็นหน้าคนที่ตายได้ไม่ชัดนัก จึงยังคาดหวังว่าเขาจะรอดชีวิตแต่นี่ก็ผ่านมากว่าสิบห้าปีแล้ว ยังคงไร้ซึ่งวี่แววที่นางหวัง จนเมื่อครู่ที่ลูกสะใภ้ มีอาการแตกตื่น เอ่ยถึงบุตรชาย นางจึงได้มีความหวัง จนต้องออกมาดูให้เห็นกับตาตนเอง “ท่านยายน
“เจ้า!” เชียนจิ้งอี้ คิดที่จะด่าทอสามีเมื่อถูกขัดใจ ทว่า... “เงียบ! นี่คือลูกค้าของเรา เจ้าควรที่จะเลิกคิดว่าตัวเอง คือคุณหนูสกุลใหญ่ได้แล้ว หยุดทำตัวสูงส่งไร้ค่านั่นซะ! หากเจ้าทำให้ร้านของข้าต้องพังพินาศ ข้าสาบานเลยว่าจะมิให้เจ้าได้ตายดี” ฉือจ้าวหนาน หันกลับไปตะคอกภรรยา ให้นางสงบปากเสีย เขาใช้เงินจำนวนไม่น้อย มอบให้เจ้าเมืองเหนือ เพื่อที่จะเปิดจุดพักแห่งนี้ขึ้น เขาไม่มีวันให้มันพังเพราะนางได้หรอกนะ “เอาเถอะ! เรื่องมันแล้วไปแล้ว ท่านช่วยจัดห้องพักตามที่ข้าต้องการได้แล้วกระมัง ตอนนี้ภรรยากับน้องสะใภ้ของข้า พวกนางเหนื่อยมากแล้ว” ต้วนอี้หลาง ไม่อยากที่จะได้ยินเสียง ให้เป็นอัปมงคลหูนานกว่านี้แล้ว เขาจึงได้เอ่ยตัดบทขึ้น เพื่อให้คนทั้งคู่ ไปจากสายตาเขาเสียที “เช่นนั้นเชิญนายท่าน พากันนั่งรอข้าน้อยสักครู่ขอรับ เอ้า! เจ้ายังไม่รีบไปต้มชามาอีก มัวยืนทำอะไรอยู่” ฉือจ้าวหนาน รีบเชื้อเชิญลูกค้าให้นั่งรอ ก่อนจะหันไปตวาดภรรยา ที่ยังยืนกัดฟันส่งสายตาอาฆาต ไปยังแขกของร้าน ก่อนจะดวงตาเบิกกว้างในทันที ที่ชายหนุ่มที่ตำหนินางเมื่อครู่ ถอดหมวกปีกกว้าง
“นำทางเถอะ”ต้วนอี้หลางหันไปบอกกับเจ้าของจุดพัก ก่อนจะประคองภรรยาก้าวตามไป โดยมีแม่ทัพหนุ่มและฉู่เมี่ยว เดินเคียงกันมุ่งตรงไปยังกระท่อม ส่วนผู้ติดตามอื่นๆ ล้วนแยกย้ายกันสำรวจโดยรอบแม้ว่าลานหินนี้ จะเป็นพื้นที่เปิดโล่งเพียงฝั่งเดียว ด้านหลังกระท่อมคือผาหินสูง แต่ใช่ว่าจะประมาทได้ เพราะทำเลเช่นนี้ นับเป็นจุดพักทีดี แต่อาจไม่เหมาะต่อการรับมือศัตรู “เชิญด้านในขอรับ”ชายเจ้าของจุดพัก รีบผายมือให้แก่แขกของวันนี้ อย่างนอบน้อมเหลือเกิน นั่นทำให้ต้วนอี้หลาง รู้สึกเย้ยหยันต่อคนเบื้องหน้านัก ตอนทีเขาอยู่ต่างพากันใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ ทำไมตอนนี้จึงตกมาอยุ่สภาพนี้ได้เล่า “ข้าต้องการห้องพักสองห้อง อาหารและน้ำไม่ต้อง คนของข้ามีมาพร้อม ข้าจะจ่ายค่าที่พักแรมให้เจ้าตามเหมาะสม” ก่อนที่จะก้าวไปในกระท่อม ต้วนอี้หลางบอกถึงสิ่งที่เขาต้องการ จากจุดพักแห่งนี้ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม เพราะมันยากต่อการควบคุม โดยเฉพาะอาหารและน้ำ หากพลาดไปแล้ว ย่อมต้องเสียเวลาในการเดินทาง หรืออาจหนักกว่านั้นคือเสียจำนวนคน “อะ...เอ่อ...ได้ขอรับ เชิญๆ”
“ดูพี่ใหญ่ไม่ชอบคนแคว้นฉินนะขอรับ”หลังจากเงียบกันมาพักหนึ่ง แม่ทัพหนุ่มจึงได้เอ่ยถามพี่ชายออกมา เมื่อเห็นว่าตอนนี้ พี่ชายคล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ ที่หยั่งลึกอยู่ภายในใจ จนยากที่จะเอ่ยออกมาให้เขา หรือใครๆ รับรู้ได้ และเขาคิดว่ามัน ต้องเกี่ยวกับกลุ่มคน ที่พวกเขาต้องพบในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้ “ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้นเล่า” ต้วนอี้หลาง หันไปถามน้องชาย เมื่อสิ่งที่หยางอี้หลงพูดมา มันมีส่วนอยู่มากทีเดียว เขามิใช่ไม่ชอบชาวแคว้นฉิน มันแค่เฉพาะกับบางคนเท่านั้น “ข้าเห็นพี่ใหญ่ดูเหม่อลอยไปอยู่บ้างขอรับ อีกอย่างตั้งแต่พี่ใหญ่เข้ามารับช่วงต่อจากท่านพ่อ ดูแลสำนักคุ้มภัย และทำการค้า พี่ใหญ่ไม่เคยที่จะเดินทางไปทำการค้า ที่แคว้นฉินแม้แต่ครั้งเดียว” “มิใช่ทุกคนหรอกนะ ที่ข้าจงเกลียดจงชัง และข้าก้มองว่าแคว้นฉินไม่สงบพอ ที่เราจะเอาเงินไปเสี่ยงลงทุน มันจะได้ไม่คุ้มเสีย” ต้วนอี้หลาง ไม่ได้คิดที่อธิบายให้ยืดเยื้อ เขารู้ว่าแค่นี้น้องชายก็เข้าใจดีอยู่แล้ว เขาไม่อยากกลับไปเหยียบแผ่นดิน ที่ไม่มีคนรักเขาเลย และการค้าที่ไร้โอกาสสร้างผลกำไร ทำไมเขาต้องเอาเงินไปเสี่ยง เพรา
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าช่างน่าเอ็นดูนักเมี่ยวเมี่ยว ที่เมืองหลวงถึงจะมีฤดูหนาว แต่ก็มิเคยมีหิมะโปรยปราย ข้าจึงมิเคยได้สัมผัสมันสักครั้ง” มู่ไฉอ้าย หัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดูในความซุกซน เมื่อครั้งยังเด็กของฉู่เมี่ยวและน้องสาวสามี ลึกๆ นางก็อยากมีโอกาสได้ใช้ชีวิต เล่นสนุกแบบคนทั่วๆ ไปบ้างแต่เพราะนางเกิดมาในครอบครัวใหญ่ ที่เต็มไปด้วยการช่วงชิง ทุกย่างก้าวล้วนต้องเหนือกว่าผู้อื่นเท่านั้น เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ห้ามที่จะล้ม หาไม่แล้ว...ลมหายใจที่มีก็ยากจะรักษา “ข้าจะพาเจ้าได้สัมผัส เตรียมตัวเถอะ อีกไม่ไกลแล้ว” ต้วนอี้หลาง เห็นสายตาของภรรยาก็พอจะเข้าใจ ถึงความอ้างว้างของนาง เขาจดจำได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้ มันร้าวลึกแค่ไหน ในชีวิตเดิมของเขา ที่เติบโตมาไร้ความรักจากมารดาและคำว่าลูกคนโต เขาต้องแบกทุกสิ่งอย่างไว้บนบ่า บางครั้งมันก็หนักจนเกินไป สำหรับคน...คนหนึ่ง ที่หายใจเข้าออกเพื่อคนอื่นมาทั้งชีวิต แต่ในชีวิตใหม่นี้ มันช่างแตกต่างนัก เขาเป็นบุตรชายคนโต ทว่าครอบครัว กลับไม่เคยปล่อยให้เขา ต้องแบกทุกสิ่งเพียงลำพัง และเขาก็จะไม่ปล่อยภรรยา ให้รู้สึกเช่นอดีตของเขาเหมือนกัน นางจะอบ
“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ” ฉู่เมี่ยวเอ่ยออกมา ก่อนจะหันไปสาละวนกับกล่องไม้ข้างกาย ปล่อยให้พี่สะใภ้เอนกายลงนอน และใช้เวลาเพียงไม่นอน มู่ไฉอ้ายก็ผล็อยหลับไป กึก! กึก! หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อรถม้าที่เคยวิ่งอย่างนิ่มนวล เวลานี้มันเหมือนวิ่งขึ้นลง ตามร่องหลุมลึกตื้นสลับไปมา หญิงสาวขยับลุกขึ้น ก่อนจะคลี่ม่านออกมองไปด้านนอก ภาพภายนอกหากจะว่างดงามมากก็ไม่ผิด ทว่านางก็ไม่ควรที่จะมองนาน เพราะมันขาวโพลนไปด้วยหิมะ นางกำลังขึ้นเขาหรือนี่ เร็วเกินไปไหม...หรือนางหลับไปนานกันแน่ “พี่สะใภ้ตื่นแล้วหรือเจ้าค่ะ” ฉู่เมี่ยวที่เพิ่งขยับลุกขึ้น เอ่ยถามพี่สะใภ้ หญิงสาวยกมือปิดปากหาว นางคุ้นชินต่อการเดินทางไกล ถนนเบื้องหน้าจะขรุขระหรือราบเรียบ สำหรับนางล้วนสามารถหลับได้สนิทดี แต่กับพี่สะใภ้คงไม่เป็นเช่นนั้นกระมัง “เราหลับไปนานหรืออย่างไร ข้าจำได้ว่าภูเขาที่เราต้องขึ้น มันอยู่ไกลมากมิใช่หรือ” “หากกะระยะด้วยสายตา มันจะแบบนั้นเจ้าค่ะ แต่แท้จริงแล้วตีนเขานั้น ห่างจากทุ่งหญ้าไม่ไกลนักเจ้าค่ะ” “เจ้าเคยมาทิศเหนือบ่อยหรือ” “สมัยที่ท่านแม่ทั