“ห่วงสิ! แต่ถ้าพวกเขาออกเดินทางต่อได้ นั่นแสดงว่ายังปลอดภัยดี อีกอย่างเราไปถึง ย่อมต้องมีเรื่องให้สะสางเสียก่อน เสร็จสิ้นเมื่อใด จึงจะติดตามพวกนางไปได้ ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนให้มาก ถึงอาการบาดเจ็บจะดีขึ้นแล้ว แต่ใช่ว่าจะหายดีเสียเมื่อไหร่” ชายหนุ่มโอบไหล่ภรรยา ให้เข้ามาแนบกาย เขาผิดที่ไม่ระวังในบางเรื่องให้มาก หากมันเกิดขึ้นจริง เขาไม่รู้จะแบกหน้าหนาเพียงใด ไปขอโทษต่อพ่อตา และพ่อแม่ของเขา ในเรื่องนี้อย่างไร หากมีการสูญเสียสิ่งนั้นไป เขาควรระวัง...แต่เพราะยามนั้น เขารู้สึกอยากให้นางได้ทุกอย่างที่เป็นของเขา โดยลืมไปว่ากำลังเดินทางไกลทั้งยังใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย “ท่านพี่เป็นอันใดไปเจ้าคะ”เมื่อเห็นสามีถอนหายใจหนักๆ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “แค่ห่วงเจ้าเท่านั้น” ต้วนอี้หลางตอบภรรยา ก่อนจะหันไปสบตากับน้องชาย ที่ดูเหมือนจับจ้องทุกสีหน้าของเขาไม่ละไหน “เจ้าไปเตรียมของกินเพิ่มด้วย เผื่อสาวๆ จะหิวระหว่างทาง สั่งคนบุผ้าภายในรอบม้า ให้หนาขึ้นอีกชั้น อากาศนับจากนี้จะหนาวเย็นมากนัก” ต้วนอี้หลางถื
เส้นทางสู่เมืองหน้าด่านแดนเหนือ หลังจากเกิดเรื่องมากมายในเมืองหลี่ คณะเดินทางของราชบุตรเขย ได้ออกเดินทางต่อในทันที ที่สะสางเรื่องวุ่นวายในเมืองหลี่ ตามบัญชาที่ได้รับมา กว่ายี่สิบวันมานี้ ยังคงไร้ข่าวจากน้องๆ ซึ่งมันเงียบหายไปอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่เกิดเรื่องกับนางในคราแรก แต่ด้วยอาการทางสายสัมพันธ์ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ พวกเขาทั้งคู่จึงยังวางใจ ว่าน้องชายหญิงยังคงปลอดภัยดีอยู่ซึ่งอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะถึงเมืองหน้าด่านชายแดนเหนือแล้ว อาการบาดเจ็บขององค์หญิงไฉอ้าย ดีขึ้นตามลำดับ สมกับมีสามีเป็นหลานชาย ท่านหมอผู้มากฝีมือแห่งสกุลต้วน ใต้ร่มไม้ใหญ่กลางทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม รถม้าของคณะเดินทางได้หยุดพัก เพื่อให้ม้าได้กินหญ้าและน้ำ รวมถึงทุกคนในขณะด้วยเช่นกัน แม่ทัพหนุ่ม ลุกขึ้นเดินออกไปยืนอยู่นอกร่มเงาไม้ เมื่อสายตาของเขาเห็นคล้ายเหยี่ยวตัวใหญ่ บินวนอยู่เหนือท้องฟ้า หยางอี้หลงก้าวออกไปยืนนิ่ง ก่อนยื่นแขนออกไป เพื่อรอรับการโฉบลงมาของอินทรีตัวนั้น พรึ่บ! หมับ! กรงเล็บแข้งแกร่ง เกาะที่แขนได้อย่างแม่นยำ มันถูกเลี้ยงและฝึกฝนโดยพี่ม่อเหลียว มันจะจดจำกลิ่นและรูปลักษณ์ของนายทุ
“ใช่! มันต้องเป็นเช่นนั้น แต่เพื่อเป็นกุศลให้แก่ท่านตา ท่านแม่และเหล่าผู้เสียสละทั้งหลายแห่งหยินกวง ที่ต้องตายด้วยน้ำมือพวกเจ้า ข้าจะละเว้นโทษตาย แต่ข้าจะให้พวกเจ้า อยู่มิสู้ตายในนี้ไปจนลมหายใจสุดท้าย อยู่อย่างทุกข์ทรมาน เช่นที่มารดาข้าต้องทุกข์ทนมาหลายปี ต่อให้พวกเจ้าเพียรพยายามจะตาย ข้าก็จะลากพวกเจ้าให้พ้นมือมัจจุราช เพื่อใพวกเจ้าได้อยู่บนความทุกข์ ไปให้นานที่สุด เท่าที่สวรรค์จะร้องขอ ให้ข้าปล่อยพวกเจ้าไป วันนั้นข้าจะยอมให้พวกเจ้าได้ตายสมใจ”เป็นคำตัดสิน ที่ทำให้ทั้งสี่พ่อแม่ลูก หนาวสะท้านไปทั้งกาย ใช่ว่าพวกเขามิเพียรปลิดชีพ แต่คนของอีกฝ่าย ไม่เคยให้พวกเขาได้ทำสำเร็จสักครั้ง และเพิ่มการทรมานพวกเขาให้มากขึ้น จนวันนี้ที่เห็นหน้าลูกอีกครั้ง คิดว่าถ้าต้องตายก็ยังดีที่พร้อมหน้า แต่ใครจะไปคิดว่าอวี๋มู่หลง จะไม่ยอมลงมือสังหารพวกเขาเช่นนี้“มู่หลง! เจ้าไม่เคยเห็นข้าเป็นพี่สาวเลยหรือ”สวี่หวิ๋น ผละออกจากอ้อมกอดของมารดา แล้วหันไปถามน้องชายคนเล็ก“ถามตัวเจ้าเองเถอะ และต่อให้พวกเจ้า คือพี่น้องแล้วอย่างไร ข้าต้องเห็นใจ ทั้งที่พวกเจ้าลงมือต่อข้าสองแม่ลูก โดยไม่เคยคำนึงถึงคำว่าพี่น้องเลยมิใช่หรือ
“หึๆ ใช่...ข้าเป็นแค่ตัวแทนของเขา แต่ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร แล้วมันอย่างไรเล่า ในเมื่อข้าก็มีจุดจบ มิต่างกันกับเขาในตอนนี้มิใช่หรือ”ชายผู้ถูกจองจำ หัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน หากเขามีความสามารถเทียบเท่าสวี่เทียน เขาคงไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของอีกฝ่าย ทั้งที่เขา...ก็เกิดมาจาก ครรภ์เดียวกันกับสวี่เทียนแท้ๆ แต่เป็นเขาที่อยู่ในเงา“อะไรนะ! เจ้ามิใช่สวี่เทียน!”ฉินชวงหันไปถามสามี ด้วยมิอยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาไปสลับตัวกันตอนไหน แล้วทำไม...จึงเหมือนกันแทบทุกอย่างเยี่ยงนี้ แล้วคนที่อยู่กับนางที่ผ่านมา คือใครกันแน่!“ข้าก็เป็นสามีอีกคนของเจ้า อย่างไรเล่าฉินชวง”สิ้นคำของชายข้างกาย ตลอดร่างของนางชาหนึบจนแทบไร้ความรู้สึก นางถึงกับหูอื้อตาลายกับสิ่งที่ได้ยิน แขนที่กอดลูกๆ เอาไว้ถึงกับอ่อนแรงไปโดยไม่รู้ตัว“ไม่! ไม่จริง! เจ้าคนโกหก! ข้าไม่มีทางทำตัวเป็นสตรีสมสู่มิเลือก เจ้ากำลังคิดจะหาทางทอดทิ้งข้ากับลูก ให้ถูกจองจำอยู่ที่นี่ ส่วนเจ้าคิดจะใช้ตัวตนปลอมๆ ออกไปจากที่นี่คนเดียวสินะ!”ฉินชวงที่ยังไม่อาจตั้งรับ กับเรื่องที่ได้ยินได้ นางคิดหาเหตุผลมาลบล้างสิ่งที่ได
“แม่เองหวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าสองพี่น้องปลอดภัยดีหรือไม่ ขอแม่ดูหน่อยว่าพวกเจ้ายังไม่บาดเจ็บที่ใด”ฉินชวงยื่นสองมือออกไปหาลูกๆ แต่นางขยับใกล้กว่านี้ไม่ได้ ด้วยขาของนางถูกพันธนาการ จากโซ่เส้นใหญ่ แม้ว่าจะไม่ถูกตรึงติดกำแพงเช่นคราแรกที่ถูกพาตัวมา แต่ก็มิได้รับอิสระมากพอ ให้เดินเหินไปที่ใดได้ไกล “ท่านแม่! ไยท่านจึงมีสภาพเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”เมื่อเพ่งมองไปยังสตรีผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า สวี่หวิ๋นจึงได้คลายอ้อมกอด ที่รัดกายพี่ชายเอาไว้เมื่อครู่ออก ก่อนจะเอ่ยถามมารดาออกไป ทั้งที่นางเองก็พอจะเดาได้แล้ว นับตั้งแต่นางสองพี่น้อง ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ในตอนนั้นนางคิดว่าพ่อแม่ตั้งใจจะตัดพวกนางทิ้ง เพื่อรักษาซึ่งอำนาจ ที่ไหนได้...เป็นนางที่เข้าใจทุกอย่างผิดไปทั้งหมด“สวี่มู่หลง! เจ้าคนชั่วช้า ทำให้พ่อกับแม่ ตกอยู่ในสภาพนี้”ฉินชวงโยนทุกความผิดไปที่ลูกเลี้ยง และนางก็ยังคงยื่นมือสองข้าง รอรับลูกๆ ทว่าสองพี่น้องกลับยังคงนิ่งเฉย ไม่ขยับเข้าสู่อ้อมแขนของคนเป็นแม่เช่นที่เคยทำ“เราจะไม่ได้กลับไปอยู่ในเรือน เช่นเดิมหรือเจ้าคะ ทำไม! ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้”สวี่หวิ๋น เริ่มจะรับไม่ไห
เจียงอี้หลิง เดินมายืนเคียงชายหนุ่ม ก่อนจะทอดสายตามองไปยังสองพี่น้อง บุตรชายหญิง สายเลือดของอดีตสามีในชีวิตเดิม สำหรับนางคำว่าพ่อแม่นั้น ย่อมรักลูกสุดหัวใจ เช่นมารดาของนางในชีวิตใหม่ ที่รักนางและพี่น้องยิ่งกว่าชีวิตและใช่ว่านาง อยากที่จะใจจืดใจดำ ต่อสองพี่น้องสักเท่าใด แต่ถ้าปล่อยให้มีโอกาสได้เติบโต อย่างไร้การควบคุม ก็ถือว่าเป็นภัยอันใหญ่หลวงในภายภาคหน้า นางมิได้ชิงชังทั้งคู่ เพียงเพราะเป็นลูกนอกสมรสของอดตสามี แต่เพราะพ่อแม่ของทั้งคู่ ทำลายครอบครัวของนาง และยังไม่มีสำนึกดีต่อสกุลอวี๋แม้แต่น้อย“เรื่องนี้ข้าจะปล่อยให้อวี๋มู่หลง เป็นผู้ตัดสินชะตาพี่น้องของเขาเอง ในเมื่อเขาคือผู้นำ ก็ต้องรู้จักที่จะตัดสินใจ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย กว่าที่ผ่านหลายเท่านัก บุตรชายอาการดีขึ้น ผู้คิดคดที่หลงเหลือได้ถูกกวาดล้างจนสิ้นแล้ว ต่อจากนี้ก็เหลือเพียง ให้นางส่งมอบสิ่งที่ประมุขทุกรุ่น ต้องมอบแก่ประมุขคนต่อไป เท่านี้หน้าที่ของนางก็เสร็จสิ้นแล้วหลังากนี้นางจะพาชายหนุ่มข้างกาย เดินทางไปจัดการสะสางชาติกำเนิดให้เรียบร้อย แล้วกลับบ้านดูแลโรงหมอต่อจากท่านตา และรอว่าพี่ม่อเหลียวจะเอ่ยปาก ใ