จางอันอวี้พาจั่วซือไปแจ้งข่าวการตัดสินใจนี้แก่จีเฉินด้วยตนเอง เจียงเฟิ่งหัวพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ใต้เท้าจาง ใต้เท้าจั่วช้าก่อน เรื่องที่จีเฉินวางยาอวิ๋นฟาง จากนั้นยังใช้กำลังทารุณนาง…เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี กฎหมายแห่งต้าโจวน่าจะมีบทบัญญัติไว้!” จางอันอวี้เหลือบสายตามองไปทางจั่วซือ “เจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่งกว่า” จั่วซือเอ่ย “จีเฉินเป็นบัณฑิตที่จะต้องเข้าสอบในปีหน้า เขาประพฤติตนผิดศีลธรรม ว่าตามกฎหมายกรมพิธีการก็สมควรเพิกถอนสิทธิ์การสอบของเขา และอาจถึงขั้นออกบทลงโทษที่สาสมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่ว่าเขาจะได้รับโทษสถานใดหรือจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ในบทกฎหมายมีระบุไว้พ่ะย่ะค่ะ หากความผิดร้ายแรงก็จะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตในทันที ทั้งนี้การตัดสินก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรวม หากว่าเขามีส่วนร่วมในการสังหารคน และมีหลักฐานการทำความผิดชัดเจน ก็ควรให้กรมอาญาและศาลาว่าการเขตเมืองหลวงล้วนดำเนินการจัดการได้เลยทันที” ความหมายก็คือหากต้องการจะลงโทษจีเฉิน ก็ต้องเชิญให้กรมอาญามาด้วยกัน แค่ลงโทษบัณฑิตตัวเล็ก ๆ หนึ่งคนไม่มีความจำเป็นจะต้องลำบากมากเกินไป เจียง
อวิ๋นฟางมีรูปโฉมงดงามเป็นความจริง นางร่ำไห้ได้น่ามองก็เป็นความจริง พอเป็นแบบนี้ก็สามารถเรียกร้องความรักหยกถนอมบุปผาจากทุกคนได้สำเร็จ เจียงเฟิ่งหัวเชื่อมั่นในทักษะการแสดงของเจียงเฟิ่งหัว เมื่อชาติก่อนนางสามารถล่อลวงเซี่ยซางให้ขึ้นเตียงของเขาได้สำเร็จ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางเป็นคนมีความสามารถ อวิ๋นฟางจิตใจหยิ่งผยอง และเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง นางหรือจะยอมทนใช้ชีวิตขมขื่นเพื่อคนอย่างจีเฉิน ในเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าอยู่กับจีเฉินไปก็ไม่มีความหวัง นางย่อมหยุดแต่เพียงเท่านี้ พอนางร่ำไห้ร้องทุกข์ ทุกคนต่างก็ออกหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมแทนนาง “ถือสิทธิ์อะไรเขาบอกว่าไม่หย่าก็หย่าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ทางการควรจะตัดสินให้หย่าขาดได้สิ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่แม่นางอวิ๋นฟาง” “ให้ความเป็นธรรมแก่แม่นางอวิ๋นฟาง…” ทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มโห่ร้องประท้วงขึ้นมาที่หน้าศาลาว่าการเขตเมืองหลวง “ให้เขาหย่าขาดจากกัน จากนั้นค่อยตัดสินโทษประหารเขา เขาทำร้ายคนแล้ว เขายังคิดจะลากคนไปตายด้วยกันอีก บ้านเมืองยังกฎหมายอยู่จริงหรือไม่” จางอวี่มั่วอาศัยจังหวะนี้แสดงตัวออกมา เปิดเผยความจริงต่อหน้าชาวบ้านทุกคน “หากมิใ
ภายในศาลาว่าการ อวิ๋นฟางพลันเรียกนางไว้ “พระชายา ท่านช่วยบ่าวได้จริงหรือเพคะ เรื่องก่อนหน้านี้ท่านจะไม่จดจำความแค้นบ่าวจริงหรือเพคะ บ่าวรู้ว่าท่านกับพระชายารองซูมีความขัดแย้งกันมาตลอด และอีกอย่างบ่าวก็เป็นสาวใช้ของพระชายารองซูด้วย” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มน้อย ๆ “ข้าจะต้องแค้นใจอะไรเจ้าหรือ พูดอย่างเคร่งครัดแล้วข้ากับเจ้ามิได้มีความแค้นใดต่อกันเลย กลับกันข้ายังรู้สึกสงสารเจ้ามากกว่า ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นสาวใช้ของสกุลซู แต่พวกเขายังทำกับเจ้าเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปอยู่ในสกุลซูแล้ว และพวกเขาก็รู้ดีว่าจีเฉินข่มเหงรังแกเจ้าเช่นนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีใครสักคนลุกขึ้นมายืนข้างเจ้าทวงความยุติธรรมให้เจ้า มิหนำซ้ำยังหวังใช้ประโยชน์จากเจ้าอีก เจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าได้อะไรมาบ้าง ชื่อเสียง อำนาจ ฐานะ ตำแหน่ง หรือว่าพวกเขาสามารถให้เงินทองกับเจ้าได้” อวิ๋นฟางพลันกลายเป็นใบ้ไปทันใด สิ่งที่นางมุ่งมาดปรารถนาแน่นอนว่าคือชีวิตที่มั่งคั่งหรูหราฟุ้งเฟ้อด้วยเกียรติยศ ในเมื่อเป็นคนเหมือนกัน แต่บางคนเกิดมาก็ได้เป็นองค์หญิง แต่เหตุไฉนนางกลับเป็นได้แค่สาวใช้ นางเข้าไปอาศัยอยู่ในจวนสกุลซูพร้อมกับจีเฉิน แต่นางก็ย
จีเฉินรู้เพียงว่าอวิ๋นฟางต้องการหย่ากับเขา ไม่ทราบเรื่องที่เกิดด้านนอก เขาคิดว่าเจียงเฟิ่งหัวต้องพูดอะไรบางอย่างกับนางแน่ นางถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยออกมาทันใด “อวิ๋นฟาง เจ้าอย่าไปฟังคำยุยงเจียงเฟิ่งหัว นางหลอกเจ้า เจ้าคิดจะหย่ากับข้าตอนนี้ เจ้าจะโง่ไปหน่อยหรือเปล่า สตรีตัวคนเดียวอย่างเจ้าจะไปที่ไหนได้ เจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าคิดหรือว่าเจียงเฟิ่งหัวจะให้เจ้ากลับจวนอ๋อง ตอนแรกเหิงอ๋องเป็นคนไล่เจ้าออกจากจวนอ๋องด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ เจ้าเป็นสตรีของข้าแล้ว เจ้าปีนขึ้นเตียงเขาไม่ได้แล้ว” อวิ๋นฟางตบหน้าเขาไปหนึ่งที “หากมิใช่เพราะเจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า คนอย่างข้าหรือจะเสียตัวให้เจ้า และข้าก็ไม่วันต้องถูกไล่ออกจากจวนอ๋องไปใช้ชีวิตลำบากกับเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า” จีเฉินถูกตบ เขาคิดจะถากถางดูแคลนอวิ๋นฟางอีกสองประโยค ทว่าในตอนนี้เอง เขาพลันเหลือบสายตาไปเห็นตรงหัวมุมทางเดินมีชายเสื้อมุมหนึ่งโผล่ออกมา เขาแน่ใจว่าต้องเป็นเจียงเฟิ่งหัวที่แอบมาดักฟัง คงคิดจะมาล้วงเอาหลักฐานยืนยันจากปากพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนออกอุบายลอบสังหารพระชายาเหิงอ๋อง และต้องการสาวไปให้ถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลั
เจียงเฟิ่งหัวและพวกเหลียนเย่ซ่อนตัวอยู่อีกฟากหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องของจีเฉินต่างก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด เหลียนเย่ถึงกับหลับตา และเอามืออุดหูไว้ แม้แต่แม่นางน้อยที่ยามปกติจะร่าเริงซุกซนยามนี้ยังรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม อ้าวเสวี่ยเองก็รู้สึกหัวใจสั่นไหว สตรีอย่างอวิ๋นฟางโหดร้ายเกินไปแล้ว นางเหลือบสายตามองไปทางเจียงเฟิ่งหัวอย่างเงียบเชียบ เห็นนางเพียงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ พระชายาอุบายนี้เองหรือที่เรียกว่ายืมมีดฆ่าคน โลหิตสดเปื้อนเต็มมือผู้อื่นมิได้เกี่ยวข้องกับพวกนางแม้แต่น้อย เจียงเฟิ่งหัวหลับตาลงช้า ๆ ภาพโลหิตสีแดงฉานสมองของนางยังน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เห็นในวันนี้ ในอดีตชาติ สีหน้าท่าทางหลงละเลิงของจีเฉินและซูถิงหว่าน ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด นางไม่มีวันลืมได้เลย ความเจ็บปวดทั้งหมดที่จีเฉินได้รับในวันนี้เขาสมควรจะได้รับมันแล้ว ตอนที่เขาต้องการจะทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ไม่มีความปรานีแม้เพียงสักนิด โลหิตของเหลียนเย่ย้อมทั้งตำหนักเฉินซีให้กลายเป็นสีแดงฉาน นางตายตาไม่หลับด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่าใต้เท้าจั่วจะขอคำสั่งประหารตัดศีรษะจีเฉินมาให้ไม่ได้ แต่ในยามนี้ที่เขากลาย
“บ่าวเห็นแก่ตัวและนึกถึงเพียงประโยชน์ของตนเอง เฝ้าฝันมาตลอดว่าจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย ทว่าบัดนี้บ่าวรู้แล้วว่าบ่าวคิดผิดไป ชีวิตที่ดีมิได้มีให้สำหรับสตรีอย่างพวกบ่าว ต่อให้บ่าวจะกล่าวโทษสกุลซู ทางการก็ไม่คิดจะแตะต้องอะไรสกุลซูอยู่แล้ว เพราะว่าตราบใดที่ฝ่าบาทมิได้พยักพระพักตร์ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องล่วงเกินสกุลซูได้” เจียงเฟิ่งหัวเมื่อฟังนางกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ยิ่งไม่เกิดความรู้สึกสนใจใด ๆ ในตัวนาง อวิ๋นฟางจะเป็นหรือตายก็มิได้เกี่ยวข้องกับนาง เจียงเฟิ่งหัวหมุนตัวก็เดินจากไปทันที อวิ๋นฟางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นเนิ่นนานแล้วก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา ในตอนนั้นเอง จั่วซือแห่งกรมพิธีการก็รีบเร่งเข้ามาในศาลาว่าการเขตเมืองหลวงอย่างร้อนรน “คารวะพระชายาอ๋อง” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าจั่ว” ใบหน้าของนางมิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย ท่าทางนิ่งสงบไม่ทุกข์ร้อน ราวกับว่าเหตุการณ์วุ่นวายด้านนอกที่ทำการเมื่อสักครู่มิได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย จั่วซือจึงเอ่ยขึ้นมา “คำตัดสินออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านใต้เท้าเจ้ากรมยินดีให้แม่นางอวิ๋นฟางหย่าขาดกับสามีแล้วพ่ะย่ะค่ะ และเนื่องด้วยจี
จีเฉินขยี้ตา หญิงสาวตรงหน้าก็อันตรธานหายไป เขารู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขาพลันล่องลอยขึ้นไปกลางเวหา ทอดตาลงมองสภาพจนตรอกชวนสังเวชของตนเองในกรงขัง จากนั้นเขาก็กลายเป็นศพเย็นเยียบนอนแน่นิ่งไร้ชีวิตแบบนั้น จนถึงตอนนี้เขาถึงได้เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง จนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า ลำคอก็เหมือนถูกบีบไว้ จนคล้ายจะหายใจไม่ออก เขาลองเอื้อมมือไปแตะร่างของตัวเขาเอง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามออกแรงสักแค่ไหน เขาก็มิอาจสัมผัสร่างของเขาเองได้ แล้วจู่ ๆ เขาก็ทะยานไปกลางเวหาทะลุเข้าสู่กลุ่มเมฆดำทะมึน ด้านในนี้คล้ายกับเป็นอีกโลกหนึ่ง นอกจากท้องฟ้าเป็นสีดำ ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าฝันปรารถนา เรือนหลังใหญ่ที่เหลืองอร่ามวาวแวว บริวารนับร้อยคอยปรนนิบัติรับใช้ เสียงขับขานเริงระบำอันเต็มที่ กรุ่นกลิ่นสุราชั้นเลิศที่หอมหวาน สุรานารีชวนหลงใหล เขาอยู่ในสระสุราแหวกว่ายร่ายรำหาความสำราญอย่างเต็มที่ ป้ายสลักอักษรจวนจีอ๋องขนาดใหญ่สะท้อนแสงเจิดจ้าสะดุดตา พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล เขารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแต่กลับเลือนรางมิอาจจับต้อง ความหรูหราฟุ้งเฟ้อตรงหน้าเขาเหม
เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวตนของเหิงอ๋องและออกเที่ยวร่อนเร่แสวงหาความรู้ต่อไป ภายหลังจากตอนนั้น เขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องอาหารที่พักและอาภรณ์สวมใส่อีกแล้ว เขาได้ใช้ชีวิตอย่างคนมั่งคั่งร่ำรวยไปโดยที่ไม่รู้ตัว ตอนที่เขาได้พบกับซูถิงหว่านอีกครั้ง ก็พบว่าเหิงอ๋องกำลังกุมมือของนางอยู่ เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายคือเหิงอ๋อง เขาก็เลือกจะเป็นฝ่ายเก็บซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ด้วยตนเอง หากว่าเขาเป็นสตรี เขาเองก็ต้องเลือกเหิงอ๋องผู้มีฐานะสูงส่งร่ำรวยอยู่แล้ว เขารู้ว่าซูถิงหว่านเองก็มีใจให้เขา สายตาที่มองเขาไม่เหมือนกัน เพียงแต่เหิงอ๋องมีฐานะสูงส่งกว่าก็เท่านั้น จากนั้น เขาก็ออกท่องขุนเขาเที่ยวชมลำน้ำอีกครั้ง ได้พบเจอหญิงงามจำนวนมาก งดงามกว่าซูถิงหว่าน เขาหลงระเริงกับพวกนาง สุขสำราญอย่างไร้สิ่งใดจะเปรียบเทียบ เขาได้รับข่าวว่าเหิงอ๋องกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรส และสตรีที่เขาจะสมรสด้วยมิใช่ซูถิงหว่าน แต่เป็นคนอื่น เขารู้สึกแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด และรีบร้อนกลับไปปลอบโยนซูถิงหว่าน ทว่านางกลับเลือกเป็นอนุภรรยา นางต้องการใช้ชีวิตอยู่กับเหิงอ๋อง นางรักเขามากเพียงนี้เชียวหร
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น