เฝิงจิ้งย่วนกล่าวว่า “คอยดูนะ ข้าจะต้องจัดการกับจินหมิงตงแน่ รายงานข่าวปลอม ช่างน่าขายหน้าเกินไปแล้ว”เจียงหวยเดินเข้ามาใกล้ “เจียงจิ่นเหยียนรังแกเมียเขาอย่างไรหรือ?”เฝิงจิ้งย่วนรีบปิดปากของเขาไว้ จับมือเขาได้ก็ดึงออกไปทันที วันนี้เป็นวันที่นางขายหน้าที่สุดในชีวิตแล้วเจียงหรูเมิ่งกับเจียงเฟิ่งหัวสบตากันทีหนึ่ง “ที่แท้พี่ชายของพวกเราก็มิใช่นักบวช เขาก็มีหกอารมณ์เจ็ดปรารถนาเหมือนกัน ดูท่าบ้านเราจะมีสมาชิกเพิ่มอีกแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เอ่ยปากอย่างปรารถนาว่า “พวกท่านทำต่อไปเถอะ คืนนี้ไม่ต้องออกมาฉลองเทศกาลโคมไฟแล้ว ดึกกว่านี้หน่อยข้าจะให้คนส่งของกินมาให้พวกท่าน จะได้เพิ่มพูนพลังกาย!”พูดจบ นางก็ช่วยพวกเขาปิดหน้าต่างด้วยความหวังดี แล้วกล่าวอีกว่า “พี่ใหญ่อย่าลืมลงกลอนประตูล่ะ ไปที่เตียงในห้องชั้นในเถอะ โต๊ะนั่นไม่สบายเลย”เจียงเฟิ่งหัวดึงเจียงหรูเมิ่งไปแล้ว ยังดีที่สาวใช้สกุลเจียงต่างมีระเบียบวินัย ล้วนอยู่ในห้องอาหารมิได้ตามเข้ามาด้วย เจ้านายทะเลาะกัน พวกนางยังคงหัวไวนัก จึงไม่มาร่วมชมเรื่องขายหน้าของเจ้านายด้วย นี่ถึงได้เลี่ยงไม่ให้เรื่องดีอันน่าตื่นตะลึงของคนทั
อาศัยแสงสว่างจากภายนอก เขาถึงสามารถมองเห็นสภาพของผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดได้อย่างชัดเจน บนขนตายาวๆ ของนางยังมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ เอิบอิ่มเปล่งปลั่งดั่งบุษบงที่โผล่พ้นน้ำดวงตาทั้งสองคู่สบประสาน ในระยะใกล้เพียงเอื้อม องคาพยพทั้งห้าของเขาคมสันงดงาม สันจมูกโด่งสูง เขาตกอยู่ในอารมณ์อันเงียบงัน ดวงตาลึกล้ำกำลังจับจ้องมาที่ใบหน้านางจางอวี่มั่วรีบเช็ดรอยน้ำตาบนใบหน้า คิดว่ายังดีที่เมื่อครู่มิได้จุดไฟ ทำให้ในห้องมืดสนิท เขาเลยมิได้เห็นท่าทางน่าเขินอายที่นางร้องไห้เมื่อครู่ มิเช่นนั้นคงขายหน้าจนหมดสิ้นแล้วนางโมโหตัวเองว่าเหตุใดจึงไปร้องไห้ต่อหน้าเขากัน? เหตุใดจึงอดกลั้นไว้ไม่อยู่นะ?นางผลักเขาออกอย่างขวยเขิน ขณะที่นางจะเปิดประตูออกไปนั้นเอง วินาทีถัดมา เจียงจิ่นเหยียนก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด ไม่สนใจว่านางจะเต็มใจหรือไม่ก็จุมพิตลงมาบนริมฝีปากของนางทันทีเวลานี้จางอวี่มัวตะลึงงันไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นางรู้สึกว่าลมหายใจของตนเปลี่ยนเป็นกระชั้นขึ้น หัวใจราวกับจะกระโจนออกมาแล้ว นางเบิกตากว้าง ขนตากะพริบไหวอยู่บนใบหน้าของเขา ในชั่วขณะหนึ่งนางก็ไม่กล้าขยับไปมั่วแล้ว แสงจันทราสาดต้องใ
นางอยู่ห่างไปเพียงเอื้อมมือจนได้กลิ่นหอมจากเส้นผมของนาง มีสตรีที่งดงามและอบอุ่นประดุจหยกอยู่อ้อมกอดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวทันทีที่นางขยับ ริมฝีปากของเขาก็ปัดผ่านพวงแก้มของนาง เสี้ยววินาทีนั้น นางพลันไม่กล้าขยับต่อและก็ไม่กล้าส่งเสียงด้วยผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงลองเรียกเขาว่า “จิ่นเหยียน”“เมื่อครู่เจ้ามิใช่เรียกข้าว่าท่านพี่หรือ?” นางไม่เคยเรียกเขาเช่นนี้มาก่อนจางอวี่มั่วถึงนึกขึ้นได้ว่า ถึงท่าทางที่ตนฝึกเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ อยู่ที่หน้ากระจกเมื่อครู่ สุดท้ายแม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกไม่มีความมั่นใจ จากนั้นจึงไปนั่งรอเขาที่โต๊ะ รอไปรอมาก็หลับไปเสียแล้ว จากนั้นเมื่อครู่ท่ามกลางความมืด นางก็เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ว่า หากเขามิได้ชมชอบนางจากใจจริง นางสามารถเรียกเขาว่าท่านพี่ได้หรือ?เขากล่าวต่อว่า “อันที่จริง ตอนอยู่ที่ชายแดนข้าก็คิดไว้แล้ว ว่าหากข้ากลับมาได้ พวกเราก็มาใช้ชีวิตด้วยกันดีๆ ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว เรียกข้าว่าท่านพี่สักคำก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”นางประหม่าจนไม่กล้าขยับและไม่กล้าเอ่ยวาจา รอบกายมืดมิดไปหมด นางรู้ว่าใบห
หลายเดือนมานี้ เขาก็เข้าสู่สนามรบกับเหิงอ๋องอยู่สองสามครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตอนกลางคืน ทัพศัตรูเลือกมาลอบโจมตีในยามราตรี ทุกค่ำคืนอันดึกสงัดหรือในตอนที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย สิ่งที่เขาคิดถึงอยู่ในสมอง นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็คือจางอวี่มั่ว เขากระทั่งรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ร่วมหอกับนาง เพราะเขากลัวว่าหากตายอยู่ในสนามรบจะเป็นการทำร้ายนางในคืนวิวาห์นั้นเขาดื่มจนเมามายเกินไป กระทั่งเช้าวันถัดมาเมื่อตื่นขึ้น เขารู้สึกเพียงว่าใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายยามเผชิญหน้ากับนางวันต่อมาเขาก็ได้รับข่าวจากเหิงอ๋องอย่างกะทันหัน ชายแดนจะทำศึกแล้ว ให้เขาเตรียมพร้อมออกจากเมืองหลวงทุกเมื่อ เขาคิดไปคิดมาจึงมิได้เข้าหอกับนางเมื่อมาถึงห้องนอน จางอวี่มั่วก็กล่าวว่า “ข้าจะไปเทน้ำก่อน”“อื้ม” เขาปล่อยมือของนาง เข้าห้องชั้นในไปหาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเพียงลำพังเสื้อผ้าของเขาถูกจางอวี่มั่วจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวก็ถูกนางค้นออกมาแล้ว ยังมีการเพิ่มของใหม่เข้ามาด้วยเขาแอบคิดในใจว่า ‘พวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของท่านแม่ หรือ จางอวี่มั่วกันแน่ นางน่าจะไม่รู้ขนาดตัวของเขากระมัง!’จางอวี่มั่วเ
ใบหน้าราชครูเจียงเต็มไปด้วยความภูมิใจ “กลับมาก็ดีแล้ว”ในดวงตาของเจียงฮูหยินก็คลอไปด้วยหยาดน้ำตา “ในที่สุดก็กลับมาสักที”เจียงหรูเมิ่งเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัยในใจก็รู้สึกยินดี แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจ “เขายังใช่พี่ใหญ่ของพวกเราอีกหรือ? พี่ใหญ่กลายมามีสภาพแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือนเหตุใดจึงหนวดเครารกรุงรังเช่นนี้”เจียงเฟิ่งหัวมองไปที่ด้านหลังของเขาอย่างไม่รู้ตัวทีหนึ่ง “พี่ใหญ่กลับมาคนเดียวหรือ”เจียงจิ่นเหยียนอธิบายว่า “ตอนข้ากลับมาท่านอ๋องยังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่ค่ายทัพ ตอนนี้น่าจะอยู่ระหว่างทางกลับเมืองแล้ว ในศึกครั้งสุดท้าย เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หรวนหร่วนไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต มีแพทย์ทหารคอยดูแลอยู่ข้างกายเขา ที่ท่านอ๋องไม่ได้ส่งข่าวที่เขาบาดเจ็บกลับเมืองหลวง ก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วงด้วยนี่แหละ”“เป็นเช่นนั้นก็ดี” เจียงเฟิ่งหัวถามต่ออีกว่า “ซูถิงหว่านไปที่ชายแดน นางได้พบท่านอ๋องหรือยัง?”“สถานการณ์การศึกอันตรายมาก พวกเราไม่เห็นชายารองซูเลย”เจียงจิ่นเหยียนเป็นรองเจ้ากรมคลัง ภารกิจของเขาก็คือการจัดส่งเสบียงสิ่งของ จึงมิได
เจียงเฟิ่งหัวรีบเข้าไปต้อนรับ “พี่รอง พี่เขยรอง พวกท่านมาแล้วหรือ เด็กๆ ล่ะ?”เจียงหรูเมิ่งกล่าวว่า “พอเข้าบ้านมาก็ไปหาน้าเล็กของพวกเขาแล้ว เป็นพ่อบ้านบอกว่าพวกเจ้ากำลังยุ่งกันอยู่ในครัว” จินจี้หิ้วของขวัญมาจำนวนมาก “ข้าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน พวกเจ้าคุยกันไปก่อน…”เจียงเฟิ่งหัวห้ามเขาไว้ว่า “พี่เขย พวกเราไปคุยกันในห้องโถงเถอะ อย่าไปรบกวนท่านพ่อท่านแม่เลย ท่านพ่อของพวกเรากำลังแสดงทักษะเฉพาะตัวให้ท่านแม่ดูน่ะ”นางเพิ่งกล่าวจบ เจียงหวยก็ถือหนังสือปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน “กำลังนินทาอะไรพ่อของเจ้าอยู่อีกล่ะ?”“ไม่ได้พูดอะไรนิเจ้าค่ะ! ก็แค่บอกว่าท่านพ่อชอบอ่านตำรา”จากนั้นเขาก็เดินไปที่เบื้องหน้าของบุตรสาวคนที่สาม แล้วแสร้งทำเป็นสุขุมว่า “ต่อหน้าพี่สะใภ้ของเจ้า อย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระสิ แม่เจ้ากำลังยุ่งกับงานมากมายอยู่ก็ไม่รู้จักไปช่วย จะรอกินอย่างเดียวหรืออย่างไร!”จางอวี่มั่วราวนกที่ต้องเกาทัณฑ์ รีบกล่าวออกมาว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”นางจะมุดเข้าไปในห้องครัว แต่ถูกเฝิงจิ้งย่วนขวางไว้ เฝิงจิ้งย่วนก็รีบเปลี่ยนท่าทางอ่อนโยนเมื่อครู่ทันที ขึ้นเสียงขึ้นมา “ท่านอาจารย์เจียงท่
เจียงหวยเห็นนางทำอาหารมากมายเช่นนี้อีกแล้ว “ทำอาหารเยอะแยะแบบนี้อีกแล้ว เหนื่อยออก ให้หลิวหมัวมัวช่วยก็ได้นี่นา”“ไม่ง่ายเลยกว่าหรวนหร่วนจะได้กลับมา ข้าต้องการให้นางได้กินฝีมือของมารดานางจะทำไม” มือนางเคลื่อนไหวไม่หยุด “อันที่จริงหลิวหมัวมัวเตรียมไว้หมดแล้ว ข้าแค่ลงมือทำเท่านั้น ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร รอเจ้ารองกลับมาพวกเราก็กินข้าวกัน”เจียงหวยรับมีดในมือของนางมาแล้วเริ่มลงมือช่วย “เจ้าเรียกสามีเจ้ามาช่วยได้นี่นา เจ้าก็มิใช่ไม่รู้จักฝีมือสามีของเจ้าสักหน่อย”เฝิงจิ้งย่วนรู้ว่าเขามีฝีมือ จึงมิได้ห้ามปรามเขา แต่ไปทำอย่างอื่นต่อแทน อันที่จริงแล้ว เป็นเพราะนางอยากให้ลูกๆ เคารพนับถือท่านพ่อของพวกเขา ในตำราบอกว่าสุภาพบุรุษควรอยู่ห่างจากครัว นี่ก็เพราะอยู่ลับหลังเด็กๆ นางถึงยอมให้เขาลงมือแต่เฝิงจิ้งย่วนทำอันนี้ เขาก็มาแย่งอันนี้มาทำ นางไปทำอันโน้น เขาก็ไปแย่งอันโน้นมาทำ เจียงหวยไม่เพียงทำเป็น ยังทำได้ดีอย่างมากด้วย ที่ควรหั่นก็หั่นแล้ว ทักษะการใช้มีดยังไม่เลว“นึ่งปลา ใส่เหล้าสักหน่อย ส่งมาที” ราชครูเจียงกล่าวตอนนี้กลายเป็นเฝิงจิ้งย่วนกลายเป็นผู้ช่วยแล้วจางอวี่มั่วแต่งเข้ามานานขนาดนี้
เจียงเฟิ่งหัวกลับไปที่ตำหนักเฉินซี และรู้ว่าฮ่องเต้เสด็จไปที่ตำหนักเฉินซี ที่นางทำเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อทำให้ฮ่องเต้เกิดความประทับใจที่ดี นางต้องการให้ฮ่องเต้รู้ว่านางอยากเป็นเพียงภรรยาที่ดีของเซี่ยซางเท่านั้นนางต้องการให้ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮารู้ว่า นางคือคนที่เหมาะจะเป็นพระชายาเหิงอ๋องมากที่สุด พวกเขามิได้เลือกคนผิดเชื่อว่าเมื่อเซี่ยซางได้รู้ว่าฮ่องเต้และฮองเฮารักใคร่กันเหมือนคู่รักในโลกของสามัญชน เขาก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง กระทั่งยังจะรู้สึกขอบคุณนางด้วยเมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อย นางก็ออกจากวังแล้วจริงๆ เพราะถึงอย่างไรวันเวลาที่อยู่นอกวังก็มีไม่มากแล้ว ในอนาคต โอกาสที่จะได้อยู่ร่วมกับท่านพ่อท่านแม่ในเทศกาลโคมไฟก็จะกลายเป็นเรื่องยากแล้วเมื่อนางกลับถึงสกุลเจียงก็สามารถปลดการเสแสร้งทั้งหมดออก ช่วยท่านแม่เตรียมอาหารเทศกาลโคมไฟอย่างเบิกบาน ปีนี้ที่บ้านยังมีคนเพิ่มมาอีกคน จางอวี่มั่วก็มิได้อยู่ว่างเช่นกัน นางกวาดความรับผิดชอบมาที่ตนเองมากมายแต่เจียงฮูหยินกลับไม่ยอมให้พวกนางทำสิ่งใดทั้งสิ้น “ยากนักที่หรวนหร่วนจะกลับมา พวกเจ้าไปเล่นสนุกเถอะ รอพี่รองกับพี่เขยรองของพวกเจ้ามาแล้ว พวกเราค่อ
เฉิงฮองเฮานั่นหดหู่อยู่หน้ากระจก ในอดีตนางเคยภาคภูมิใจต่อใบหน้าที่งดงามดวงนี้นัก อายุสิบสี่เข้าวัง อายุสิบแปดให้กำเนิดบุตร แล้วหลังจากนั้นเล่า นางกลับปล่อยเวลาครึ่งชีวิตไปอย่างเสียเปล่าอยู่ในวัง ที่แท้เหตุใดนางต้องชีวิตเช่นนี้กันนะตอนยังไม่ได้เข้าวัง ทุกคนล้วนปรารถนาจะเข้าวัง แต่เมื่อเข้าวังมาแล้วจริงๆ กลับได้แต่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเช่นนี้ ไม่มีความสนุกสนานแม้แต่น้อย วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า พวกนางเหมือนนกคีรีบูนที่ถูกขังอยู่ในกรง ไร้คนชื่นชมไม่แปลกเลยที่เยี่ยนเฟยจะเสียสติ ตอนที่นางเริ่มมาอยู่กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังเป็นเพียงรัชทายาทเท่านั้น แม้จะให้กำเนิดโอรส แต่กลับมิได้รับความโปรดปราน ผู้หญิงแบบเยี่ยนเฟย ไม่รู้ในวังมีจำนวนเท่าใด พวกนางมีความทุกข์เช่นเดียวกันจึงเข้าใจและเห็นใจในความทุกข์ของอีกฝ่ายยังมีพวกที่ปลิดชีพตนเองเพราะอาการซึมเศร้าอีก ฮ่องเต้ทรงเคยใส่พระทัยสักกี่นางกัน บัดนี้ นางก็จะเดินตามรอยของพวกนางบ้างแล้ว ไปเสียสติเหมือนเยี่ยนเฟยไปมีความสุข เหมือนหวังเจาอี๋…ในตอนที่เฉิงฮองเฮายังสาวก็ไม่เคยคิดทำเรื่องที่ผิดต่อคุณธรรมของสตรี ยามนี้นางก็ไม่มีทางกระทำเช่