แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: กระต่ายน้อยใต้ดวงจันทร์
อีกด้านหนึ่ง ฮองเฮาขอตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงมาให้เหิงอ๋องได้จริงๆ นางกำลังดีใจอยู่ก็ได้ยินฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “อายุน้อยดีแบบนี้เอง ไร้ทุกข์ไร้โศก กล้าหาญมิพรั่น อยากได้ตำแหน่งก็ไม่มาขอด้วยตนเอง”

ฮองเฮารีบร้อนอธิบาย “ความจริงซางเอ๋อร์มีใจแสวงหาความก้าวหน้ามากนะเพคะ ตอนที่เขายังเล็กก็...”

ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง “เพราถูกเจ้าตามใจจนเสียคนน่ะสิ เขาถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้ ถ้าเขามีใจแสวงหาความก้าวหน้าจริงก็คงไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องสตรี อยู่ว่างทั้งวี่วัน ต่อให้ยกตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงให้เขา เขาจะทำได้ดีงั้นรึ?”

สีหน้าฮองเฮาบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว เล็บจิกเข้าเนื้อก็ไม่รู้สึกเจ็บ นางพลันเงยหน้าขึ้นจ้องมองฮ่องเต้ตรงๆ “ฝ่าบาทจะลำเอียงก็ไม่ต้องลำเอียงถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง หากฝ่าบาทมีใจยุติธรรมสักนิด ปฏิบัติกับเขาเช่นเดียวกับองค์ชายคนอื่น เขาจะอยู่ว่างทั้งวี่วันเช่นนี้หรือเพคะ? มีวาจาประโยคไหนของฝ่าบาทที่ไม่ดูถูกดูแคลนเขา ตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาดถึงปานนั้น...”

ฮองเฮาพูดพลางรำลึกถึงความสำเร็จที่แสนยิ่งใหญ่เมื่อครั้งเยาว์วัยของเซี่ยซาง ล้วนแต่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่โปรดนางจึงพลอยทำให้บุตรชายไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น ตวาดเสียงลั่นโถงตำหนักจนหูแทบดับ “เจ้าพูดพอหรือยัง เป็นถึงฮองเฮา ไร้การอบรมสิ้นดี ฮองเฮามีพฤติกรรมเช่นนี้งั้นรึ...”

ฮองเฮาถูกขึ้นเสียงใส่จนร่างสั่นเทิ้ม นางไม่ได้หวาดกลัวแต่เป็นเพราะคำพูดบาดหูแต่ละคำของฮ่องเต้ประหนึ่งใบมีดคมกริบเชือดเฉือนหัวใจนาง เจ็บปวดจนนางหลั่งเลือด นางถูกเขารังเกียจถึงขั้นนี้เชียวหรือ?

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูห้องทรงพระอักษรถูกคนผลักเข้ามา เซี่ยซางยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง จ้องมองฮ่องเต้ตรงโต๊ะทรงอักษรนิ่งๆ

ฮองเฮาหันหน้ามาโดยไม่นำพาต่อความเจ็บปวดและธรรมเนียมมารยาท รีบเอ่ยว่า “ซางเอ๋อร์ ยังไม่รีบคารวะเสด็จพ่อของเจ้าอีก”

เซี่ยซางกลบเกลื่อนความเย็นชาในแววตา สาวเท้าเข้าไปข้างใน แต่ละย่างก้าวของเขาสุขุมหนักแน่น จนกระทั่งคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้จึงประสานมือกล่าวอย่างเคารพว่า “ลูกคารวะเสด็จพ่อ”

แววตาเย็นชาของฮ่องเต้จ้องมองเขา น้ำเสียงปราศจากความรู้สึกแม้แต่น้อย “ลุกขึ้นมาเถอะ!”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยซางยังคงเคารพเหมือนที่ผ่านมา

ฮ่องเต้เพิ่งทะเลาะกับฮองเฮา เขากล่าวอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “เสด็จแม่ของเจ้ามาขอตำแหน่งให้เจ้า ยามนี้ตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงกำลังว่างอยู่พอดี ถ้าเจ้าไม่รับตำแหน่งนี้ เราก็จะจัดแจงให้คนอื่น...” นี่คงคิดว่าเขาจะปฏิเสธจึงกล่าวเช่นนี้

“ลูกจะไม่ทำให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ผิดหวังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” เซี่ยซางประสานมือ นิ้วที่เห็นข้อชัดเจนของเขากำแน่นเป็นหมัด ออกแรงหนักจนราวกับสามารถมองเห็นกระดูกขาว

ฮ่องเต้ก็เด็ดขาดรวดเร็ว ร่างราชโองการแต่งตั้งเหิงอ๋องเป็นผู้ดูแลเขตเมืองหลวงในทันที

ฮองเฮาลอบยินดี แต่กลับไม่กล้าแสดงออก ฮ่องเต้คร้านจะเหลือบสายตามองคนทั้งสอง เอ่ยเสียงต่ำว่า “กลับไปเถอะ!”

“เสด็จพ่อ” เซี่ยซางเอ่ยขึ้นมาอีก

“มีเรื่องใดหรือ”

“ลูกกับบุตรีแม่ทัพซูซูถิงหว่านมีใจตรงกัน ลูกอยากขอราชโองการจากเสด็จพ่อ ลูกต้องการสู่ขอบุตรีแม่ทัพซูเป็นชายารองพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นวาจานั้น แววตาฮ่องเต้ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาจับจ้องเขาแน่วนิ่ง ตระกูลซูยินดีให้บุตรีออกเรือนเป็นอนุภรรยาของเหิงอ๋อง เห็นทีตระกูลซูคงคาดหวังกับเหิงอ๋องไว้มากสินะ!

ฮองเฮาตกใจจนหัวใจแทบกระดอนออกมา จนป่านนี้แล้ว เหตุใดเขาจึงยังอยากแต่งงานกับสตรีนางนั้นอีก?

แววตาฮ่องเต้มืดครึ้มไม่ชัดเจน ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้เสด็จแม่ของเจ้าจัดการเถอะ”

เขาหันไปถามเฉิงฮองเฮา “ฮองเฮาคิดเห็นอย่างไร?”

เฉิงฮองเฮากลอกตา “ซางเอ๋อร์แต่งชายาเอกแล้ว จะรับคนเข้าจวนหรือไม่ก็ควรยกให้ชายาเอกตัดสินใจ”

ริมฝีปากฮ่องเต้โค้งขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!”

ฮ่องเต้ก็คิดไว้แล้วเช่นกัน ไม่มีราชโองการพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ ตระกูลซูจะต้องไม่ยินดีให้เหิงอ๋องรับบุตรีเป็นอนุภรรยาเป็นแน่แท้

“ลูกทูลลา” เซี่ยซางกำหมัดแน่น

เดิมเขาต้องการเรียกร้องเกียรติให้ซูถิงหว่าน คิดไม่ถึงว่าจะได้ในสิ่งตรงกันข้าม สุดท้ายอำนาจตัดสินใจกลับตกไปอยู่ในมือเจียงเฟิ่งหัว

-

หลังเฉิงฮองเฮาจากไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวอยู่ในตำหนักรู้สึกเบื่อๆ จึงให้นางกำนัลไปเดินเล่นเป็นเพื่อนที่สวนบุปผชาติ ยามนั้นเป็นช่วงที่มวลบุปผาเบ่งบานพอดี ดอกไม้ทั้งสวนประชันความงาม บานสะพรั่งอย่างงดงามหยดย้อย รอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้านาง สมกับเป็นที่ประทับของฮองเฮาจริงๆ สง่างามไม่ธรรมดา

อากาศค่อนข้างร้อน เจียงเฟิ่งหัวให้นางกำนัลหาพัดมาให้นางเล่มหนึ่ง พัดกลมขลิบทองปักลายสาวน้อยไล่จับผีเสื้อ สาวน้อยเรือนร่างอรชร ร่างกายที่หมุนคว้างแลดูราวกับกำลังร่ายรำ

ในบรรยากาศเช่นนี้ทิวทัศน์เช่นนี้ เจียงเฟิ่งหัวพลันนึกอยากร่ายรำที่นี่ขึ้นมา ริมฝีปากสีชาดของนางเผยอขึ้น เริ่มต้นครวญเพลง “อาภรณ์แดงพลิ้วสะบัดย่างเท้าก่อเกิดบุปผชาติ ประทินโฉมงามพริ้งสะท้อนสีชาด สวมชุดเจ้าสาวอาภรณ์สุวรรณ แต่งงานกับท่านด้วยใจปีติยินดี...”

เสียงเพลงอันไพเราะดึงดูดความสนใจของนางกำนัลและขันทีในตำหนักคุนหนิง ใบหน้าทุกคนเผยรอยยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงในเสียงร้องอันแสนไพเราะและท่วงทีร่ายรำอันน่าหลงใหลของพระชายาเหิงอ๋อง

เห็นนางขยับปลายเท้างดงาม ท่วงทีอ่อนช้อย ประหนึ่งต้นหลิวพัดพลิ้วกลางลมวสันต์ แววตาของนางลึกซึ้งคลุมเครือ เสียงเพลง ‘พักตร์ชาด’ ดังขึ้น แววตาประหนึ่งแฝงถ้อยคำนับพัน จมจ่อมอยู่ในโลกของตัวเอง

พัดกลมในมือนางดูเหมือนศัตราวุธของนางมากกว่า สวนบุปผชาติขนาดย่อมประหนึ่งกลายเป็นเวทีรบของนาง นิ้วมือทั้งสิบของนางเรียวงาม สองแขนแกว่งไกว มีชีวิตชีวาทั้งอ่อนช้อยไร้กระดูก บางครั้งนางหมุนตัว บางคราก้าวกระโดด ชายชุดสีม่วงลอยคว้าง ดูราวกับดอกโบตั๋นสีม่วงที่บานสะพรั่ง งดงามบาดจิต ชวนให้ผู้คนลุ่มหลงมึนเมา

ผู้คนรอบข้างราวกับถูกการร่ายรำของนางชักจูงจิตใจ ท่าทีจึงเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นและตื่นเต้นขึ้นมา

การยักคิ้วแต่ละครั้งรอยยิ้มแต่ละคราของเจียงเฟิ่งหัวสะท้อนเสน่ห์และความเอียงอายออกมาจนสิ้น สอดรับกับสภาพจิตใจยามเพิ่งแต่งงานของนางได้อย่างพอดิบพอดี

ตอนที่เซี่ยซางกลับถึงตำหนักคุนหนิงก็ได้เห็นการร่ายรำอันงดงามและเสียงร้องเพลงแสนไพเราะของเจียงเฟิ่งหัวพอดี ความอึดอัดคับข้องใจของเขาราวกับอันตรธานไปในชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้านางราวกับสามารถหลอมละลายสิ้นความเย็นเยียบบนโลกนี้

ยามนี้เขาจึงตระหนักว่า ที่แท้เจียงเฟิ่งหัวก็พกพาความหวังอันงดงามมาแต่งงานกับเขา นางคาดหวังว่าจะได้ใช้ชั่วชีวิตกับสามีของตนเองอย่างมีความสุข

เฉิงฮองเฮาโทสะคับข้องกลับมาช้ากว่าเซี่ยซางก้าวหนึ่ง นางยิ่งไม่มีอารมณ์ไปชื่นชมการร่ายรำและเสียงเพลง ทันใดนั้นเห็นว่าผู้คนมากมายล้อมอยู่ในสวนบุปผชาติ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงตวาดด้วยโทสะว่า “ล้อมอยู่ตรงนี้ทำอะไร?”

ฉับพลันนั้น นางกำนัลและขันทีที่มาล้อมดูก็แยกย้ายสลายตัว เสียงในสวนบุปผชาติหยุดชะงัก เจียงเฟิ่งหัวตวัดสายตาขึ้นเห็นเซี่ยซางกับเฉิงฮองเฮามาถึง นางตกใจจนดวงหน้างามเผือดสีสะดุดล้มด้วยความลนลาน ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทั้งร่างอ่อนแรงวูบ

เฉิงฮองเฮาเดินเข้ามาถาม “เมื่อครู่พวกเจ้าทำอะไรกัน?”

เจียงเฟิ่งหัวทอดสายตาลงล่าง ตอบอย่างอ่อนแอว่า “เสด็จแม่โปรดระงับโทสะ หม่อมฉันเห็นว่าสวนบุปผชาติงดงามน่าหลงใหลนักจึงเต้นรำในสวนอย่างอดใจไม่อยู่ แล้วสะดุดล้มเพราะไม่ทันระวังเพคะ”

เฉิงฮองเฮาถูกฮ่องเต้กริ้วใส่ แต่ก็ไม่มีทางมาระบายโทสะกับเจียงเฟิ่งหัว นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ลุกขึ้นมาเถอะ!”

“เพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกัดริมฝีปากอยากหยัดร่างขึ้นมา แต่ข้อเท้าเจ็บปวดยากจะทานทน เจ็บจนใบหน้าเล็กๆ ซีดขาว เห็นเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผากนาง ทำอะไรไม่ถูก

เซี่ยซางเห็นมือนางกุมข้อเท้าเอาไว้ก็ถามเสียงทุ้ม “ข้อเท้าแพลงหรือ?”

เจียงเฟิ่งหัวทอดสายตาลงต่ำ ท่าทางน่าสงสาร พยักหน้าน้อยๆ “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นเพคะ...”

เฉิงฮองเฮาเป็นบุตรชายแสดงท่าทางเป็นห่วงเจียงเฟิ่งหัว ความยินดีก็พลันวาบผ่านแววตา “เรียกหมอหลวง”

แล้วสั่งให้นางกำนัลประคองเจียงเฟิ่งหัวขึ้นมา

เจียงเฟิ่งหัวยืนขึ้นอย่างกินแรง ความเจ็บปวดรุนแรงซ่านมาจากข้อเท้า เจ็บจนน้ำตารื้นขอบตา ไม่อาจขยับไปข้างหน้าได้แม้ครึ่งก้าว

เซี่ยซางสาวเท้ามาข้างหน้า รวบนางขึ้นมาอุ้มเดินตรงเข้าไปในตำหนัก
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (2)
goodnovel comment avatar
ขศยา สุนิเพชร
สนุกดีค่ะชอบๆ
goodnovel comment avatar
Vichuda
ไม่ลงเพิ่มหรือคะ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 466

    “เฮ้อ ก็ใครขอให้ฝ่ายนั้นเขามีบุตรีงดงามถึงขั้นได้เกาะบารมีรัชทายาทกันเล่า ครอบครัวพวกข้าไม่มีธิดาสักคน ชาตินี้อย่าได้วาดหวังว่าจะมีโอกาสงาม ๆ เช่นนี้เลย”“จากบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในกรมคลัง แม้ตำแหน่งเขาจะยังไม่โดดเด่น ทว่าการใช้เส้นสายของเขากลับแย่งอาชีพทำมาหากินของคนอีกจำนวนไม่น้อยไป ตำแหน่งนี้รัชทายาทยังจัดสรรให้เขาตั้งแต่สมัยยังเป็นเหิงอ๋องด้วย”“แล้วต่อมาเขายังได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมคลัง และเป็นเพราะรัชทายาทเป็นคนเรียกตัวเขาไปร่วมศึก แค่ออกรบศึกเดียวสุดท้ายก็ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นโหวเจวี๋ยอย่างก้าวกระโดด หากมิได้เกาะชายกระโปรงอาศัยบารมีของน้องสาวคนอย่างเขาหรือจะก้าวมาถึงตำแหน่งนี้ได้”“หากต้องอาศัยเพียงความรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขาสอบเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักจริง เกรงจะยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก”เพียงชั่วข้ามคืนคุณชายอันดับหนึ่งที่เคยมีพรสวรรค์สูงล้ำโดดเด่นกลับกลายเป็นคนเล่นเส้นสาย เป็นบุรุษที่อาศัยสตรีเลี้ยงดูในปากของคนอื่นไปแล้ว ไม่ต้องบอกว่าน่าอดสูเพียงใดครั้งนี้เขาสอบได้ที่สอง ทุกคนต่างก็เริ่มขยี้ตาแล้วมองเ

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 465

    วันต่อมาขณะประชุมสภาขุนนางยามเช้า พานไท่ฟู่มาถึงพระตำหนักจินหลวนด้วยอาการร้อนรนกระวนกระวาย ประสิทธิภาพการทำงานของเขารวดเร็วฉับไว ขณะเดียวกันก็นำคำให้การของหวังชิงมาด้วยพานไท่ฟู่ทำความเคารพด้วยความนบนอบ “กระหม่อมถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“ไท่ฟู่เชิญลุกขึ้นเถิด ท่านผู้เฒ่ามีเหตุอันใดจึงเข้าวังมาหรือ เฉาเต๋อเจ้ารีบไปหาที่นั่งให้พานไท่ฟู่เร็วเข้า” ฝ่าบาททรงรับสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเข้าวังมาก็เพื่อจะกราบทูลฝ่าบาทถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามสอบเคอจวี่ปีนี้พ่ะย่ะค่ะ” พานไท่ฟู่แม้อายุมากแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรงดี หัวหน้าขันทีเฉาย้ายเก้าอี้นุ่มมาให้แต่กระนั้นเขาก็มิได้ถือดีว่าตนเองอาวุโสและนั่งลงไปจริง ๆ เพียงแต่ค่อย ๆ เริ่มบรรยายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสนามสอบเมื่อวานให้อีกฝ่ายรับฟังอย่างละเอียดพวกเขาไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย ลากตัวคนที่กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครจับกุมได้เมื่อวานเข้ามาสอบปากคำทันที หนึ่งในนั้นได้กล่าวหาว่าผู้เข้าสอบนามว่าหวังชิงกระทำการทุจริตขณะสอบ กระทั่งพานไท่ฟู่ไปตรวจสอบถึงในเรือนของหวังชิงด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขายังมิได้ทำการสอบสวน

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 464  

    ท้องของนางใหญ่มากแล้วจึงได้แต่นอนตะแคง และยังจำเป็นต้องหนุนหมอนอีกใบที่หลัง มิเช่นนั้นแล้วนางจะนอนไม่สบาย นางลืมตาขึ้นมาก็เห็นเขาใกล้กันเพียงคืบ นางเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างแผ่วเบา “ท่านพี่ ท่านจำได้หรือไม่ว่านับแต่ครั้งล่าสุดพวกเราไม่ได้นอนด้วยกันแบบนี้มานานกี่วันแล้ว” “กี่วันหรือ?” เขาถาม “คงหกเจ็ดได้แล้วกระมัง!” “สิบสี่วันแล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวบอกจำนวนให้เขาฟัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “วันนี้หากท่านไม่กลับมา พวกเราก็มิได้พบหน้ากันครึ่งเดือนเต็มแล้วนะเพคะ หม่อมฉันนับวันรอจะได้พบท่าน เหมือนกับตอนที่ท่านไปทำศึกครานั้นหม่อมฉันก็ได้แต่เฝ้าคิดว่าสามีของหม่อมฉันจะกลับมาเมื่อใด” “นานเพียงนี้เชียวหรือ? วันเวลาผ่านไปรวดเร็วปานนี้เชียว? หรวนหร่วน ข้าเย็นชากับเจ้าแล้ว ตอนแรกเจ้าตั้งครรภ์ข้าก็มิได้อยู่ข้างกายเจ้า บัดนี้จวนจะคลอดเต็มทีแล้ว ข้าก็ยังมิได้อยู่เคียงกายเจ้าเลย เจ้าตัวคนเดียวลำพังคงลำบากมากแน่” เขาทอดกายนอนข้างเจียงเฟิ่งหัวและหันหน้ามาทางนาง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องในวังหลวงให้ฟัง คล้ายกำลังอธิบาย “ข้าชุลมุนจนหัวหมุนแล้ว ไปถึงตำหนักไท่หัวข้าก็ยังปรับตัวไม่ค่

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 463  

    เวลานี้ เห็นเพียงแววตาของเจียงเฟิ่งหัวดูอบอุ่นอ่อนโยนลงมาก ดวงหน้างดงามเพริศพริ้งดุจบุปผา นางเอื้อนเอ่ยคำชมหวานหูออกมา “ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาสามารถองอาจห้าวหาญ เพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ กุมอำนาจทั่วใต้ผืนฟ้า สูงส่งเหนือผู้ใด โจรใจทรามไหนเลยจะหลอกลวงได้ง่าย ๆ องค์รัชทายาทของพวกเรา เปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา ดุจสายธารดาราอันพร่างพราว กว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุด เปล่งประกายทั่วใต้หล้า รัชทายาทไหนเลยจะปล่อยให้คนชั่วช้าสามานย์ได้อำนาจลอยนวลไป” กล่าวอีกนัยหนึ่งหากชาติก่อนสกุลเจียงประสบปัญหาเช่นนี้ ต่อให้เจียงเฟิ่งหัวจะพยายามพูดเพียงใดล้วนไม่เป็นประโยชน์ สกุลเจียงต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่มีทางจะพลิกฟื้นกลับมาสู่จุดเดิมได้อย่างแน่นอน ชาตินี้นางได้ครองตำแหน่งชายารัชทายาทอย่างมั่นคงแล้ว ได้รับความไว้วางพระทัยจากทั้งฝ่าบาทและองค์รัชทายาท เสียงกระซิบข้างหมอนของนางมิได้เป็นเพียงลมล่องลอยสูญเปล่า เมื่อมีอำนาจถึงจะมีสิทธิ์ในการเอ่ยวาจา บัดนี้นางมีสิทธิ์ในการเอ่ยวาจาแล้ว สิ่งนี้คือความเป็นไปของโลก ได้ฟังวาจาของเจียงเฟิ่งหัว มุมปากของเซี่ยซางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยคำชื่นช

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 462  

    แท้ที่จริงจางอวี่มั่วอยากเรียนทำอาหารจานโปรดของเจียงจิ่นเหยียนไว้ต่างหาก เจียงเฟิ่งหัวตักน้ำแกงให้เจียงจิ่นเหยียนและเซี่ยซางคนละถ้วย “กินข้าวก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันเถิด!” “หรวนหร่วน เจ้าคิดเห็นเช่นไรหรือ?” เซี่ยซางเป็นฝ่ายถามนางขึ้นมาก่อน คล้ายว่ากำลังหยั่งเชิงความคิดเห็นของนางต่อเซียวอวี้ เจียงเฟิ่งหัวเอ่ย “ข้ากำลังคิดถึงหวังชิง ชื่อของคนผู้นี้คล้ายติดอยู่ในความทรงจำ” เจียงจิ่นเหยียนถามขึ้น “เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร” เจียงเฟิ่งหัวเผยรอยยิ้มสบายใจให้พวกเขา “ข้าไม่รู้จักเขา และไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็คงไม่รู้ว่ามีข้าผู้นี้อยู่ด้วย ข้าจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อนมีบัณฑิตจำนวนมากมายอยากฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพ่อ ทว่าท่านพ่อเองก็ใช่ว่าจะรับทุกคนเป็นศิษย์ สิ่งแรกที่ให้ความสำคัญก็คือคุณธรรมความประพฤติ และหวังชิงผู้นี้ก็เหมือนกับศิษย์คนอื่น ๆ ที่อยากให้ท่านพ่อเป็นท่านอาจารย์ของเขา” “พื้นเพของหวังชิงทำการค้าขาย ร่ำรวยอู้ฟู่ ดังนั้นเขาจึงยกหีบเงินทองสองหีบมาถึงจวนสกุลเจียง ทว่ากลับถูกท่านพ่อปฏิเสธไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังดึงดัน ไม่รับเขาเป็นศิษย์ เขาก็ไม่ไป จนพวกข้าไป

  • ย้อนชะตาวิวาห์รัก ชาตินี้ข้าขอเป็นฮองเฮา   บทที่ 461  

    เซี่ยซางเขี่ยปลายจมูกของนางเบา ๆ “มารดาของพวกเขาช่างมีความรู้กว้างขวางนัก แม้ตั้งครรภ์พวกเขาแต่ก็ยังชอบอ่านตำราประจำ หลังจากนี้จะต้องเลี้ยงดูสั่งสอนจนพวกเขาได้เป็นจอหงวนแน่” “หม่อมฉันศึกษาเองคงพอทำเนา แต่ให้สอนบุตรด้วยหม่อมฉันสอนไม่ได้เพคะ เช่นนี้จะทำอย่างไรดีเพคะ? มิสู้ให้ท่านพี่สอนเองเป็นอย่างไรเพคะ หม่อมฉันขอรับหน้าที่แค่ให้กำเนิดก็พอ ส่วนพวกเขาให้เป็นหน้าที่ของท่านพี่แล้วกันเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกะพริบตาอย่างแสดงความฉลาด เซี่ยซางเองก็คิดจะปัดความรับผิดชอบเหมือนกัน “บัณฑิตส่วนมากที่สอบได้ในปีนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ของพ่อตาทั้งสิ้น ความสามารถในการให้วิชาความรู้สั่งสอนศิษย์ย่อมไม่มีผู้ใดกังขา ไม่สู้พวกเราฝากพวกเขาให้พ่อตาเป็นผู้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้เป็นอย่างไร” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มกว้าง “ความคิดนี้ดีเพคะ อีกทั้งยังต้องหาท่านอาจารย์เก่งๆ สักคนมาสอนวิชาต่อสู้ให้เขา ร่างกายจะได้แข็งแรง หากว่าให้กำเนิดเป็นบุตรี ข้าจะสอนนางร่ายรำด้วยตัวเอง นักสังคีตและนางรำในวังยากจะอธิบายด้วยคำพูดสั้น ๆ …” สองสามีภรรยาหารือกันแล้วว่าจะดูแลเจ้าตัวน้อยที่ยังไม่เกิดออกมาอย่างไร เจียงเฟิ่งหัวเองก็เคยคิดเอาไว้แ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status