ตอนที่สี่
ถามหาความยุติธรรม
หญิงสาวไม่ต้องรอนานด้วยเย็นวันนั้น กลุ่มนักเลงก็พากันมาขับไล่สองยายหลานอย่างย่ามใจ ผู้คุ้มกันที่จ้างมาทั้งสี่หิ้วพวกเขาออกไปที่ด้านนอกร้าน แล้วเป็นฝ่ายทุบตีขับไล่พวกนักเลงแทนจนล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีหางจุกตูดไปตามๆกัน
เซียงเจินจูพยักหน้ามองคนที่จ้างมาอย่างพึงพอใจ
อืม...มีฝีมือ ค่อยสมค่าจ้างหน่อย
วันรุ่งขึ้นหญิงสาวจึงพาผู้คุ้มกันสองคนติดตามออกไปสำรวจข้าวของเครื่องใช้ต่อ จากนั้นจึงแวะซื้อขนมไปขอบคุณเจ้าของร้านบะหมี่แล้วนั่งลงพูดคุยสอบถามเพิ่มเติม
“เรื่องตั้งสำนักศึกษาตรงที่ดินแถวร้านชาของเจ้าเป็นเรื่องจริง ข้าได้ยินขุนนางสองคนมานั่งคุยกันเมื่อเย็นวาน”
“แสดงว่านักเลงพวกนั้นถูกส่งมาโดยเจ้ากรมศึกษาจริงสินะ เป็นถึงเจ้ากรม มีหน้าที่สั่งสอนอบรมคนให้ดี แต่กลับเลี้ยงพวกนักเลงเอาไว้คุกคามชาวบ้าน ปล่อยเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว” เซียงเจินจูมีท่าทางโมโห พูดไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วยความไม่พอใจ
“เจ้ากรมศึกษาผู้นี้มิใช่ธรรมดา เขาเป็นบุตรชายของเสนาบดีปกครอง นับว่าเป็นขุนนางใหญ่โต พวกเราคงไม่อาจสู้ได้” เจ้าของร้านบะหมี่ส่ายหน้าอย่างหวั่นเกรง
“ข้าจะลองไปถามหาความยุติธรรมจากเขาเอง” สาวน้อยเซียงจินจูกลับไม่กลัว ด้วยในร่างมีไข่มุกซึ่งมีนิสัยตรงไปตรงมาอีกทั้งยังกล้าพูดกล้าถามเช่นหญิงสาวสมัยใหม่
“นั่นไง รถม้าของเจ้ากรมศึกษากำลังขับผ่านมาตรงโน้นพอดี คนขับรถม้าซึ่งชอบมากินบะหมี่ที่ร้านข้านั่งบังคับม้าอยู่ด้านหน้านั่น” ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้าของร้านบะหมี่มองเห็นรถม้าของคนที่หญิงสาวกำลังคิดอยากจะตามหา
เซียงเจินจูไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง วิ่งพรวดพราดไปขวางทางรถม้าคันหรูหรานั่นจนคนขับหยุดม้าไว้เกือบไม่ทัน
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ชายด้านในซึ่งโดนแรงกระชากของรถม้าจนหน้าเกือบทิ่มถามออกมาอย่างพยายามข่มความไม่พอใจ
“มีหญิงสาวมาขวางด้านหน้าขอรับ” คนขับรถม้าตอบเสียงอ่อย
“ผู้ที่อยู่ด้านในใช่เจ้ากรมศึกษาหรือไม่เจ้าคะ” เซียงเจินจูตะโกนถามทันทีเมื่อเห็นว่ารถหยุดนิ่งแล้ว หญิงสาวมองไปข้างตัวเห็นว่าผู้คุ้มกันทั้งสองยังยืนประกบอยู่จึงเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
“ใช่ มีเรื่องใดกัน”
“ท่านส่งนักเลงไปทำลายข้าวของที่ร้านชาเซียงซือของข้า แล้วยังทำร้ายทุบตีจนท่านตาของข้าสิ้นชีวิตไปเพียงเพื่อจะยึดที่ดินมาสร้างสำนักศึกษา ช่างโหดร้ายทารุณ กระทำการอย่างขาดซึ่งความเป็นคน อยากได้ของผู้อื่นก็ฉกฉวยแย่งชิงทำร้ายเจ้าของเดิม คนเช่นนี้กลับยิ่งใหญ่เป็นถึงเจ้ากรมศึกษา ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสำนักศึกษาซึ่งสร้างขึ้นภายใต้เลือดเนื้อและชีวิตของท่านตาของข้าจะสร้างคนดีมีวิชาออกมาได้อย่างไร ในเมื่อเจ้ากรมยังเป็นเพียงอันธพาลชั่วช้า ฮือๆๆๆ” เซียงเจินจูตะโกนด่าไปร้องไห้ไปด้วยความคับแค้นเสียงดังลั่นเรียกผู้คนให้มามุงดู
ผู้ติดตามของเจ้ากรมหนุ่มถลาจะเข้ามาห้ามปรามและกระชากตัวหญิงสาวให้ออกจากเส้นทางแต่ติดขัดที่สองผู้คุ้มกันยืนขวางทางอย่างไม่ยินยอม อีกทั้งหญิงสาวยังร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสารจนพวกเขาไม่กล้าทำรุนแรงด้วยเกรงชาวประชาจะโวยวายต่อว่าพวกเขาว่ารังแกหญิงสาวอ่อนแอ
‘หวางชิวเฟิน’ เจ้ากรมศึกษาหรือที่ผู้คนเรียกกันว่า’ซือถู’เปิดผ้าม่านก้าวลงมาเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย
“เจ้าเอ่ยว่าอันใดหรือสาวน้อย มีคนส่งนักเลงไปทำลายร้านชาแล้วทำร้ายตาของเจ้าจนเสียชีวิตอย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าร่างบางตรงหน้าเป็นเพียงสาวน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้านเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรคนหนึ่ง
ตอนที่สิบเก้า ฉกฉวยโอกาสองคชายหกและจวงเห่ยกังถึงกับทำคอย่นเมื่อได้ยินประโยคหลัง ผิดกับองค์หญิงแปดซึ่งยิ้มแย้มชอบใจ“เช่นนี้สิ จึงจะสมเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของข้า”“ความจริง หากไม่อยากให้แม่เลี้ยงและน้องสาวผู้ร้ายกาจตามรังควาน การตัดสินใจไปอยู่ที่แคว้นโจวย่อมดีที่สุด” องค์หญิงรีบเอ่ยเข้าข้างตนเอง“ไม่จำเป็นต้องไปไกลเพียงนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ขอเพียงนางแต่งงานก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของบิดาอีกต่อไป” หยางหมิงเจ๋อเอ่ยขัด“ชิ ก็แต่งงานกับพี่หกอย่างไรเล่า มีสามีเป็นถึงองค์ชาย ย่อมไม่มีผู้ใดกล้ามาวุ่นวาย” องค์หญิงแปดเชิดหน้าอย่างภาคภูมิในศักดิ์ฐานะ“องค์ชายหกมีทั้งชายาเอก ชายารอง ชายาสาม แล้วยังอนุอีกมากมาย หากเข้าไปอยู่ที่นั่นคงมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น” หยางหมิงเจ๋อเอ่ยราวตาเห็น“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณชายหยางเอ่ยราวเคยเข้าไปอยู่ในเรือนหลังเสียเอง”“องค์หญิงทรงสูงศักดิ์ย่อมไม่เคยต้องพบเห็นเรื่องน่ารำคาญใจของการแย่งชิงความโป
ตอนที่สิบแปด ชิงดีชิงเด่น“นางเองหรือที่เจ้าเฝ้าติดตามอยู่หลายวันจนน้องสาวของข้าแง่งอนไม่พอใจ อืม...หากจะวัดเพียงแค่รูปร่างหน้าตา นับว่าน้องสาวของข้ายังเหนือกว่าเล็กน้อย แต่หากจะวัดที่รสชาติอาหาร ต้องยอมรับว่านางเหนือกว่ามาก” จู่ๆจวงเห่ยกังก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาทุกสายตาต่างหันไปมองจ้องความไม่รู้กาลเทศะของบุตรชายแม่ทัพใหญ่จนเขารู้สึกเก้อเขิน “เอ่อ...ข้าเพียงจะเอ่ยชมว่าหมาล่าหม้อไฟที่ร้านห่าวซือรสชาติดีเยี่ยม เลิศรสจนข้าอยากจะร่วมลงแข่งชิงเจ้าของร้านด้วยอีกคนแล้ว” ยิ่งพูดยิ่งแย่ จนสายตาทุกคู่มองกดดันมาทางจวงเห่ยกังอย่างไม่ชอบใจ โชคดีที่หลี่หยู่ถงซึ่งสุ่มดูอยู่เห็นเหตุการณ์ศึกแย่งชิงสาวงามจึงเกิดความหมั่นไส้ทนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ไหว ถลาออกมาชี้หน้าพี่สาวต่างมารดาซึ่งมีชายหนุ่มรุมล้อมอ
ตอนที่สิบเจ็ด ว่าที่พี่สะใภ้“ไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจอันใดทั้งนั้น ข้าไม่มีเงินจ่าย และข้าก็จะกลับโรงเตี๊ยม หากผู้ใดขัดขวาง ข้าจะตะโกนร้องให้คนช่วยว่าพวกเจ้าใช้กำลังรังแกลูกค้า” หลี่หยู่ถงพาลพาโล“ร้องไปก็ไม่มีผู้ใส่ใจ หรือจะไปฟ้องท่านเจ้าเมืองก็ได้ ข้ามีพยานมากมายว่าเจ้ากินอาหารโดยไม่ยอมชำระเงิน” หลี่หยู่ซีท้าพร้อมยุส่ง“เช่นนั้นข้าจะฟ้องท่านพ่อ” หลี่หยู่ถงเห็นท่าไม่ดีรีบยกบิดาออกมาข่มขู่“เชิญ รีบกลับไปฟ้องท่านพ่อได้เลย ไปเร็วๆล่ะ แต่ก่อนไป จ่ายเงินออกมาก่อน” หลี่หยู่ซีสรุปด้วยการไม่ยอมให้น้องสาวต่างมารดาออกไปโดยไม่ชำระเงินหลี่หยู่ถงกระทืบเท้าด้วยความโมโห ถอดเครื่องประดับบนตัวออกมาขว้างใส่พี่สาวต่างมารดาโชคดีที่หลี่หยู่ซีหลบทันแต่เสี่ยวเอ่อด้านหลังกลับโดนลูกหลงจนหัวแตกเลือดอาบ“อันธพาลเช่นนี้จับตัวไปส่งทางการเสียดีไหม” หลี่หยู่ซีข่มขู่ด้วยความไม่พอใจที่น้องสาวต่างมารดาทำร้ายคนของตนเอง“เชอะ แค่หัวแตก เอ้า..เอาไปซื้อยา” บุตร
ตอนที่สิบหก หน้าด้านหน้าทนเพียงไม่กี่วันหลี่หยู่ถงก็อดรนทนไม่ไหว วันแรกที่มาถึงนางรู้เพียงว่าพี่สาวและคู่หมั้นอยู่ที่ร้านหม้อไฟจึงรีบปรี่ไปฉีกหน้า โดยไม่คิดจะนั่งลงกินอาหารแต่ทันที่รู้ว่าร้านห่าวซือหมาล่าหม้อไฟร้านนั้นเป็นของพี่สาวต่างมารดาจึงเดินกร่างเข้ามาแล้วสั่งอาหารมากินจนล้นโต๊ะโดยสั่งให้สาวใช้และผู้ติดตามอีกโต๊ะหนึ่งเมื่อกินเสร็จ หลี่หยู่ถงลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าอย่างเฉิดฉายแล้วกรุยกรายเชิดหน้าเตรียมออกจากร้าน“ขออภัยขอรับ คุณหนูท่านนี้ ค่าอาหารเป็นเงิน5ตำลึงเงินกับอีก20อีแปะขอรับ” เสี่ยวเอ่อรีบวิ่งมาเก็บเงินตามหน้าที่“เชอะ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือผู้ใด บังอาจจะเก็บเงิน รีบไปบอกหลี่หยู่ซีว่าข้าให้เกียรติมากินอาหารที่ร้าน ให้นางห่ออาหารให้ข้ากลับไปกินที่โรงเตี๊ยมด้วย” หลี่หยู่ถงเชิดหน้าบอกอย่างเย่อหยิ่ง“ร้านของเราไม่ว่าผู้ใดก็ต้องจ่ายเงินขอรับ แม้แต่หยางกงจื่อมากินยังต้องจ่าย ขอคุณหนูอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยขอรับ” เสี่ยวเอ่อมีสีหน้ายุ่งยากใจด้วยหลี่หยู่ซีเ
ตอนที่สิบห้า น้องสาวพิธีหมั้น?เพียงคำนี้ย่อมเรียกอาการหันขวับของทั้งหลี่หยู่ซีและหยางหมิงเจ๋อกัวจื่อหานรีบผลักร่างของหลี่หยู่ถงให้ห่างออกพลางเอ่ยวาจาไม่ไว้หน้า“ผู้ใดตกลงว่าจะหมั้น ข้าหมั้นอยู่กับซีซีมาเกือบสองปี พวกเรายังไม่เคยถอนหมั้นกัน เจ้าอย่ามาเอ่ยคำเพ้อเจ้อ”“พี่จื่อหาน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างตกลงถอนหมั้นพวกเจ้าทั้งสองคนแล้ว อีกทั้งยังกำหนดวันหมั้นระหว่างพวกเราทั้งสองคนใหม่ เรื่องนี้พี่จื่อหานย่อมรู้ดี เหตุใดมาทำเป็นไขสือเช่นนี้” หลี่หยู่ถงตั้งใจเอ่ยเสียงดังเพื่อป่าวประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ยามนี้พวกเขาต่างยืนอยู่ด้านหน้าร้าน ย่อมมีผู้คนผ่านไปผ่านมาไม่น้อย เป็นธรรมดาที่จะมีผู้หยุดฟังเรื่องชาวบ้านเพื่อนำไปนินทาให้สนุกปาก“พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ” หลี่หยู่ซีเอ่ยบอก แม้ไม่อยากต้อนรับน้องสาวต่างมารดา แต่นางไม่อยากให้ผู้คนลือกันไปผิดๆมากกว่า“เชอะ เกรงผู้คนจะรู้ว่าเจ้าขโมยคู่หมั้นน้องสาวมาหรือ หลี่หยู่ซี” หลี่หยู่ถงกลับไม่รู้ความ ยืนป
ตอนที่สิบสี่ ล้อเล่นแล้ว“ข้าไม่อยากได้สักตำแหน่ง ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว” คราวนี้หลี่หยู่ซีกระแทกเสียงตอบโดยไม่เกรงใจ “แค่คู่หมั้น ยังไม่ได้แต่งงานสักหน่อย รีบไปยกเลิกเถอะ” องค์ชายแคว้นโจวปัดมือบอกอย่างไม่ยี่หระ “พวกเราเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก องค์ชายเอ่ยราวการแต่งงานเป็นเรื่องง่ายดายราวซื้อผักปลา ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่มีวันยั่งยืน ข้าไม่เสี่ยงไปกับความฉาบฉวยเช่นนี้แน่ ขอองค์ชายอย่าทรงกริ้วที่ข้าขอปฏิเสธ” หลี่หยู่ซีไม่พูดพร่ำแต่ปฏิเสธโดยไม่ไว้หน้าโดยมีสายตาโล่งอกของหยางหมิงเจ๋อคอยให้กำลังใจ “ข้อเสนอแสนดีเช่นนี้ เจ้ากล้าปฏิเสธเชียวหรือ ความสัมพันธ์ชายหญิงจะต้องลึกซึ้งเพียงใดกัน ชายาทุกคนของข้า บางนางเพิ่งเคยพบหน้าในวันแต่งงานด้วยซ้ำ สตรีในเรือนหลังเพียงร่วมอภิรมย์สุขสมก็เพียงพ