หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า
“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน
"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"
ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้
“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”
เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ
“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”
แม่เฒ่าหลี่พยักหน้าพร้อมทั้งตบไหล่เล็กที่ตั้งตรงของฉินจื่อเฉินเบาๆ
"จื่อเฉินเอ้ยเจ้าทำตามที่พี่เฉียวลู่ของเจ้าบอกเถอะ เก็บเงินเอาไว้มากๆ พาท่านแม่ของเจ้าไปหาหมอเมื่อนางหายดีเจ้าก็ชวนนางมาขายของกับพวกเราดีหรือไม่”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกัน ฉินจื่อเฉินซาบซึ้งในสิ่งที่พวกเขาพยายามช่วยตน เด็กชายก้มหน้าลงสะอื้นตัวสั่นเล็กน้อยเขาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของเขาถึงแม้ว่าเขาจะยังเป็นเพียงเด็กชายอายุแค่แปดขวบแต่เขาก็มีศักดิ์ศรีและความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่วันนี้พวกนางทำให้ฉินจื่อเฉินรู้สึกว่าเขาได้กลับมาเป็นเด็กน้อยเท่ากับอายุของเขาจริงๆ จึงทำให้ฉินจื่อเฉินกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ข้าขอขอบคุณพวกท่านมากขอรับ”
เด็กชายพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ เฉียวลู่กอดฉินจื่อเฉินที่นั่งอยู่ข้างนางแล้วลูบหลังเด็กน้อยเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนักในเรื่องของผู้ใหญ่แต่เมื่อเห็นท่านแม่ที่รักของพวกเขากอดพี่ชายที่แวะมาที่เรือนบ่อยๆ เขาสองคนก็ยื่นมือเล็กๆ ไปลูบหลังฉินจื่อเฉินเลียนแบบเฉียวลู่บ้าง ทำเอาแม่เฒ่าหลี่กับหลิวหงที่นั่งน้ำตาซึมหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เจ้าหัวไชเท้าน้อยสองหัวนี้ช่างน่ารักเสียจริง”
หลิวหงพูดออกมาและยังหัวเราะทั้งน้ำตา หลังจากแจกแจงเรื่องเงินเสร็จแล้วทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนอีกครั้ง เมื่อท่านอาหารเช้าเรียบร้อยฉินจื่อเฉินกลับมาที่เรือนของเขาอีกครั้งพร้อมอาหารที่เฉียวลู่แบ่งเอาไว้ให้เขาทั้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉินอี้เหยาท่านแม่ของเขาฟังทั้งหมด นางร้องไห้ออกมาทั้งลูบหน้าลูบไหล่บุตรชาย ลูกชายคนเดียวของนางต้องลำบากถึงเพียงนี้ที่นางทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่นะ ถ้าหากนางไม่แกล้งความจำเสื่อมและกลับไปที่นั่น บุตรชายของนางป่านนี้อาจจะยืนอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น หรือไม่ก็อาจจะตายไปแล้วเพราะใครบางคนที่คิดทำร้ายพวกเขา ฉินอี้เหยาถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าใจ
“ดีแล้วจ้ะเมื่อแม่หายดีแล้วแม่จะไปช่วยลูกเหมือนกัน”
ฉินจื่อเฉินโผเข้ากอดมารดาของตนด้วยความดีใจ ในที่สุดท่านแม่ของเขาก็เลิกเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนเสียที
“ท่านแม่ข้าดีใจมากขอรับ ท่านต้องทานอาหารให้มากๆ และอย่าลืมทานยาที่ท่านหมอชางให้มานะขอรับท่านจะได้หายป่วยเร็วๆ”
ฉินอี้เหยาพยักหน้าให้บุตรชายของนาง
“ได้สิแม่เชื่อเฉินเอ๋อ”
หลังจากที่ฉินจื่อเฉินดูแลท่านแม่ของเขาเรียบร้อยเขาก็ตรงไปที่กระท่อมของเฉียวลู่ทันที นางเตรียมตัวรออยู่แล้วเมื่อเห็นฉินจื่อเฉินเดินมาแต่ไกลนางก็ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“มาแล้วหรือจื่อเฉินน้อยพวกเรากำลังจะไปกันพอดี”
ฉินจื่อเฉินยิ้มตอบนาง เป็นครั้งแรกที่เฉียวลู่เห็นเด็กชายยิ้มออกมาด้วยความจริงใจไม่ใช่ยิ้มธุรกิจเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเปิดใจให้ใครบ้างแล้ว คณะของเฉียวลู่ตรงไปที่สระบัวอีกครั้งเมื่อพวกนางไปถึงที่นั่นชาวบ้านมากมาต่างจับกุ้งอยู่ในสระบัวทำเอาเฉียวลู่ถึงกับงง ทำอะไรไม่ถูก
“นี่พวกท่าน!!”
ชาวบ้านต่างหันมายิ้มให้เฉียวลู่ หญิงวัยกลางคนที่ทักแม่เฒ่าหลี่เมื่อวานก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“มาแล้วหรือเฉียวลู่ เมื่อวานข้าได้ยินว่าเจ้ารับซื้อกุ้งหรือวันนี้ยังรับซื้อเหมือนเดิมหรือไม่”
เฉียวลู่สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง
“เจ้าค่ะก็ยังรับเหมือนเดิมแต่ข้ารับเฉพาะตัวใหญ่เท่านี้นะเจ้าคะ จับตัวเล็กมาก็โดนคัดออกอยู่ดี”
เฉียวลู่จับกุ้งในตะกร้าของเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากนางยกให้พวกเขาดู ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้จากนั้นพวกเขาก็หันมาดูกุ้งที่อยู่ในตะกร้าของตนตัวเล็กก็ปล่อยลงน้ำไปเพื่อให้มันตัวโตในวันหน้าพวกเขาจะได้กลับมาจับมันอีก เฉียวลู่พยักหน้าให้กับเหล่าชาวบ้านที่ยังมีจิตสำนึก ไม่หลับหูหลับตาจับเอามาทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กโดยไม่สนว่าจะขายได้หรือไม่
“นี่พี่หลี่เมื่อเช้าเป็นอย่างไรบ้างกุ้งพวกท่านขายดีหรือไม่”
แม่เฒ่าหลี่ที่กำลังงมกุ้งอยู่หันมามองคนที่ถามตน
“ก็พอได้ต้องขอบคุณน้ำจิ้มสูตรลับของตระกูลเฉียวไม่อย่างนั้นกุ้งย่างเปล่าๆ ไม่มีคนซื้อหรอก”
แม่เฒ่าหลี่พูดสกัดชาวบ้านที่คิดนำกุ้งไปขายเลียนแบบบ้างให้กลับไปคิดใหม่อีกครั้ง การค้าขายเป็นเรื่องอิสระที่ใครๆ ก็สามารถขายได้แต่จะขายดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าหากไม่มีคู่แข่งนั่นยิ่งเป็นเรื่องดี
จางหย่งไม่ได้มาจับกุ้งด้วยเหมือนเคย เขาทำหน้าที่ตัดไม้ไผ่ทำกระบอกใส่กุ้งย่างหม่าล่าเฉียวลู่มีความคิดบางอย่าง นางอยากจะทำหม่าล่าต้มด้วยในหน้าหนาว แต่รอไปก่อนเอาไว้ให้อากาศเย็นกว่านี้นางคิดว่ามันจะต้องขายดีมากกว่าตอนนี้แน่นอน ถึงตอนนั้นหากไม่มีกุ้งก็ใช้อย่างอื่นมาทำแทนเช่นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อกระต่าย เห็ดหรือผักได้ทั้งนั้น ถ้ามีกระบอกไม้ไผ่เรื่องใส่น้ำซุปไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป
เฉียวลู่เกรงว่าจางหย่งทำงานคนเดียวจะทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ดังนั้นนางจึงเสนอให้เขาชวนคนที่รู้จักมาช่วยตัดกระบอกไม้ไผ่และลับขอบปากกระบอกให้เรียบเนียน กระบอกไม้ไผ่หนึ่งร้อยอันในราคายี่สิบเหวินไม้ไผ่บนภูเขามีมากมายพวกผู้ชายกว่าครึ่งหมู่บ้านต่างรีบมาช่วยงานจางหย่งหลังจากได้ยินข้อเสนอของเขา
ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าเก็บเกี่ยวพวกเขาได้งานที่ง่ายดายขนาดนี้ทั้งยังไม่ต้องลงทุนอะไรใช้แค่แรงที่พวกเขามีอยู่แล้วเหลือเฟือ งานแบบนี้ไม่นับว่าเหนื่อยอะไรเหมือนจับเสือมือเปล่าก็ว่าได้ ตัดกระบอกไม้ไผ่ไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขาเลย
ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ที่หน้าเรือนสกุลจางแม่เฒ่าหลี่กำลังทำหน้าที่ชั่งกุ้งของชาวบ้านที่นำมาขายคนสุดท้าย จางหย่งกำลังต้มกระบอกไม้ไผ่ในเรือนเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่พวกเขาไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรตามคำสั่งของเฉียวลู่ ฉินจื่อเฉินอวี้หลงและอวี้ชิงกำลังทำหน้าที่นำไปคว่ำผึ่งลมเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ กระบอกไม้ไผ่มีหลายร้อยกระบอกนับว่ามีใช้อย่างเหลือเฟือไปหลายวัน แต่พรุ่งนี้มีคนจองเอาไว้แล้วแปดสิบชุดดังนั้นพวกเขาจึงต้องกันส่วนนี้เอาไว้ไม่นับรวมที่จะขายต่อไป
“กินข้าวได้แล้วเจ้าค่ะทุกคน”
เฉียวลู่และหลิวหงรับหน้าที่ทำอาหารซึ่งดูเหมือนนางจะทำได้ดีทีเดียวอาหารที่ทำจากกุ้งมากมายวางอยู่บนโต๊ะ เฉียวลู่ทำข้าวต้มกุ้งใส่หม้ออุ่นไว้บนเตาด้วย
“จื่อเฉินน้อยมาทานด้วยกันก่อนสิอย่าพึ่งกลับห้ามปฏิเสธนะ”
ตอนแรกฉินจื่อเฉินจะกลับไปที่เรือนของตนแต่เฉียวลู่บอกให้เขาทานที่นี่ก่อนเด็กชายทำตามที่เฉียวลู่สั่งอย่างว่าง่าย บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นยิ่งไม่ต้องให้พูดเป็นครั้งที่สองเข้าประจำที่นั่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาสองคนเมื่อก่อนก็มาทานอาหารที่นี่บางครั้งก่อนที่เฉียวลู่จะตกเขาไป แต่เพราะนางไม่มีความทรงจำของเฉียวลู่คนก่อนนางจึงไม่รู้เรื่องที่เด็กน้อยทั้งสองของนางชอบมาทานอาหารที่เรือนสกุลจาง
หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเขาก็คุยนัดแนะเรื่องเกี่ยวกับการขายกุ้งย่างสำหรับวันพรุ่งนี้เล็กน้อยจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับเรือนของตน เฉียวลู่ยกหม้อข้าวต้มตามฉินจื่อเฉินไป
“เดี๋ยวก่อนจื่อเฉินน้อยรับนี่ไปสิท่านแม่ของเจ้ายังไม่ได้ทานอาหารเย็นใช่หรือไม่”
ฉินจื่อเฉินยื่นมือไปรับหม้อข้าวต้มมา
“ขอบคุณขอรับพี่เฉียวลู่”
เขาไม่ปฏิเสธนางอีกแล้วเพราะเฉียวลู่บอกว่ามันเป็นสวัสดิการที่มีไว้สำหรับครอบครัวของพนักงานซึ่งฉินจื่อเฉินไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใดแต่เขาเชื่อในสิ่งที่เฉียวลู่พูด เขาพยักหน้าทำตามแต่โดยดี เขาคิดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่พี่เฉียวลู่สั่งเขาล้วนทำตามเพราะนางไม่มีทางสั่งเขาให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแน่
“เอาล่ะเด็กๆ เราก็กลับกระท่อมน้อยของเรากันดีกว่า”
เด็กชายทั้งสองพยักหน้าจูงมือเฉียวลู่เดินขึ้นไปบนเชิงเขาที่ตั้งของกระท่อมน้อยพร้อมกับตะวันที่กำลังค่อยๆ ลับทิวเขาไป
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี