กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย
“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม
“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”
แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ
“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าที่ขาย ข้ากับท่านยายจะทำหน้าที่ย่างเจ้าค่ะ ส่วนเจ้าจื่อเฉินน้อย”
ฉินจื่อเฉินหยุดกินหันไปฟังเฉียวลู่สั่งงานด้วยความตั้งใจ
“เจ้าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์.....ข้าหมายถึงให้บอกพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านให้จับกุ้งมาขายให้ข้า เจ้าบอกพวกเขาว่าข้าให้จินละยี่สิบเหวิน”
“ขอรับ”
ฉินจื่อเฉินพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ยี่สิบเหวินไม่แพงไปหรืออาลู่”
แม่เฒ่าหลี่เป็นคนแย้งขึ้นมาคนแรก เฉียวลู่ส่ายหน้า
“ไม่แพงหรอกเจ้าค่ะท่านยายเอาไว้เราเปิดร้านขายเมื่อใดท่านจะรู้เองว่าถูกหรือแพง ข้าเกรงว่าต่อไปจะไม่พอขายซะมากกว่า”
เฉียวลู่ทำท่าทางมั่นใจขนาดนั้นทำเอาคนทั้งสามก็เกิดความมั่นใจตามไปด้วย ที่นางมั่นใจขนาดนั้นเพราะนางคิดว่ากุ้งย่างหม่าล่าของนางนั้นไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้อย่างแน่นอน
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ จางหย่งกลับไปตัดกระบอกไม้ไผ่เอาไว้เป็นอุปกรณ์ใส่กุ้งย่าง นางนึกถึงสตรีทฟู๊ดในยุคปัจจุบันที่สามารถถือเดินกินได้อย่างสะดวกสบาย แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ตามมาช่วยด้วยพวกนางนำไม้ไผ่มาเหลาทำไม้เสียบเอาไว้ย่าง เฉียวลู่รับหน้าที่ทำน้ำจิ้มซึ่งนางออกจะโกงเล็กน้อยเพราะทุกอย่างถูกสั่งมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้น
ฉินจื่อเฉินเดินกลับไปที่เรือนของเขาเพื่อดูท่านแม่ก่อนจากนั้นจึงไปหาเด็กๆ ที่เล่นอยู่กลางทุ่งบอกพวกเขาว่าเฉียวลู่รับซื้อกุ้ง ตอนแรกเด็กพวกนั้นไม่เชื่อว่าฉินจื่อเฉินพูดความจริง แต่อวี้หลงและอวี้ชิงที่ตามมาด้วยเป็นคนยื่นยัยพวกเด็กๆ จึงพากันยกขบวนไปจับกุ้งกันทั้งหมดเพราะอยากได้เงิน น้ำในสระบัวสูงไม่ถึงเข่าของผู้ใหญ่จึงไม่เป็นอันตรายนักเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านต่างก็ว่ายน้ำเป็นเพราะพวกเขาล้วนเติบโตมากับแม่น้ำ
วันถัดมาหลังจากที่ทุกอย่างได้ถูกเตรียมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เฉียวลู่และบ้านตระกูลจางนั่งเกวียนเทียมวัวแก่ของจางหย่งเดินทางไปที่อำเภอเป่ยจิงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้ทั้งอวี้หลงอวี้ชิงและฉินจื่อเฉินต่างก็ตามมาช่วยงานด้วยความกระตือรือร้น แม้ว่าเฉียวลู่จะตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมของไปขายแต่เด็กชายทั้งสองก็รีบลุกตามมาช่วย ถึงเฉียวลู่จะบอกให้พวกเขากลับไปนอนต่อแต่ความดื้อรั้นของเด็กชายที่เหมือนจะได้มาจากนางเต็มๆ ทำให้เฉียวลู่ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่ยอมให้เด็กๆ มาช่วยนาง
เมื่อเจ้าวัวแก่ลากพวกเฉียวลู่มาถึงหน้าทางเข้าอำเภอเป่ยจิงก็เป็นเวลาที่ฟ้าสว่างแล้วทำให้มองเห็นบรรยากาศรอบด้านได้อย่างชัดเจน ถึงเฉียวลู่จะเคยแสดงหนังพีเรียดย้อนยุคมาบ้างแต่นี่ดูสมจริงจนทำให้นางคิดว่าตนเองอยู่ในยุคโบราณจริงๆ ซึ่งนางก็อยู่ในยุคโบราณไม่ใช่การแสดง เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางอยากให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้นไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง
“พวกเราขนของลงตรงนี้เถอะเห็นทางด้านนั้นหรือไม่ตรงนั้นแหละที่เป็นตลาดเช้าของอำเภอ ทุกวันจะมีผู้คนตั้งแผงขายของมากมายในตอนเช้า จายค่าเช่าวันละยี่สิบเหวินให้ทางการเราก็สามารถขายอะไรก็ได้ที่นั่น วันนี้เรามาแต่เช้ามีโอกาสเลือกทำเลขายของที่ดีแน่นอน ไปเถอะ”
จางหย่งที่เข้ามาขายตะกร้าสานในอำเถอเป่ยจิงบ่อยๆ จึงรู้เรื่องทุกอย่างของที่นี่เป็นอย่างดีหลังจากเลือกทำเลตั้งร้านได้แล้วพวกเขาก็ก่อไฟย่างกุ้งในทันที ผ่านไปเพียงไม่นานกลิ่นหอมของกุ้งย่างก็โชยไปทั่วทั้งตลาด ทำเอาเหล้าพ่อค้าแม่ขายที่มาก่อนและทีหลังกลุ่มของเฉียวลู่ต่างกลืนน้ำลายกันถ้วนหน้า พวกเขาเข้ามามุงดูร้านของเฉียวลู่ว่าขายอะไร
ข้างโต๊ะที่ตั้งขายของ ของเฉียวลู่มีกระดาษหนึ่งแผ่นเขียนเอาไว้ว่า กุ้งย่างหม่าล่า ทั้งยังบรรยายความอร่อยของมันทำเอาบางคนที่อ่านหนังสือออกถึงกับควบคุมน้ำลายที่แทบไหลออกมาไม่ได้
ด้านล่างของคำบรรยายความอร่อยยังเขียนถึงข้อห้ามเอาไว้คือคนที่มีอาการแพ้กุ้งไม่สามารถกินได้ และยังเขียนบรรยายอาการแพ้เอาไว้ด้วย บางคนที่ไม่เคยกินกุ้งอาจจะไม่รู้ว่าตนเองมีอาการดังกล่าว เฉียวลู่สั่งยาแก้แพ้ชนิดรุนแรงเอาไว้ด้วย กินเข้าไปเพียงไม่กี่นาที่ก็เห็นผลนี่คือสิ่งที่เฉียวลู่บอกกับแม่เฒ่าหลี่ว่าให้วางใจเกี่ยวกับคนที่มีอาการแพ้ที่นางกังวล
เฉียวลู่หั่นเนื้อกุ้งเป็นชิ้นเล็กๆ เอาไว้สำหรับชิม มีบางคนอยากลอง เมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสถึงกับน้ำตาไหลออกมาแต่ก็ไม่สามารถหยุดกินได้เพราะมันทั้งอร่อยและเผ็ดมาก เฉียวลู่ขายชุดละยี่สิบเหวินได้กุ้งแปดตัว ซึ่งนางรับซื้อจากเด็กๆ ในหมู่บ้านมาจินละยี่สิบเหวินหนึ่งจินมีกุ้งประมาณสามสิบตัวแล้วแต่ขนาด ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามกุ้งห้าสิบจินที่พวกเขานำมาก็ขายหมดเกลี้ยงไปทันที
“นี่พ่อค้า กุ้งย่างหม่าล่าของเจ้าขายหมดแล้วหรือ”
สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีแม้ชุดที่นางใส่ไม่ใช่ผ้าไหมแต่ท่าทางของนางที่ดูเข้มงวดนั้นมองออกว่าเป็นบ่าวรับใช้ในจวนขุนนางหรือไม่ก็ตระกูลที่ร่ำรวยของอำเภอเป่ยจิงแน่นอน
“ต้องขออภัยด้วยขอรับวันนี้กุ้งย่างหม่าล่าของเราขายหมดแล้ว”
สตรีวัยกลางคนทำหน้าผิดหวัง
“น่าเสียดายจริงๆ บ่าวรับใช้ที่จวนของข้าซื้อกุ้งย่างหม่าล่าที่ร้านท่านไปหนึ่งชุดให้นายท่านของข้าลองชิม นายท่านของข้าชอบมากจึงให้ข้าออกมาซื้อแต่ดูเหมือนจะมาไม่ทัน วันพรุ่งนี้พวกเจ้ามาขายที่นี่อีกหรือไม่”
จางหย่งพยักหน้ารับ เฉียวลู่ได้ยินที่สตรีวัยกลางคนนางนั้นพูดจึงเล็งเห็นว่าวันพรุ่งนี้อาจจะได้ลูกค้ารายใหญ่นางจึงรีบออกมาคุยด้วยตนเอง
“พี่สาวท่านนี้ความจริงหากท่านต้องการกุ้งย่างหม่าล่าก่อนใครท่านสามารถสั่งจองเอาไว้ก่อนได้นะเจ้าคะ เพียงแค่วางมัดจำเอาไว้สิบเหวินพรุ่งนี้ร้านของเราจะนำไปส่งถึงที่เลยเจ้าค่ะ พวกท่านที่มาซื้อวันนี้ไม่ทันก็สามารถสั่งจองได้เช่นกัน”
จบคำของเฉียวลู่ก็มีคนรุมเข้ามาสั่งจองกุ้งย่างหม่าล่าเอาไว้มากมายเพราะเกรงว่าพรุ่งนี้ตนจะมาไม่ทันเหมือนวันนี้ เฉียวลู่นึกถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นางจึงสั่งสมุดบิลเงินสดเอาไว้พร้อมด้วยปากกา ดังนั้นที่นางต้องทำเพียงแค่เขียนจำนวนที่ลูกค้าสั่งสถานที่ส่งเงินที่จ่ายล่วงหน้าและจำนวนที่ต้องเก็บจากลูกค้าภายหลัง ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับเฉียวลู่ นางให้ต้นฉบับกับลูกค้าและเก็บใบก๊อบปี้เอาไว้กับตัว เมื่อลูกค้ารับสินค้าแล้วก็ให้เขาประทับลายนิ้วมือพร้อมเขียนชื่อป้องกันพวกที่คิดเล่นตุกติก ได้รับสินค้าแล้วแต่บอกว่ายังไม่ได้รับ ต้องขอบคุณนิยายที่นางอ่านเมื่อตอนที่อยู่โลกก่อนบางครั้งก็ได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของคนสมัยก่อนทำให้นางได้เปิดโลกว่าไม่ใช่แค่คนในยุคปัจจุบันเท่านั้นที่ต้องระวังเอาไว้คนยุคโบราณก็เจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน
หลังจากเก็บของขึ้นเกวียนเรียบร้อยแล้วคณะของเฉียวลู่ก็เดินทางกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวทันที ความจริงเฉียวลู่อยากจะซื้อของบางอย่างให้เด็กชายทั้งสองของนางแต่สุดท้ายเฉียวลู่ก็ต้องตัดใจเพราะนี่เป็นเงินก้อนแรกที่นางทำการค้า นางอยากจะเก็บเงินเอาไว้สร้างเรือนก่อนที่จะเข้าหน้าหนาว
จางหย่งจอดเกวียนเอาไว้ที่หน้าเรือนของเขาหลังจากที่ขนทุกอย่างลงจนหมดแล้ว เขาก็พาวัวไปผูกเอาไว้ที่คอกหลังเรือนเพื่อหาหญ้าและน้ำให้มันกิน ส่วนเฉียวลู่แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ขายของเสร็จพวกนางก็มานั่งรวมกันที่ห้องโถงกลางเรือน เฉียวลู่เทเงินออกจากถุงลงบนโต๊ะพวกนางช่วยกันนับเป็นกอง กองละหนึ่งร้อยเหวิน
“กุ้งย่างที่ขายได้วันนี้คือห้าพันเหวินเจ้าค่ะหรือก็คือห้าตำลึงเงินและยังมีเงินที่จองจากลูกค้าอีกแปดสิบชุด ชุดละสิบเหวินเท่ากับแปดร้อยเหวิน เงินส่วนนี้เอาไว้ไปรวมกับกุ้งที่ขายพรุ่งนี้นะเจ้าคะ ส่วนของวันนี้ ข้าจะหักค่าซื้อกุ้งจากเด็กๆ เมื่อวานคือจินละยี่สิบเหวิน สามสิบจินซื้อมาจากเด็กๆ เราจับกันเองยี่สิบจินดังนั้นรวมทั้งหมดคือหนึ่งพันเหวินหรือหนึ่งตำลึงเงิน”
เฉียวลู่เขียนลงในสมุดของนางที่มีอยู่ในกล่องสองสามเล่มนางจึงเอามาใช้เขียนเป็นสมุดรายรับรายจ่าย
“หักค่าถ่านค่าน้ำจิ้มกับค่าสึกหลอของอุปกรณ์ประมาณหนึ่งตำลึงเงิน ค่าแรงของพวกเราทุกคนไม่นับรวมอวี้หลงกับอวี้ชิงคนละหกสิบเหวินเท่ากับสามร้อยเหวินดังนั้นเงินห้าตำลึงจึงเหลือสองตำลึงกับอีกหกร้อยเก้าสิบแปดเหวินเจ้าค่ะ ท่านยายท่านลองอ่านบัญชีรายรับรายจ่ายของข้าดู”
แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงมองดูลายมือที่สวยงามปราณีตของเฉียวลู่แล้วพยักหน้าพร้อมกัน
“ขนาดหักค่านู่นนี่แล้วยังเหลือมากขนาดนี้ นี่มันเท่ากับเงินค่าแรงที่ทำงานทั้งเดือนเชียวนะแต่พวกเรากลับหาได้เพียงแค่วันเดียว”
แม่เฒ่าหลี่หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจนางจับมือกับลูกสะใภ้ที่ลำบากลำบนด้วยกันมานับสิบปีแต่ไม่เคยหาเงินได้มากขนาดนี้เพียงแค่วันเดียว จะนับว่าเป็นหนึ่งวันไม่ได้เพราะพวกเขาไปขายของที่อำเภอใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเอากุ้งย่างไปขายมากกว่านี้ล่ะแม่สามีลูกสะใภ้ต่างคิดเรื่องเดียวกัน เฉียวลู่มองพวกนางแล้วได้แต่ส่ายหน้าด้วยความจนใจ แค่เงินไม่กี่ตำลึงพวกนางก็หลั่งน้ำตาแล้วหรือถ้าหากให้จับเงินหลายร้อยตำลึงพวกนางไม่ลมจับกันหรือไร
โปรดช่วยเป็นกำลังใจให้กับนักเขียนไส้แห้งคนนี้ด้วยนะคะ
ขอบพระคุณ
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี