เจ้ามีคนรู้จักอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ก็เยี่ยมเลย อวิ๋นซิงกระพือปีกขึ้นลงอย่างตื่นเต้น
ก็ไม่นับว่ารู้จัก แต่อย่างน้อยเขาก็นับได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่งอีกทั้งยังน่าสงสารมากด้วย
อวิ๋นซิงขยับหัวก่อนจะโน้มเข้ามาใกล้ใบหูของหยุนจิงพูดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ข้าคิดว่าหากเขาเป็นคนดีมีหรือจะปฏิเสธความช่วยเหลือได้ลงคอ โดยเฉพาะกับเด็กตัวเล็ก ๆ ว่าแต่ที่เจ้าบอกว่าน่าสงสารนั้นหมายความว่าเช่นไร
ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำตัวเป็นนกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น หยุนจิงอดไม่ได้ที่จะสัพยอกเจ้าตัวจิ๋ว
มันก็ต้องมีบ้างไหมเพื่อเพิ่มสีสันให้ชีวิต เจ้ารีบพูดมาเถอะ หากข้าไม่ได้รู้วันนี้เห็นทีคงจะนอนไม่หลับ คำพูดของนกชิงเหนียวทำให้หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะออกมา
เอาไว้สักวันข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง แต่ยามนี้คงไม่ได้แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางเวหาแล้วข้าเองก็ง่วงเต็มที
หยุนจิงผ่อนลมหายใจยาวพลางโน้มตัวลงบนฟูกนุ่มบนเตียงของตน นัยน์ตาคู่น้อยปิดลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะลืมขึ้นมองเจ้านกตัวจิ๋วที่ยังคงกระพือปีกเบา ๆ อยู่ไม่ไกล
อวิ๋นซิง หยุนจิงเอ่ยเรียกเสียงเบา วันพรุ่งนี้เราค่อยสานต่อแผนที่วางไว้เถิดนะ วันนี้ข้าขอพักให้สมองโล่งหน่อย
นกชิงเหนียวส่งเสียงตอบรับอย่างเข้าใจก่อนที่เจ้าตัวจะบินไปหาที่ยึดเกาะ
หยุนจิงขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวรู้สึกอุ่นสบายจนเผลอจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ฝันดี
อืม…เจ้าเองก็ฝันดี เยว่ฮวา
เมื่อเสียงลมกลางดึกพัดผ่านบานหน้าต่างร่างของเด็กหญิงวัยห้าปีก็จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ เธอได้ฝันถึงเรื่องราวในชีวิตก่อนหน้าของตนก่อนที่จะหลอมรวมเข้ากับโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ
สามวันต่อมา...
“ข้ายังง่วงอยู่เลย...” หยุนจิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้พลางหลับตาพริ้ม ขณะที่ไป่ซินกำลังประคองร่างเล็กให้นั่งบนเก้าอี้เตี้ยหน้ากระจกสำริดทรงกลม
“อดทนหน่อยนะเจ้าคะคุณหนู นี่ใกล้จะเข้าต้นยามเฉิน[1]แล้วหากว่าคุณหนูยังแต่งตัวไม่เสร็จจะถูกนายท่านตำหนิเอาได้” เสียงของไป่ซินฟังดูนุ่มนวลแต่การลงมือของนางกลับเฉียบขาดอย่างพี่เลี้ยงมากประสบการณ์
มือของนางสางผมให้คนร่างเล็กอย่างเบามือก่อนที่จะจับผมของนางมัดเป็นทรงซาลาเปาคู่พร้อมกับนำผ้าผูกผมและติดเครื่องประดับเล็ก ๆ แต่ดูหรูหราอย่างระมัดระวัง
หยุนจิงนั่งมองตัวเองในกระจก ดวงตาใสจ้องมองแววตาสะท้อนร่างเด็กหญิงวัยห้าขวบที่สวมชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนเนื้อดี ปักลายดอกเหมยเล็ก ๆ รอบชายแขน
เสื้อด้านในเป็นผ้าซับนุ่มสีขาวเพื่อกันความหนาวในช่วงต้นวสันต์ ตอนนี้อากาศยังเย็นยามเช้าแต่ก็มีแสงอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านไม้ไผ่ตรงหน้าต่าง
(เห้อ...ถ้าเป็นโลกเก่าของฉัน คงเลือกหยิบเสื้อยืด กางเกงสบาย ๆ ซักตัวแค่นั้นก็พอแล้ว)
เด็กหญิงอดคิดเปรียบเทียบในใจไม่ได้ แต่ก็ทำได้แค่เผยอปากถอนหายใจเบา ๆ เพราะโลกใบนี้ไม่มีทางเหมือนยุคปัจจุบันที่เคยจากมา
“คุณหนูช่างงดงามน่ารักมากเลยนะเจ้าคะ” เถาจูอดที่จะชมเจ้านายตัวน้อยมิได้ พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ขอบใจเจ้า”
หยุนจิงยกมือแตะเครื่องประดับบนผม ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบาง “ที่ข้าดูดีเช่นนี้ได้ ต้องขอบคุณป้าไป่ ว่าแต่ท่านแม่ล่ะ นางเตรียมตัวเสร็จหรือยัง” ไป่ซินยิ้มรับก่อนจะตอบคำถาม
“ฮูหยินและพวกบ่าวอีกหลายคนรออยู่ที่ลานหน้าจวนแล้วเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราควรจะไปกันดีกว่า”
ลมหนาวยามเช้าพัดเอื่อยเฉื่อยในลานหน้าจวน ตรงนั้นมีเกี้ยวผ้าไหมสีอ่อนตั้งรออยู่ หลิวอวี้เฟยยืนอยู่กับสาวใช้สองสามคน เมื่อนางเห็นลูกสาวตัวน้อยเดินผ่านประตูเรือนชั้นในออกมา ก็กวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มาแล้วหรือ เยว่ฮวา” นางเอ่ยพลางยิ้มอ่อน
หยุนจิงในร่างเด็กห้าขวบรีบสาวเท้าเข้าหาแม่ ใบหน้าที่ขับเน้นด้วยแก้มสีระเรื่อจากอากาศหนาวดูน่ารัก
“ท่านแม่ วันนี้ท่านงามมากจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หลิวอวี้เฟยยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของลูกสาวแล้วยิ้มเอ็นดู “ปากของเจ้านับวันยิ่งหวานเสียเหลือเกิน... ลูกรักเจ้าหนาวหรือไม่? เถาจู เจ้ารีบไปยกเตาอุ่นมือมาให้คุณหนูของเจ้าเถิด”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” เถาจูขานรับเสียงใสก่อนจะวิ่งไปหยิบเตาอุ่นมือที่เตรียมไว้มาส่งให้หยุนจิง
เด็กหญิงรับเตาอุ่นมือมาถือกอดมันไว้แนบอก “ขอบใจเจ้า” พร้อมกับเอ่ยออกมาเสียงนุ่ม
“ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราจะเข้าวังกันเยี่ยงไร” สายตาของหลิวอวี้เฟยมองลูกสาวตัวน้อยด้วยแววตาขบขัน
“เจ้าเห็นเกี้ยวตรงหน้าหรือไม่ พวกเราจะนั่งสิ่งนี้เข้าวัง”หลิวอวี้เฟยตอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำพูดของมารดาทำให้หยุนจิงชะงักไปเล็กน้อย
โดยที่นางลืมไปว่ายุคสมัยราชวงศ์ฮั่นค่อนข้างเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้รถม้า อีกทั้งรถม้าส่วนใหญ่จะเป็นแบบสองล้อแม้ในทางโบราณคดีจะพบว่ามีรถสี่ล้อเช่นเกวียนขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ใช่พาหนะส่วนบุคคลอันแพร่หลาย
หยุนจิงครุ่นคิด (หากข้าสามารถเสนอรถม้าสี่ล้อที่มีความสะดวกต่อการเดินทางออกมาจะได้ไหมนะ)
ในระหว่างที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ “คุณหนู เชิญขอรับ” บ่าวชายผู้ทำหน้าที่หามเกี้ยวเผยรอยยิ้มให้เด็กหญิงอย่างนอบน้อมพลางเปิดม่านให้เธอขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวที่ตกแต่งสมกับฐานะคุณหนูตระกูลใหญ่
ในเวลาเดียวกันขณะที่สาวใช้คนอื่น ๆ ต่างก้มศีรษะคำนับหลิวอวี้เฟยในฐานะฮูหยินเอกผู้สูงศักดิ์
หยุนจิงหันไปสบตากับแม่อีกครั้งเกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด “ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่จะขึ้นไปก่อนหรือไม่”
หลิวอวี้เฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “เจ้าเป็นเด็กก้าวขึ้นยากกว่า แม่จะช่วยประคองเจ้าก่อน” ว่าแล้วนางก็เอื้อมมือไปช่วยพยุงลูกสาวขึ้นเกี้ยว
เถาจูมาคอยช่วยจับชายเสื้อของหยุนจิงไม่ให้ร่นหรือยับ เมื่อเด็กหญิงนั่งลงเรียบร้อยหลิวอวี้เฟยจึงได้ก้าวเท้าขึ้นมานั่งเคียงกันกับลูกสาว
“เจ้าอาจหลับพักตาระหว่างทางได้ เพราะคงใช้เวลาเดินทางสักพักหนึ่ง”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่” เด็กหญิงตอบรับอย่างร่าเริง มือยังคงอิงเตาอุ่นไว้ไม่ห่าง
บ่าวชายสี่คนที่อยู่ด้านนอกเกี้ยวประจำตำแหน่งพร้อม ยามเช้าตรู่นี้ท้องฟ้ายังเป็นสีเทาเรื่อ ๆ พวกเขารับคำสั่งให้เคลื่อนเกี้ยวออกจากลานจวนไปอย่างเนิบช้า
เมื่อคนหามเกี้ยวสัมผัสพื้นที่ขรุขระเล็กน้อย หยุนจิงก็อิงกายเข้ากับแม่ทันที อากาศหนาวทำให้เธออดไม่ได้ที่จะดึงผ้าคลุมขนสัตว์ห่มเพิ่ม แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกตื่นเต้นกับการได้นั่งเกี้ยว ครั้งแรกในชีวิตใหม่นี้
“ค่อย ๆ ไป อย่าเร่งเร็วเกินไป เจ้าอย่าลืมว่ามีคุณหนูกับฮูหยินอยู่ด้านใน” สาวใช้ที่เดินตามอยู่ด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยบอกคนหามเกี้ยว ซึ่งภายในเกี้ยวหลังงามหลิวอวี้เฟยหันมาสบตาลูกสาว
“หนาวมากหรือไม่?” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย
หยุนจิงส่ายหน้าดวงตาเปล่งประกาย “ไม่เลยเจ้าค่ะ ท่านแม่เตรียมทุกอย่างให้ข้าดีจนแทบไม่ต้องกังวลอะไร”
กล่าวจบนางก็กระชับผ้าห่มผืนบางอีกชั้นโดยมีเตาอุ่นมือกอดไว้แนบอก เกี้ยวสีอ่อนเคลื่อนผ่านประตูจวนออกสู่ถนนกว้าง เป้าหมายคือพระราชวังหลวงสำหรับงานที่จักรพรรดิจะเสด็จเป็นประธานในพิธี
“จะว่าไป... ท่านพ่อยังไม่มาหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นในที่สุดเมื่อสังเกตว่าไม่มีเสียงของหลี่เจี้ยนเฉิง
หลิวอวี้เฟยแค่เม้มปาก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เขาบอกว่าจะตามไปที่วังเอง”
ทันทีที่แม่พูดจบหยุนจิงก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นสบายที่พัดเข้ามาทางม่านด้านหนึ่ง นางมองลอดออกไปเห็นสองข้างทางมีผู้คนบางตาที่เพิ่งตื่นเริ่มจัดร้านรวงยามเช้าในเมืองหลวง
อวิ๋นซิง นี่คือวันแรกที่ข้าได้ออกจากจวนไปสู่นอกจวนอย่างเต็มรูปแบบ กระทั่งมีเกี้ยวคนหาม หยุนจิงอดที่จะสื่อสารกับนกเพื่อนยากไม่ได้
เจ้าดูเหมือนจะตื่นเต้น นกชิงเหนียวที่อาศัยซ่อนตัวอยู่ในอกเสื้อของนางพูดอย่างขบขัน
มันก็ต้องมีกันบ้าง ในยุคสมัยของข้านั้นแทบไม่มีโอกาสได้นั่งอะไรแบบนี้หรอก เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเครื่องยนต์หรือไม่ก็ไฟฟ้ากันหมดแล้ว การเดินทางก็เต็มไปด้วยความรวดเร็วทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
ในขณะที่เด็กหญิงกำลังสื่อสารให้สหายตัวจิ๋วฟังอย่างออกรสหูของนางพลันได้ยินเสียงสวดมนตร์เบา ๆ ดังมาจากอารามด้านข้างถนน
“ท่านแม่ที่นี่มีวัดด้วยหรือเจ้าคะ” หยุนจิงถามขึ้นอย่างใคร่รู้
“วัด? คือสถานที่แห่งใดหรือเจ้า” ใบหน้าของหลิวอวี้เฟยเต็มไปด้วยความฉงน
“เอ่อ ข้าหมายถึง” ชิงหยวนกวาน เสียงของอวิ๋นซิงดังขึ้นในหัว หลี่หยุนจิงจึงได้นึกออกว่าควรจะพูดว่าอย่างไร “ท่านแม่ลูกหมายถึงสำนักเต๋าชิงหยวนเจ้าค่ะ”
[1] 07.00-08.59