เสียงพิณและขลุ่ยที่บรรเลงอย่างงดงามดังก้องไปทั่วพระราชวัง เหล่าขุนนางและแขกจากทั่วทุกสารทิศต่างมารวมตัวกันในงานพิธีอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนตั้งตารอคอยมานาน นั่นคืองานอภิเษกสมรสของ องค์รัชทายาทหลี่หยาง ผู้สง่างามแห่งแคว้นเจียง กับ องค์ชายหวังหยู่ จากแคว้นหลง ผู้ถูกส่งมาเป็นบรรณาการเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น
ภายในท้องพระโรงถูกตกแต่งด้วยผืนผ้าไหมสีแดงสด ประดับด้วยลวดลายมังกรและหงส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองและอำนาจ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างประณีตและงดงาม เหล่าขุนนางและแขกที่ได้รับเชิญต่างอยู่ในเครื่องแต่งกายอันหรูหรา ก้มกราบถวายคำนับเมื่อองค์รัชทายาทก้าวเข้ามา
หลี่หยางก้าวเดินด้วยท่าทีที่สง่างาม มั่นคงในทุกย่างก้าว รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายและท่าทีแข็งแกร่งของเขาสะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่ว่ามุมไหนขององค์รัชทายาทผู้นี้ ต่างทำให้ผู้ที่มองต่างเคารพและเกรงขาม แม้เขาจะมีบุคลิกเงียบขรึม แต่ก็เป็นที่รักใคร่ของคนในราชสำนัก เนื่องจากความสามารถในการปกครองที่เฉียบขาดและมีเหตุผล
ในขณะที่หลี่หยางกำลังเดินเข้าไปยังบริเวณพิธี เสียงกลองและเครื่องดนตรีบรรเลงขึ้นอีกครั้งเพื่อประกาศการมาถึงขององค์ชายหวังหยู่ คู่สมรสบรรณาการขององค์รัชทายาท
องค์ชายหวังหยู่เป็นบุตรชายองค์เล็กของแคว้นหลง ซึ่งเป็นแคว้นที่มีความสำคัญในฐานะพันธมิตรทางการเมืองของแคว้นเจียง แต่แม้จะเป็นเพียงองค์ชายที่ถูกส่งมาเป็นบรรณาการ การปรากฏตัวของเขาในวันนี้กลับเต็มไปด้วยความงดงามและสง่าผ่าเผย
องค์ชายหวังหยู่มีรูปร่างบอบบาง ใบหน้าอ่อนโยนที่ดูเปราะบางราวกับหยกขาว น่าทะนุถนอมยิ่งกว่าสตรีใด ร่างบางสวมชุดสีแดงเลือดนกปักลวดลายหงส์ทอง ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าที่ส่องแสงระยิบระยับในแสงเทียน ความงดงามและความโดดเด่นขององค์ชายแห่งแคว้นหลงทำให้แขกทุกคนต่างพูดถึงด้วยความชื่นชม
แม้การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมความสัมพันธ์ทางการเมือง แต่ทั้งหลี่หยางและหวังหยู่ต่างก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงเรื่องของแคว้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงชะตากรรมของพวกเขาเข้าด้วยกันอีกด้วย
พิธีเริ่มต้นขึ้นโดยมีการถวายบรรณาการและสวดมนต์ตามธรรมเนียม เสียงของพระราชครูที่สวดมนต์ก้องกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่ แขกทุกคนต่างเงียบสนิท ตั้งใจฟังถ้อยคำที่เป็นมงคล เมื่อถึงเวลาสำคัญ องค์รัชทายาทหลี่หยางและองค์ชายหวังหยู่ต่างคุกเข่าลงหน้าพระบัลลังก์ของจักรพรรดิแห่งแคว้นเจียงเพื่อถวายบังคม
“วันนี้ ข้ารับบุตรของแคว้นหลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้นทั้งสองให้มั่นคง ข้าขอให้ทุกคนให้ความเคารพพระชายาเหมือนกับที่ให้ความเคารพต่อองค์รัชทายาทของข้า” ฮ่องเต้ที่เป็นองค์จักรพรรดิกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสง่างาม ขุนนางทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย การแต่งงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างพันธมิตรทางการเมือง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แคว้นเจียงด้วย
หลังจากพิธีทางศาสนาเสร็จสิ้น ทั้งสององค์ก็ยืนขึ้นเคียงข้างกัน หลี่หยางมองหวังหยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงบและมั่นคง แม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงอารมณ์ให้ใครเห็นมาก่อน แต่ในสายตาของเขากลับแฝงไปด้วยความเย็นชาที่มีต่อคู่สมรสใหม่ของเขา หวังหยู่เองก็มองกลับด้วยกังวลเล็กๆ แม้ว่าการแต่งงานนี้จะเกิดขึ้นจากเหตุผลทางการเมือง แต่เขาก็พร้อมที่และยินดีที่จะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
งานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดเต็มเพื่อเลี้ยงรับรองแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมในพิธี ขณะที่บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความหรูหราและความยินดี ถึงหวังหยู่จะรู้สึกยินดีที่จะถูกส่งมาเป็นบรรณาการ แต่ในขณะเดียวกันแต่พอได้เห็นสีหน้าของคู่สมรสกลับทำให้กลับร่างบางรู้สึกถึงความกดดันบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หวังหยู่รู้สึกว่าชีวิตใหม่ของเขาจะเต็มไปด้วยความท้าทายและภาระที่ต้องรับผิดชอบมากมายเขาอาจจะรับมือไม่ไหว
หลี่หยางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หวังหยู่ หันมามองด้วยแววตาที่เป็นเย็นชา “เจ้าดูเครียดเกินไปสำหรับงานมงคล ไม่ดีใจหรืออย่างไรที่ได้ข้าเป็นพระสวามีตามที่เจ้าต้องการ” เขากล่าวเบา ๆ อย่างดูถูกองค์ชายขี้โรคอ่อนแอที่คิดอยากแต่งงานกับเขา
หวังหยู่หัวเราะออกมาเล็กน้อย “ท่านคิดมากเกินไป ข้าแค่หวังว่าจะทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่ควร เพื่อให้บ้านเมืองของเรายิ่งใหญ่”
หลี่หยางยิ้มเบา ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่ต้องกังวล ข้าคิดอยู่เสมอ เราสองคนไม่ใช่เพียงคู่สมรส แต่เรายังเป็นพันธมิตรในทุกเรื่อง ดังนั้นไม่จำเป็นที่ต้องคิดมาก และไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันและได้รับความรักจากกัน ข้าหมายถึงต่างคนต่างอยู่น่ะ”
คำพูดของหลี่หยางแม้จะเอ่ยเบาๆ แต่ก็ทำให้หวังหยู่รู้สึกจุกแน่นในอกขึ้นมา ความสงบที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงขององค์รัชทายาททำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในอนาคตที่กำลังจะมาถึงเขาจะต้องรับมือกับอะไรบ้าง แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเริ่มต้นจากเหตุผลทางการเมือง แต่หวังหยู่รู้ดีว่าที่มาก่อนที่จะเป็นเหตุผลทางการเมือง คืออะไร เขาเพียงเป็นองค์ชายที่อ่อนแอขี้โรค จึงไม่ค่อยได้ทำอะไรที่เป็นความกล้าหาญดุจที่องค์ชายอื่นๆ เขาทำกัน แม้กระท่ังการฝึกเพลงดาบ เสด็จพ่อยังไม่ให้เขาได้จับดาบเลย หวังหยู่ถูกเลี้ยงมาเยี่ยงบุตรสาว เขามีทั้งความขี้โรคและความอ่อนแออยู่ในตัว หวังหยู่ได้มีโอกาสเจอหลี่หยางเพียงเจอครั้งเเรกเขารู้เลยว่าตัวเขาต้องได้มีผู้ชายที่เข้มเเข็งแบบหลี่หยางดูแลเท่านั้น ร่างอ้อนแอ้นขององค์ชายเล็กจึงขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเพื่อจะบอกวัตถุประสงค์ของตัวเองที่ต้องการจะแต่งงานกับหลี่หยาง
วันหนึ่งในขณะที่หลี่หยางและหวังหยู่อยู่ด้วยกันในสวน ทั้งคู่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย หลี่หยางคอยดูแลหวังหยู่อย่างใกล้ชิด หวังหยู่กล่าวขึ้นด้วยความอบอุ่นในใจ “ข้ารู้ว่าการที่ท่านปฏิเสธการมีสนมทุกคนที่เข้ามา ข้ารู้สึกขอบคุณที่ท่านยังคงยืนหยัดในความรักเดียวใจเดียวที่มีต่อข้า ท่านทำให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีค่าสำหรับท่าน” หลี่หยางยิ้มก่อนที่จะดึงหวังหยู่เข้ามาในอ้อมกอด “ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ข้ารักเจ้าเพราะเจ้าคือคนที่ข้าต้องการเพียงคนเดียว ไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่สามารถแทนที่เจ้าได้” คำพูดหวานซึ้งของหลี่หยางทำเอาหวังหยู่ถึงกับเขินอาย หลี่หยางมองหน้าฮองเฮาด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความรัก “เจ้าช่างอายได้อย่างน่ารัก ยามอยู่ในสวนเจ้าสวยกว่าดอกไม้พวกนี้เสียอีก ข้าอยากให้เรามีเวลามากขึ้นเช่นนี้ทุกวัน และที่สำคัญข้าอยากพาเจ้ามาชมสวนตอนกลางคืนจังเลย อ๊าาา แค่คิดดาบของข้าก็รู้สึกแข็งตัวพร้อมรบแล้ว” หวังหยู่ที่กำลังมองดอกไม้หันกลับมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม เขาหัวเราะเบา ๆ ให้กับคำพูดของพระสวามี “ท่านก็รู้ว่าข้าเขินเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ท่านชอบแกล้งข้าอยู่เรื่อย คนหื่น”
หลังจากที่ทุกอย่างในราชสำนักเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบสุขและฮ่องเต้หลี่หยางกับฮองเฮาหวังหยู่มีความสุขกับการเลี้ยงดูพระโอรสน้อย ความท้าทายใหม่ก็เกิดขึ้นในราชสำนัก เมื่อวันหนึ่งมีขุนนางท่านหนึ่งนำธิดาของตัวเองเข้ามาถวายตัวให้กับฮ่องเต้ ด้วยความหวังจะได้เข้าไปเป็นสนมในราชสำนัก การถวายตัวในครั้งนี้สร้างความอึดอัดใจให้กับหลี่หยางเป็นอย่างมาก เพราะแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขามีหวังหยู่เป็นที่รักเพียงคนเดียว และไม่เคยต้องการสนมเพิ่มเติมเลย เขารู้สึกไม่สบายใจที่มีคนเข้ามาถวายตัวเช่นนี้ แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมในราชสำนัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างตรงไปตรงมา ในท้องพระโรงขณะที่ขุนนางผู้ได้ทูลเสนอให้ธิดาของเขาเข้าถวายตัวเป็นสนม หลี่หยางรู้สึกอึดอัดแต่พยายามรักษาท่าทีที่สง่างาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “ข้าขอบใจในความหวังดีของเจ้า แต่ข้ามีฮองเฮาที่คอยเคียงข้างกายและร่วมสร้างอนาคตกับข้าอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะรับสนมเพิ่มอีกในตอนนี้” แต่ข่าวการถวายตัวของธิดาขุนนางก็มาถึงหูของหวังหยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อหวังหยู่ได้ยินข่าวนี้ เขาไม่อาจซ่อนความรู้สึกไม่พอใจได้ แม้จะรู้ว่าหลี่หยางรักและภักดีต่อเขา แต่การท
เช้าวันหนึ่งในท้องพระโรงใหญ่ ฮ่องเต้ประทับบนราชบัลลังก์ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความสง่างาม แต่หากสังเกตลึกลงไป จะเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ฉายชัดในพระเนตร ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่นั่งเรียงรายตามลำดับขั้น “วันนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศแก่ทุกคน” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะวางมือจากภาระอันใหญ่หลวงนี้ และส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้ที่คู่ควร เพื่อให้แผ่นดินนี้มีผู้นำรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่ขุนนาง ฮองเฮาที่ยืนเคียงข้างมองไปยังหลี่หยาง ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งขององค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทหลี่หยาง ข้าตัดสินใจแล้วที่จะสละราชบัลลังก์ให้เจ้า เจ้าจงขึ้นครองราชย์ในฐานะฮ่องเต้คนต่อไป เจ้าคือผู้ที่ข้าฝากความหวังไว้ ให้นำพาแผ่นดินนี้สู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป” หลี่หยางที่ได้ฟังถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับ ท่ามกลางขุนนางและราชวงศ์ทั้งหมด “เสด็จพ่อ ข้าซาบซึ้งในพระเมตตา แต่ข้ายังเกรงว่าข้าอาจไม่พร้อมสำหรับหน้าที่นี้” ฮ่องเต้ยิ้มบาง “หลี่หยาง เจ้าแสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้าผ่านบททดสอบมากมาย ทั้งการรั
“พระชายาเจ็บครรภ์เพคะ เรียกหมอหลวงด่วน” ความสงบสุขในยามราตรีของตำหนักถูกทำลาย เมื่อเสียงนางกำนัลร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก เพราะหวังหยู่ที่กำลังพักผ่อน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง อาการเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขามั่นใจว่าการคลอดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลี่หยางที่กำลังตรวจราชกิจในห้องทรงงานได้ยินเสียงรีบลุกพรวดทันที เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ววิ่งตรงมายังพระชายาทันที ใบหน้าเปี่ยมด้วยความวิตกกังวลและตื่นเต้น แต่ก็พยายามควบคุมสติให้นิ่งที่สุดเพื่อให้หวังหยู่ไม่เครียด “เกิดอะไรขึ้น อาการของพระชายาเป็นอย่างไร” หลี่หยางถามพลางมองนางกำนัลที่กำลังช่วยพยุงหวังหยู่ไปยังห้องที่เตรียมประสูติ หวังหยู่ที่ทรุดตัวลงบนเตียงหายใจแรง ใบหน้าซีดเซียว แต่ยังคงพยายามส่งยิ้มให้หลี่หยาง "ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่ากังวลไปเลย" “เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะดูแลเจ้าและลูกของเรา” หลี่หยางจับมือหวังหยู่แน่น พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ฮองเฮาทรงเข้ามาช่วยจัดการทุกอย่าง พระนางเรียก.ให้หมอหลวงรีบเร่งเข้ามาเตรียมการ ทุกคนในตำหนักวุ่นวายกันไปหมด ขณะที่หลี่หยางทั้งผุดลุกผุดนั่งสสลับกับเดินวนไปมาอย
“พระชายา ทรงต้องดื่มน้ำแกงนี้จนหมดเพคะ ฮองเฮาทรงกำชับให้ต้องดูแลพระองค์เป็นพิเศษ” เสียงนางกำนัลกล่าวพลางวางถ้วยน้ำแกงลงอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาหวังหยู่ถูกเผยแพร่ออกไป ฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งองค์รัชทายาททรงมีพระบัญชาให้ดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของหวังหยู่ต้องดีที่สุดและปราศจากข้อบกพร่อง ทุกเช้า พระชายาจะได้รับน้ำแกงที่เคี่ยวจากกระดูกปลาชั้นดี ใส่สมุนไพรช่วยบำรุงเลือด ข้าวต้มหอมกรุ่นใส่พุทราจีนช่วยบำรุงกำลัง และผลไม้สดที่ถูกเลือกมาเป็นพิเศษในแต่ละฤดูกาล ขันทีและนางกำนัลถูกจัดส่งมาเพิ่มเติมเพื่อช่วยดูแลทุกเรื่อง ตั้งแต่เตรียมอาหารไปจนถึงการดูแลกิจวัตรประจำวัน ทุกมื้ออาหารของหวังหยู่ถูกคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศ เช่น โสมหายากจากแดนไกล รังนกที่เก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน และสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและคุณประโยชน์ “ข้าต้องการให้พระชายาได้รับของที่ดีที่สุด อย่าให้ขาดสิ่งใดแม้แต่น้อย” ฮองเฮาตรัสขณะตรวจดูเมนูอาหารที่ถวายแด่หวังหยู่ หวังหยู่แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดูแลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เ
ในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่หลี่หยางตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ทันทีที่ลุกจากเตียง ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนล้าจนน่าประหลาดใจ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนโลกหมุนเวียนไปมารอบตัว จนไม่สามารถฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นไปว่าราชการได้อย่างเคยหวังหยู่สังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติของหลี่หยาง เขารู้ทันทีว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง พระชายารีบเข้ามาตรวจดูอาการของหลี่หยางอย่างใกล้ชิดหวังหยู่พยายามใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่เขามีอยู่เพื่อตรวจสอบอาการของหลี่หยาง เขาเริ่มจับชีพจรของหลี่หยางเบื้องต้น ก่อนจะสรุปได้ว่าอาการคลื่นไส้และเวียนหัวนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่เบื้องต้นเขาคิดว่าอาจเป็นผลมาจากความเครียดและการทำงานหนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา“หลี่หยาง ท่านต้องพักผ่อนมากกว่านี้ ข้าคิดว่าอาการของท่านน่านี้เกิดจากความเครียดสะสมและการทำงานหนักเกินไปติดต่อกันหลายวัน ท่านไม่ควรฝืนตัวเองไปว่าราชการในวันนี้ ข้าขอร้อง อย่าฝืนอีกเลย” หวังหยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย หลี่หยางที่ฟังคำแนะนำของหวังหยู่ แม้จะพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้น แต่แรงกายกลับไม่เอื้ออำนวย เขารู้สึกอ่อนล้าจนต้องยอมจำนนรับความจริง เขาพยักหน้าช้า ๆ และนอนลงบน