แม้บรรยากาศในงานแต่งงานจะเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและการเฉลิมฉลอง แต่ลึกลงไปในใจขององค์รัชทายาทหลี่หยาง เขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แม้จะปฏิบัติตามหน้าที่และวางท่าอย่างสง่างามต่อหน้าเหล่าขุนนางและแขกที่ถูกเชิญมาร่วมงาน แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ตั้งแต่แรกที่เขาได้เห็นหวังหยู่ องค์ชายจากแคว้นหลง หลี่หยางก็รู้สึกถึงความเปราะบางในตัวของชายผู้นี้ ใบหน้าที่งดงามและร่างกายที่บอบบางราวกับผู้หญิง ทำให้เขารู้สึกว่าหวังหยู่คงจะไม่เหมาะกับตำแหน่งพระชายาแห่งองค์รัชทายาท ความอ่อนโยนที่แสดงออกมาทำให้หลี่หยางอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจว่า คนเช่นนี้จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะยืนเคียงข้างเขาในฐานะคู่ชีวิตและผู้สนับสนุนทางการเมืองได้จริงหรือ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองจบลง หลี่หยางพาหวังหยู่กลับมายังพระตำหนักของเขาเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่พิธีราตรีสมรสตามธรรมเนียมโบราณ พอพวกเขาอยู่กันเพียงลำพัง ความเงียบสงัดเริ่มเข้าครอบงำบรรยากาศ
หวังหยู่ที่นั่งอยู่บนเตียงหรูที่ปูด้วยผ้าไหมสีแดงเงางาม พยายามจะทำตัวให้ดูผ่อนคลาย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากหลี่หยาง
“องค์รัชทายาท ท่านเหนื่อยหรือไม่” หวังหยู่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและระมัดระวัง
“ไม่หรอก” หลี่หยางตอบสั้น ๆ น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเรียบเฉย ก่อนจะหันหลังไปยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทีที่หลี่หยางแสดงออกมาไม่เพียงแต่ทำให้หวังหยู่รู้สึกแปลกใจ แต่ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกปฏิเสธอย่างเงียบ ๆ
“ข้าเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องของการเมือง ข้ารู้ว่าท่านอาจยังไม่พร้อมยอมรับข้า...” หวังหยู่พูดเบา ๆ พยายามที่จะทำความเข้าใจและแสดงถึงความอดทน
หลี่หยางหันกลับมามองหวังหยู่ด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องนี้ดูซับซ้อน การแต่งงานครั้งนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อรักษาสันติภาพระหว่างแคว้น และเจ้า... ก็แค่บรรณาการเท่านั้น” คำพูดที่แหลมคมของเขาทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งตึงเครียดขึ้น
หวังหยู่ถึงกับชะงัก แม้เขาจะพยายามรักษาความสงบนิ่ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของหลี่หยางนั้นสร้างบาดแผลให้กับจิตใจของเขา ท่ามกลางรอยยิ้มและการปรบมือจากผู้คนในงานแต่งงาน หวังหยู่รู้ดีว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา ที่เบื้องหลังนั้นยังเต็มไปด้วยกำแพงของความไม่ไว้ใจ
“ข้าอาจดูเปราะบางในสายตาของท่าน แต่ข้าหาได้อ่อนแออย่างที่ท่านคิด” หวังหยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงกว่าที่ผ่านมา เขาไม่ต้องการถูกมองข้ามหรือถูกเหยียดหยาม แม้จะเป็นเพียงองค์ชายจากแคว้นเล็ก ๆ แต่เขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง
หลี่หยางเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหวังหยู่ แววตาของเขาแฝงด้วยความท้าทายเล็ก ๆ “งั้นหรือ ข้าหวังว่าเจ้าจะพิสูจน์คำพูดของเจ้าได้” แม้หลี่หยางจะพูดอย่างไม่สนใจ แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงความมุ่งมั่นบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวของหวังหยู่ ซึ่งแตกต่างจากความอ่อนโยนที่เขาเห็นจากภายนอก เขาคิดว่ามันเป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมขององค์ชายผู้อ่อนแอแค่นั้น
หลี่หยางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ เขายังไม่แน่ใจนักว่าหวังหยู่จะสามารถยืนเคียงข้างเขาได้จริง ๆ หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้คือ ความสง่างามที่แฝงอยู่ภายใต้ความเปราะบางของชายผู้นี้อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อน เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหวังหยู่งดงามจริงๆ
“นอนเถอะ คืนนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว” หลี่หยางกล่าวเพียงเท่านั้นเพื่อตัดบทสนทนา ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้หวังหยู่ยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบ
หวังหยู่รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางความเย็นชา แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองให้หลี่หยางเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงบรรณาการที่อ่อนแอ แต่เขามีความสามารถพอที่จะยืนเคียงข้างองค์รัชทายาทผู้แข็งแกร่งคนนี้ได้
หลี่หยางที่เพิ่งกล่าวประโยคสุดท้ายจบก็เตรียมจะก้าวออกจากห้องหอ ใจของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญและหงุดหงิดจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ แต่ทันทีที่เขาหันหลังเพื่อเปิดประตูออกจากห้อง กลับมีข้าราชบริพารที่ยืนขวางอยู่หน้าประตู
“องค์รัชทายาท โปรดอภัยพะยะค่ะ แต่ตามธรรมเนียมโบราณของราชวงศ์ ข้ามีหน้าที่ต้องขอให้องค์รัชทายาทประทับอยู่ในห้องหอจนถึงรุ่งเช้า” ท่านกงกงกล่าวอย่างสุภาพ ขณะที่คุกเข่าลงแสดงความเคารพ
หลี่หยางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “ประเพณีหรือ” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นชาและอึดอัดใจ แม้เขาจะเป็นผู้ที่เคารพธรรมเนียมราชวงศ์ แต่ในคืนนี้ ความอดทนของเขาดูเหมือนจะถึงขีดจำกัด
หวังหยู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นท่าทีของหลี่หยางแล้วรีบเข้ามาหมายจะช่วยเกลี้ยกล่อม “องค์รัชทายาท ตามธรรมเนียมโบราณจริง ๆ แล้ว การอยู่ในห้องหอจนถึงรุ่งเช้าถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตคู่ ข้าว่าพวกเรา….”
ก่อนที่หวังหยู่จะพูดจบ หลี่หยางที่ยังคงโมโหอยู่กลับไม่ฟังคำอธิบายของเขา เขายกมือขึ้นโดยไม่คิดอะไร และผลักหวังหยู่ออกไปอย่างไม่ทันได้ระวังตัว
“ข้าไม่ต้องการฟังอีกแล้ว!”
แต่แรงผลักที่เต็มไปด้วยความโกรธและหงุดหงิดนั้นมากเกินไป หวังหยู่ที่บอบบางอ่อนแอและไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำนี้ เซถลาหงายหลัง ศีรษะของเขาชนเข้ากับเสาไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหลังอย่างจัง
โครม!
ดังสะท้อนในห้องหอ ก่อนที่ร่างของหวังหยู่จะร่วงลงกับพื้นอย่างไม่มีสติ
“หวังหยู่!” หลี่หยางร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความหวาดหวั่นในทันที เขารีบพุ่งตัวไปยังร่างของหวังหยู่ที่นอนแน่นิ่งไร้สติอยู่กับพื้น เลือดซึมออกมาจากบริเวณศีรษะ ทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
ท่านกงกงและองค์รักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูเองก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ รีบวิ่งเข้ามาดูพระชายาที่หมดสติ
“ไท่อี ไปเรียกจินไท่อีมาเร็ว!" เสียงหชท่านกงกงเสียงร้องตะโกนดังขึ้นทั่วทั้งตำหนักสั่งองค์รักษ์ ให้ไปเรียก ไท่อีหรือหมอหลวงมาดูอาการพระชายา
หลี่หยางอุ้มช้อนร่างไร้สติของหวังหยู่ไปวางไว้บนเตียงนอน ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆเพื่อเฝ้าดูอาการ ใบหน้าที่เคยมั่นคงและเยือกเย็นกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคาดคิดว่าการผลักเบา ๆ ของเขาจะส่งผลรุนแรงเช่นนี้
ไม่นานนัก ไท่อี หมอหลวงประจำราชสำนักก็เร่งรีบมาถึง จินไท่อีรีบและวินิจฉัยอาการอย่างรวดเร็ว
“องค์พระชายาได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ข้าจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด” หมอหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะรีบสั่งให้อี๋เซิงผู้ช่วยนำพระชายาหวังหยู่ไปยังไท่อีหย่วน ซึ่งเป็นสำนักหมอหลวง แต่หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องพระชายาเขาจึงเป็นคนที่อุ้มหวังหยู่ไปที่ไท่อีหย่วนเอง
หลี่หยางได้แต่ยืนมองหมอหลวงดูอาการของหวังหยู่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายหวังหยู่ แต่ความโกรธที่ไม่ได้ควบคุมทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด ตอนนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาคือความหวาดกลัวว่าเขาอาจจะทำให้หวังหยู่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
“ข้า... ข้าไม่ควรทำแบบนั้น” หลี่หยางพึมพำเบา ๆ ขณะมองร่างของหวังหยู่ที่ยังไม่ได้สติ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ และเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจลบเลือนได้
วันหนึ่งในขณะที่หลี่หยางและหวังหยู่อยู่ด้วยกันในสวน ทั้งคู่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย หลี่หยางคอยดูแลหวังหยู่อย่างใกล้ชิด หวังหยู่กล่าวขึ้นด้วยความอบอุ่นในใจ “ข้ารู้ว่าการที่ท่านปฏิเสธการมีสนมทุกคนที่เข้ามา ข้ารู้สึกขอบคุณที่ท่านยังคงยืนหยัดในความรักเดียวใจเดียวที่มีต่อข้า ท่านทำให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีค่าสำหรับท่าน” หลี่หยางยิ้มก่อนที่จะดึงหวังหยู่เข้ามาในอ้อมกอด “ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ข้ารักเจ้าเพราะเจ้าคือคนที่ข้าต้องการเพียงคนเดียว ไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่สามารถแทนที่เจ้าได้” คำพูดหวานซึ้งของหลี่หยางทำเอาหวังหยู่ถึงกับเขินอาย หลี่หยางมองหน้าฮองเฮาด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความรัก “เจ้าช่างอายได้อย่างน่ารัก ยามอยู่ในสวนเจ้าสวยกว่าดอกไม้พวกนี้เสียอีก ข้าอยากให้เรามีเวลามากขึ้นเช่นนี้ทุกวัน และที่สำคัญข้าอยากพาเจ้ามาชมสวนตอนกลางคืนจังเลย อ๊าาา แค่คิดดาบของข้าก็รู้สึกแข็งตัวพร้อมรบแล้ว” หวังหยู่ที่กำลังมองดอกไม้หันกลับมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม เขาหัวเราะเบา ๆ ให้กับคำพูดของพระสวามี “ท่านก็รู้ว่าข้าเขินเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ท่านชอบแกล้งข้าอยู่เรื่อย คนหื่น”
หลังจากที่ทุกอย่างในราชสำนักเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบสุขและฮ่องเต้หลี่หยางกับฮองเฮาหวังหยู่มีความสุขกับการเลี้ยงดูพระโอรสน้อย ความท้าทายใหม่ก็เกิดขึ้นในราชสำนัก เมื่อวันหนึ่งมีขุนนางท่านหนึ่งนำธิดาของตัวเองเข้ามาถวายตัวให้กับฮ่องเต้ ด้วยความหวังจะได้เข้าไปเป็นสนมในราชสำนัก การถวายตัวในครั้งนี้สร้างความอึดอัดใจให้กับหลี่หยางเป็นอย่างมาก เพราะแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขามีหวังหยู่เป็นที่รักเพียงคนเดียว และไม่เคยต้องการสนมเพิ่มเติมเลย เขารู้สึกไม่สบายใจที่มีคนเข้ามาถวายตัวเช่นนี้ แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมในราชสำนัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างตรงไปตรงมา ในท้องพระโรงขณะที่ขุนนางผู้ได้ทูลเสนอให้ธิดาของเขาเข้าถวายตัวเป็นสนม หลี่หยางรู้สึกอึดอัดแต่พยายามรักษาท่าทีที่สง่างาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “ข้าขอบใจในความหวังดีของเจ้า แต่ข้ามีฮองเฮาที่คอยเคียงข้างกายและร่วมสร้างอนาคตกับข้าอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะรับสนมเพิ่มอีกในตอนนี้” แต่ข่าวการถวายตัวของธิดาขุนนางก็มาถึงหูของหวังหยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อหวังหยู่ได้ยินข่าวนี้ เขาไม่อาจซ่อนความรู้สึกไม่พอใจได้ แม้จะรู้ว่าหลี่หยางรักและภักดีต่อเขา แต่การท
เช้าวันหนึ่งในท้องพระโรงใหญ่ ฮ่องเต้ประทับบนราชบัลลังก์ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความสง่างาม แต่หากสังเกตลึกลงไป จะเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ฉายชัดในพระเนตร ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่นั่งเรียงรายตามลำดับขั้น “วันนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศแก่ทุกคน” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะวางมือจากภาระอันใหญ่หลวงนี้ และส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้ที่คู่ควร เพื่อให้แผ่นดินนี้มีผู้นำรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่ขุนนาง ฮองเฮาที่ยืนเคียงข้างมองไปยังหลี่หยาง ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งขององค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทหลี่หยาง ข้าตัดสินใจแล้วที่จะสละราชบัลลังก์ให้เจ้า เจ้าจงขึ้นครองราชย์ในฐานะฮ่องเต้คนต่อไป เจ้าคือผู้ที่ข้าฝากความหวังไว้ ให้นำพาแผ่นดินนี้สู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป” หลี่หยางที่ได้ฟังถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับ ท่ามกลางขุนนางและราชวงศ์ทั้งหมด “เสด็จพ่อ ข้าซาบซึ้งในพระเมตตา แต่ข้ายังเกรงว่าข้าอาจไม่พร้อมสำหรับหน้าที่นี้” ฮ่องเต้ยิ้มบาง “หลี่หยาง เจ้าแสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้าผ่านบททดสอบมากมาย ทั้งการรั
“พระชายาเจ็บครรภ์เพคะ เรียกหมอหลวงด่วน” ความสงบสุขในยามราตรีของตำหนักถูกทำลาย เมื่อเสียงนางกำนัลร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก เพราะหวังหยู่ที่กำลังพักผ่อน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง อาการเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขามั่นใจว่าการคลอดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลี่หยางที่กำลังตรวจราชกิจในห้องทรงงานได้ยินเสียงรีบลุกพรวดทันที เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ววิ่งตรงมายังพระชายาทันที ใบหน้าเปี่ยมด้วยความวิตกกังวลและตื่นเต้น แต่ก็พยายามควบคุมสติให้นิ่งที่สุดเพื่อให้หวังหยู่ไม่เครียด “เกิดอะไรขึ้น อาการของพระชายาเป็นอย่างไร” หลี่หยางถามพลางมองนางกำนัลที่กำลังช่วยพยุงหวังหยู่ไปยังห้องที่เตรียมประสูติ หวังหยู่ที่ทรุดตัวลงบนเตียงหายใจแรง ใบหน้าซีดเซียว แต่ยังคงพยายามส่งยิ้มให้หลี่หยาง "ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่ากังวลไปเลย" “เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะดูแลเจ้าและลูกของเรา” หลี่หยางจับมือหวังหยู่แน่น พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ฮองเฮาทรงเข้ามาช่วยจัดการทุกอย่าง พระนางเรียก.ให้หมอหลวงรีบเร่งเข้ามาเตรียมการ ทุกคนในตำหนักวุ่นวายกันไปหมด ขณะที่หลี่หยางทั้งผุดลุกผุดนั่งสสลับกับเดินวนไปมาอย
“พระชายา ทรงต้องดื่มน้ำแกงนี้จนหมดเพคะ ฮองเฮาทรงกำชับให้ต้องดูแลพระองค์เป็นพิเศษ” เสียงนางกำนัลกล่าวพลางวางถ้วยน้ำแกงลงอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาหวังหยู่ถูกเผยแพร่ออกไป ฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งองค์รัชทายาททรงมีพระบัญชาให้ดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของหวังหยู่ต้องดีที่สุดและปราศจากข้อบกพร่อง ทุกเช้า พระชายาจะได้รับน้ำแกงที่เคี่ยวจากกระดูกปลาชั้นดี ใส่สมุนไพรช่วยบำรุงเลือด ข้าวต้มหอมกรุ่นใส่พุทราจีนช่วยบำรุงกำลัง และผลไม้สดที่ถูกเลือกมาเป็นพิเศษในแต่ละฤดูกาล ขันทีและนางกำนัลถูกจัดส่งมาเพิ่มเติมเพื่อช่วยดูแลทุกเรื่อง ตั้งแต่เตรียมอาหารไปจนถึงการดูแลกิจวัตรประจำวัน ทุกมื้ออาหารของหวังหยู่ถูกคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศ เช่น โสมหายากจากแดนไกล รังนกที่เก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน และสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและคุณประโยชน์ “ข้าต้องการให้พระชายาได้รับของที่ดีที่สุด อย่าให้ขาดสิ่งใดแม้แต่น้อย” ฮองเฮาตรัสขณะตรวจดูเมนูอาหารที่ถวายแด่หวังหยู่ หวังหยู่แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดูแลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เ
ในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่หลี่หยางตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ทันทีที่ลุกจากเตียง ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนล้าจนน่าประหลาดใจ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนโลกหมุนเวียนไปมารอบตัว จนไม่สามารถฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นไปว่าราชการได้อย่างเคยหวังหยู่สังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติของหลี่หยาง เขารู้ทันทีว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง พระชายารีบเข้ามาตรวจดูอาการของหลี่หยางอย่างใกล้ชิดหวังหยู่พยายามใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่เขามีอยู่เพื่อตรวจสอบอาการของหลี่หยาง เขาเริ่มจับชีพจรของหลี่หยางเบื้องต้น ก่อนจะสรุปได้ว่าอาการคลื่นไส้และเวียนหัวนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่เบื้องต้นเขาคิดว่าอาจเป็นผลมาจากความเครียดและการทำงานหนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา“หลี่หยาง ท่านต้องพักผ่อนมากกว่านี้ ข้าคิดว่าอาการของท่านน่านี้เกิดจากความเครียดสะสมและการทำงานหนักเกินไปติดต่อกันหลายวัน ท่านไม่ควรฝืนตัวเองไปว่าราชการในวันนี้ ข้าขอร้อง อย่าฝืนอีกเลย” หวังหยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย หลี่หยางที่ฟังคำแนะนำของหวังหยู่ แม้จะพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้น แต่แรงกายกลับไม่เอื้ออำนวย เขารู้สึกอ่อนล้าจนต้องยอมจำนนรับความจริง เขาพยักหน้าช้า ๆ และนอนลงบน