เด็กหญิงยิ้มหวานอย่างไม่คิดอะไรให้พี่รองและเซียวอวิ๋นหังที่ห่วงกังวล แล้วพาพวกเขาออกไปจากตรงนั้น
“แล้วเราจะไปที่ใด” เซียวสือรุ่นไพล่ตามเปี่ยนบรรยากาศ “ท่านเคยสำรวจที่ใดมาแล้วบ้าง” เซียวสือรุ่ยพออกทำท่าทางภาคภูมิใจ “ใคร่ควรถามว่าที่ใดที่พวกข้ายังไม่ได้ไปบ้างจะดีกว่า” “แต่ท่านก็ไม่เจอสิ่งใดไม่ใช่หรือ” เหมยลี่อิงกล่าวไม่เกรงใจ ทำเอาไหล่ที่ยกสูงของคุณชายน้อยชุดเขียวห่อเหี่ยวลง ศาลบรรพชนแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีตอย่างแท้จริง พื้นที่กว้างขวางโอ่โถงปลอดโปล่ง แต่คงไว้ซึ่งความสง่างามเคร่งขรึม เคยมีคนกล่าวว่าหากอยากรู้ว่าตระกูลนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงใด ให้ดูที่ศาลบรรพชนของตระกูลนั้น คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง เพราะยิ่งตระกูลมีประวัติยาวนานและมีความมั่งคั่งมากเท่าใด ยิ่งให้ความสำคัญกับสถานที่หลังความตายของตนมากเท่านั้น ทั้งคนรุ่นหลังยังต้องขอบคุณบรรพบุรุษที่มอบรากฐานอันยาวนานเหล่านี้ให้ สถานที่ตั้งศาลบรรพชนที่ดีต้องมีกี่อย่าง หนึ่งคือต้องมีที่ให้ลมผ่าน สองคือมีที่ให้ธารน้ำไหล ตามนิมิตของพี่รองที่นางเห็นคืออีกฝ่ายไปตามหาเพื่อนที่ขี้ขลาดและหายไปจนพบสะหายอยู่ใต้สะพานระหว่างกำลังหัวเสียก่อนด่าก็พลาดท่าถูกดูดเข้าไปในแดนลับของบรรพบุรุษ “หรือก็คือในอาคารท่านล้วนหามาหมดแล้ว?” ก้อนแป้งเหมยแสร้งทำเป็นถาม “แน่นอน!” “เช่นนั้นที่กำแพง ในสวน หรือธารน้ำเล่า” “ในสวนเองก็ล้วนหาแล้ว แต่กำแพงกำธารน้ำจะมีอะไร” เซียวสือรุ่ยเอียงคอไม่เข้าใจ ไฉนต้องหาในสถานที่ที่ชัดเจนเช่นนี้ “มีคำกล่าวว่าจุดมืดใต้เงาไฟ ท่านจะลองดูหรือไม่” เซียวสือรุ่ยรู้สึกว่าเหลวไหล แต่ไม่มีประโยคใดจะโต้แย้ง ส่วนเซียวอวิ๋นหังยิ่งไม่มีความเห็นแย้งยิ่งกว่า “เช่นนั้นเจ้าว่าสมควรเริ่มต้นที่ใด” “ไปที่ลำธารกันก่อนเถอะ” ลูกสุนัขสามสำรวจขุดคุ้ยตั้งแต่ท้องธาร จนมาถึงธารน้ำจนถึงไหล่สะพานกระทั่งนภาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแสดจ้า แสงพร่าประกายเหนือผิวน้ำระยับแวววาว สายลมเริ่มเหน็บหนาวขึ้นทุกขณะ “ไม่เห็นจะเจออะไร” เซียวสือรุ่ยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ อันที่จริงเขาเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีอะไรเหลืออยู่ในศาลบรรพบุรุษเหล่านี้เท่าไร ที่พาสหายมาหาส่วนหนึ่งเพื่อทดสอบความกล้าและเล่นสนุกสนานด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถึงอย่างไรถ้าไม่โดนจับได้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ “เอ๊ะ!” เด็กหญิงชุดสีกลีบบัวแสร้งสะดุดล้มลงไป เซียวสือรุ่ยพุ่งตัวเข้าไปรับนางอย่างว่องไว ทันใดฟ้าดินที่เหยียบอยู่ก็พลันพลิกกลับ [ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่สามารถเก็บเกี่ยววาสนาระดับฟ้าเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ โชควาสนาของโฮสต์และเจ้าของวาสนาเพิ่มพูนขึ้น ได้รับคะแนนลิขิตสองร้อยแต้ม] ใบหน้าเล็กอดไม่ได้ที่จะยิ้มปรี่ด้วยความยินดี ในที่สุดนางสามารถเก็บเกี่ยววาสนาแรกได้สำเร็จ! [ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่สามารถเก็บเกี่ยววาสนาระดับฟ้าเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ โชควาสนาของโฮสต์และเจ้าของวาสนาเพิ่มพูนขึ้น ได้รับคะแนนลิขิตสองร้อยแต้ม] ใบหน้าเล็กอดไม่ได้ที่จะยิ้มปรี่ด้วยความยินดี ในที่สุดนางสามารถเก็บเกี่ยววาสนาแรกได้สำเร็จ มิติลับเหมือนโถงสูงทรงโดมไม่เห็นพื้นฟ้า อากาศกลับอวลไปด้วยละอองปราณบริสุทธิ์สดชื่น พื้นประดาด้วยหินปราณเปล่งประกายหรูหรา ฝาผนังสีฟากกลับเต็มไปด้วยอักษรที่ไม่อาจเข้าใจได้ อักษรเหล่านี้หมายความอย่างไร? ไม่มีผู้ใดในเด็กเล็กสามคนจะทราบได้ มีหนึ่งในนั้นจะเป็นเด็กในคราบผู้ใหญ่ก็ตามที แสงปราณสีขาวเจิดจ้า พร่ามัวเป็นเงาร่างที่กลางห้อง เผยให้เห็นกระต่ายน้อยตัวหนึ่งเอียงคอพวกพวกเขาอย่างสงสัย เด็กทั้งสามพร้อมใจกันมองไปที่กระต่ายเป็นตาเดียว “...กระต่าย” เซียวสือรุ่ยมองเจ้าสัตว์ขนฟูด้วยสายตาเป็นประกาย ทำเอาเหมยลี่อิงแทบเอาเท้ากายหน้าผาก เหมลลี่อิง “......” เซียวอวิ๋นหัง “.....” พี่ชายคนรองผู้ไร้เทียมทานของนางแท้จริงแล้วเขามีจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ ก็คือแพ้ของน่ารัก ผู้อื่นอาจคิดว่าสิ่งเหล่านี้นับเป็นความจุดอ่อนได้อย่างไร เวลาล่ามารปราบปีศาจยิ่งร่างเดิมของมันน่ารักเท่าไร เขายิ่งทำใจสังหารไม่ได้เท่านั้น โชคไม่ดีที่จุดอ่อนอันไม่ควรจะมีผู้ใดรู้ได้ กลับถูกล่วงรู้ไปถึงหูคู่หมั้นใจคดผู้นั้นทำให้เกิดโศกฐกรรมตามมาในภายหลัง คนที่เขาพลาดพลั้งเสนอจุดอ่อนให้กลับเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่๑ที่เขาเชื่อใจมากที่สุด ในนิมิตที่นางเห็นครานี้ก็เช่นกัน เพราะพี่รองท่านความน่ารักของสัตว์ปราณผู้พิทักษ์ไม่ได้จึงเผลอล่วงเกินอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลให้กว่าจะผ่านด่านทดสอบของศาลบรรพบุรุษแห่งนี้ไปได้ก็สะบักสะบอม นางรีบรั้งชายชุดเขียวของพี่ชายที่หมายจะเข้าไปลูบหัวกระต่ายเอาไว้ “ท่านสังเกตหรือไม่ ว่านั่นไม่ใช่กระต่ายธรรมดา” “ยัยหนูน้อยที่เฉลียวฉลาด” ปากเล็กของกระต่ายตัวที่ว่าหุบอ้ามาเสียงรอดออกมาเป็นสำเนียงแปร่งๆ “โอ้ๆ มันคือกระต่ายพูดได้!” เจ้าพี่โง่ ที่ใช่สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจหรือไม่ เหมยลี่อิงแทบกลอกตา ดูเหมือนกว่าพี่ชายในวัยเยาว์จะพ่ายแพ้แก่สัตว์ขนปุยกว่าตัวเขาในวัยผู้ใหญ่มาก ส่วนเซียวอวิ๋นหังทั้งไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจ สำหรับเขานอกจากอาหารและเด็กหญิงสิ่งอื่นก็ไม่ได้น่าพิสมัย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นเพียงกระต่ายตัวหนึ่ง “มันคือสัตว์ปราณ กระต่ายปราณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วที่นี่คือที่ไหน พวกท่านไม่ควรกังวลเรื่องนี้หรือไร!?” เหมยลี่อิงแทบคลั่งใจตาย “ใช่ ถูกต้องพวกเจ้าไม่ควรกังวลเรื่องพวกนี้หรือไร” กระต่ายปราณมองเด็กทั้งสามด้วยความสับสน นอกจากเด็กหญิงแล้วเด็กชายสองคนดูไม่ค่อยปกติอย่างยิ่ง มันหรี่ตาสีแดงของตนลงมองผ่านป้ายไม้ในอกเสื้อของเด็กหญิงพลางลองคิดดูอีกที เด็กหญิงผู้นี้ก็ไม่ค่อยปกติเช่นกัน! “ที่นี่แน่นอนว่าคือแดนศาลบรรพชนน่ะสิ ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย” เซียวสือรุ่ยกล่าวอย่างมั่นใจ แต่กลับถูกเหมยลี่อิงมองด้วยสายตาราวกับกำลังมองคนโง่ ดังนั้นเจ้าจึงประพฤติตนอย่างไม่ระวัดระวังอะไรทั้งที่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนเนี่ยนะ! “อ่ะแฮ่ม!” กระต่ายขนฟูสีขาวไออย่างจงใจ “เมื่อพวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือที่ใด ตัวข้าผู้อาวุโสก็จะอธิบายเพิ่มให้ ที่นี่ก็แดนลับตระกูลเซียวที่เอาไว้ทดสอบคนรุ่นหลังที่มีคุณสมบัติ!” “ว้าว” นางรู้สึกเหมือนกำลังมองเห็น npc เหล่านั้นในโลกจำลองเลย มีเพียงเหมยลี่อิงอุทานใส่ เซียวอวิ๋นหังทำหน้าตาย ส่วนเซียวสือรุ่ยก็เอาแต่มองเจ้ากระต่ายด้วยสายตาเป็นประกายไม่จะด้วยความหมายใดก็ตาม ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่นางเหมือนเห็นเจ้ากระต่ายส่งสายตาขอบคุณให้ แม้ไม่รู้ว่ามันขอบคุณเรื่องอะไรก็เถอะ “.....” เพ่ย! เจ้าลูกกระต่ายพวกนี้ เจ้ากระต่ายเริ่มโมโหในใจ แต่เบื้องหน้ากลับยิ้มแล้วกล่าวต่อไป “แม้จะมีหนึ่งคนที่ไม่มีสายเลือดสกุลเซียวเข้ามาในรอบหลายร้อยปี ทว่าข้าอนุโลมให้” เซียวสือรุ่ยมองเซียวอวิ๋นหังด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย นี่มีก็มีความลับชาติกำเนิดอีกคนหนึ่ง เห็นทีข่าวลือเรื่องผู้อาวุโสท่านนั้นของสายสี่จะเป็นจริงหรือนี่ เหมยลี่อิงและเซียวอวิ๋นหังไม่ได้ตกใจอะไร ผู้หนึ่งเพราะรู้อยู่แล้ว อีกผู้หนึ่งพูดตรงๆ ก็คือไม่ใส่ใจ “แล้วทดสอบอย่างไร? มีรางวัลให้หรือไม่” เด็กหญิงรีบเปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็นในทันใด ผมเปียเล็กๆ ที่ม้วนเหนือศีรษะขยับไปมาอย่างน่ารัก “รางวัล? แน่นอน เราเหล่าผู้อาวุโสไหนเลยจะแล้งน้ำใจกับเด็กเล็กๆ เยี่ยงพวกเจ้าได้ แต่บททดสอบเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปตามแต่พวกเจ้าจะเลือกสรร” ผู้อาวุโสขนปุยยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่น่าไว้วางใจบันไดศิลาดำทอดยาวเป็นวงเวียนจรดฟ้า กลางนภาสีครามสว่างเจิดจ้า ฟ้าเหนือศีรษะเป็นหมู่เมฆและดวงตะวัน หันหน้าลงมาเพียงเงาลานหินสีดำและผู้คุ้มสอบที่สีหน้าเย็นชา“ผู้เข้าสอบซ่งหลิงหลิงตกรอบ” ฟ่งปิงเยว่ประกาศ ศิษย์สายนอกสวมเครื่องแบบสีเขียวมรกตดิ้นเงินขึ้นไปรับตัวเด็กหญิงที่ไร้เรี่ยวแรงลงมาด้วยความเร็วแทบเป็นภาพติดตานี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแม้แต่ศิษย์สายนอกของสำนักแพทย์เขาปุบผาก็ยังมีพลังจิตสำนึกในระดับน่าตระหนกผู้รอบการทดสอบเห็นดังนั้นก็พยายามรุดหน้าต่อไป เพราะขอเพียงพวกหยุดช้าเพียงยี่สิบลมหายใจ สายตาอันแหลมคมของผู้คุมสอบก็จะจับจ้องไปยังพวกเขาในทันใด หากมีวี่แววว่าเจ้าจะไปต่อไม่ไหว สุ้มเสียงไร้น้ำใจไมตรีก็ประกาศว่าเจ้าตกรอบทันทีเด็กชายที่อยู่ข้างคนที่เพิ่งประกาศตกรอบไปถึงกับเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุกชี้ชัน กัดฟันเดินต่อแทบไม่คิดชีวิตเสียงสายลมกระพือพัดชายผ้าดุจท้องฟ้าคำรามหวีดวิวอยู่ข้างหู เหมยลี่อิงยังคงก้าวขึ้นบันไดดำอย่างใจเย็น สีดำทะมึนใต้ฟ้าเท้าราวกับมีชีวิตชีวายื่นมือออกมาดึงรั้งขายิ่งกว่าตะกั่วหนัก ช่างเป็นจิตสำนึกนึกอันทรงพลังอะไรเช่นนี้ขั้นที่ห้าสิบ เด็กหญิงยังเดินรุดหน้าด้วยท่าทาง
“เหอะ หากข้าไม่ขอโทษแล้วอย่างไร พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” สวี่อวี้หลันยังคงเย่อหยิ่ง เรื่องอันใดต้องให้นางไปขอโทษคนไม่หัวนอนปลายเท้าจินเกอพ่นลมหายใจคราหนึ่ง เดินผ่านนางเข้าห้องไปเลือกเตียงที่อยู่หัวมุม“พวกเราก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติสันดานเจ้ากระมัง”“เจ้า !!”“อวี้หลัน!! เจ้าพอได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน”สุดท้ายแล้วกลับเป็นสวี่ฟางเฟยที่เกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างอดทนพลางขอโทษสหายร่วมห้องแทน คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แม้แต่หลินรั่วอีก็ไม่รับคำขอโทษนั้น มีเพียงเหมยลี่อิงที่มองพวกนางสองพี่น้องอย่างมีความหมายสวี่ฟางเฟยได้แต่ยิ้มเจื่อน นางเองก็อับจนปัญญากระทั่งเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนมาถึงบรรยากาศที่อึดอัดระหว่างพวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงรุ่งสางอาทิตยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า รัตติกาลกำลังจะจางหาย แสงรำไรเพียงมองเห็นปลายฝ่ามือได้รางๆ ปรางแก้มสีชมพูอิ่มนิ่มนวลคลอเคลียเกศางาม อารามสาวน้อยกอดจิ้งจอกสีขาวขนฟูหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนางวางค่ายกลป้องกันไว้รอบเตียง จึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจจินเกอที่นอนอยู่เตียงข้างกันพลันลืมตาโผล่ เอื้อมมือคว้ามีดพกในอกเสื้อทันใด ประตูไม้ในเรือนนอนพวกนางเปิดออกโดยไร้ผ
แสงตะวันพลบค่ำอัสดงสีส้มนวลสว่างฉาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นผ้าไหมทองเข้มผืนหนึ่ง เหมยลี่อิงไม่ได้มีเวลาในรำพึงในใจนานนัก รองเท้าปักเดินก้าวตามขบวนคุ้มกันเข้าสู้สำนักในที่สุดพวกนางเดินตามสันเขาชมเมฆา ม่านหมอกเมฆหนาทึบลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง กิ่งพัดใบไม่ไหวตามสายลมดังเคล้า เหล่าภมรปราณเริงร่าชมแนวผกาทอดทิวเขา ราวเหล่าภูติกระซิบสำเนียงแห่งพงไพร หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเด็กหญิงก็ค่อยๆ เบาลง “เจ้าเป็นอะไรไป” จิงซิงเฉินถามเมื่อเห็นนางเหม่อลอย เหมยลี่อิงส่ายหน้าหยิบองหญิงจิ้งจอกหน่อยสีขาวฟูออกมาจากถุงเลี้ยงสัตว์ โม่เสวี่ยงัวเงียอยู่ในอ้อมแขนนางพลางหาวหวาดแม้แต่ตายังไม่ลืม “นั่นสัตว์สัญญาของเจ้าหรือ สายเลือดไม่เลวเลย แต่เจ้าต้องระวังการทดสอบไม่อนุญาติให้ใช้สัตว์ปราณช่วยเหลือเจ้าสามารฝากไว้ที่โถงสำนักระหว่างการสอบได้” ศิษย์หญิงที่เป็นผู้นำขบวนมากล่าวกับนางเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉยผู้ไม่สนิทย่อมฟังไม่ออกถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ชาติที่แล้วนางคบหากับศิษย์พี่หญิงจางผิงจูมาหลายปีไหนเลยจะไม่ออก เหมยลี่อิงคลี่ยิ้มจนตาปิด เด็กหญิงนัยน์ตาดอกท้อใสกระจ่าง เรื่องหน้าจิ้มลิ้มม
เสียงกระบี่ฟาดฟันไล่ล่า คลื่นพลังปราณประทุเดือดพล่านทำลายป่าไม้ล้มระเนระนาด เหมยลี่อิงกับจิงซิงเฉินเห็นผู้ถูกไล่ล่าก็ม่านตาหดแคบ เป็นหลงเทียนสือผู้นั้นที่เคยมีปากเสียงกันที่โรงเตี๊ยมตงฟู ยามนี้ที่เด็กชายที่จมูกชี้ฟ้าสง่างามยิ่งผยองกลับไม่หลงเหลือความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีของเขาในยามนี้ล้วนขาดวิ่นเนื้อตัวเต็มไปตัวบาดแผลฉกรร บางตำแหน่งลึกแทบเห็นกระดูก หากไม่ได้ผู้คุ้มกันทั้งสองสละชีวิตรั้งศัตรูไว้ตัวเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เด็กผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหนีการไล่ล่ามา เมื่อพวกจิงซิงเฉินในแววตาก็ปรากฎแววโล่งใจ แคว้นหลงกับแคว้นจินอยู่ข้างเคียงกัน ราชวงศ์ของพวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดี ถึงขึ้นมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายรุ่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จิงซิงเฉินไม่อาจปล่อยให้เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือ หลงเทียนสือแม้หยิ่งผยองแต่ไม่ใช่ตัวโง่งม เพียงประสานมือคาราวะพวกเขานัยต์ทอแววอับอายอยู่บ้าง “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนภายหลังอย่างแน่นอน” จิงซิงเฉินลังเลเล็กน้อยหากมีเพียงเขาคนเดียวย่อมลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไร แต่ยามนี้เพื่อนร่วม
ปัง ! กระแทกผนังจนแตกกระจาย ผนังไม่กลับเป็นเพียงรอยขีดข่วน ผู้คุ้มกันทั้งลายออกมาคุ้มกันคุณหนูคุณชายของพวกเขาไว้ตรงกลางป้องกันการโดนลูกหลง เหมยลี่อิงอดพำพึมไม่ได้ “ช่างเป็นพนังไม้ที่แข็งแกร่งสมคำโอ่จริงๆ” “อาศัยสวะเช่นเจ้ากล้าเหิมเกริมกับข้า ช่างไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’สะกดอย่างไร” ดรุณีนางหนึ่งหน้าตาสระสวยสะพายกระบี่เล่มใหญ่ ระเบิดพลังสวะของหนิงม่ายออกมาเต็มที่ พวกเหมยลี่อิงมีผู้คุ้มกัยปิดป้องย่อมไม่เป็นไร เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ล้วนหลับไปยังค่ายกลหลังร้านอย่างรู้หน้าที่ มีเพียงรู้ค้าบ้างคนพลังฝีมือต่ำอยู่บ้างทุกลูกหลงกันไปหอมปากหอมคอ ไม่มีใครเข้าไปห้าม ประการแรกเพราะยอกข้าวของในร้านแล้วไม่มีผู้ใดได้รับความเสียหาย นับว่าหญิงสาวนางนั้นควบคุมตนเองได้ดีอยู่บ้าง ประการที่สองผู้ใดจะอยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการแส่เรื่องของผู้อื่น หญิงสาวนางนั้นร่างกายไม่กำยำแต่สังขารแข็งแกร่งยิ่ง ปราบอันธพาลรานถิ่นที่กล่าววาจาแทะโลมนางด้วยหมัดหลุนๆ อีกหมัดตามด้วยอีกหมัด เสียงถูกชกอย่างรุนแรงปานนี้ อันธพาลผู้นั้นโดนอัดไม่กี่ทีก็หลงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ถู
“ข้าจ่ายไปสองจิงสือระดับสามเมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาให้ เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าสี่จิงสือระดับสามเถอะ”หลงเทียนสือแม้มาจากแคว้นไหนแต่ไม่ใช่ตระกูลยอดยุทธไม่มีเหมืองหินผลึกปราณ เขาไหนเลยจะมีจิงสือมากมายปานนั้น ขณะกำลังจะทักท้วงมองเห็นรูปโฉมของคนที่ออกมาจากประตูเสียงก็พลันขากห้วงไป“นี่เจ้ากะจะปล้นชิงกันหร--”“ข้าจ่ายให้เขาราคานี่จริงๆ เมื่อท่านเสนอเพิ่มราคาก็สมควรใจกว้างกว่านี้สักหน่อย”เหมยลี่อิงงามยามนี้สวมผ้าคลุมเพียงครึ่งหน้า เห็นคิวโก่งเรียวดุจใบหลิว แพขนตาเงาหนาดุจม่านฝน นัยต์ตาดอกท้อสวยหวานราวลูกกวางทั้งเย้ายวนทั้งดูไร้เดียงสา เพียงเท่านี้ก็เผยรูปลักษณ์ปานหยาดฟ้ามาดินของนางจนผู้มองอดไม่ได้จะสูดลมหายใจลึกกับการงานห้องนั้นนางหาได้มีปัญหาอันใด เพียงเหมยลี่อิงไม่ชมชอบพฤติการณ์ของคนผู้นี้ฝ่ายหลงเทียนสือผู้ถูกสบประมาท ตัวเขามาจากราชวงศ์แคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง แต่ไหนแต่ไหนก็ไม่เคยไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กหญิงนางนี้กลับกล้าขัดใจเขา แม้เด็กหญิงผู้นั้นจะเป็นสาวงาม แต่ตัวเขาเป็นลูกผู้ชายกลับถูกผู้อื่นหยามว่าใจไม่กว้างพอ เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็กทั้งสองรวามถึงผู้คุ้มกันฝ่ายพวกเขาจ้องมองกันด้วยความเป็นป