มนุษย์เรานั้นช่างน่าประหลาด อะไรที่ตัวเองมีอยู่ ก็มักไม่สนใจ อยากได้ของคนอื่น ของที่เคยทำแล้วทำ ได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดี ก็ไม่พอใจกับผลลัพธ์ของมัน อยากได้ผลสัมฤทธิ์ที่มากกว่านั้น
ชัญญาเองก็เช่นกัน แม้ว่าเอกวัฒน์จะหลงเสน่ห์เธอจนหัวปั่น เขาทำทุกอย่างเพื่อเอาใจเธอ ตั้งแต่...
ซื้อคอนโดหรูใจกลางเมืองเพื่อเป็นรังรักของเขาและเธอ
ทำบัตรเครดิตให้เธอ เพื่อให้เธอใช้ตามสบาย
เวลาว่างก็พาเธอไปเที่ยวต่างประเทศ
ซื้อรถสปอร์ตคันหรูให้เธอ
ชีวิตของชัญญายิ่งสะดวกสบายมากขึ้น ตั้งแต่เธอยอมพลีกายให้เอกวัฒน์เชยชม และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอรู้ว่า เอกวัฒน์และภรรยาห่างเหินเรื่องบนเตียงนานมาก
ทุกครั้งที่เอกวัฒน์มาหาเธอที่คอนโด เธอสั่งอาหารจากภัตราคารหรูมารอเสมอ และหลังจากที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอกวัฒน์ก็ต้องการชัญญาเป็นของหวานหลังมื้ออาหารทุกครั้ง
แต่เธอก็ยังไม่พอใจ เพราะความทะเยอทะยานของเธอคือ ต้องการเป็นที่หนึ่งเท่านั้น แต่...เอกวัฒน์ก็ไม่เคยคิดที่จะหย่ากับภรรยา นั่นทำให้เธอคิดว่า ยาเสน่ห์ที่เธอทำ ฤทธิ์ของมันคงไม่แรงพอ
“นายขา.....” ชัญญาเรียกเสียงหวานจากบนเตียง
“หืม ?”
เอกวัฒน์กำลังยืนผูกเนคไทอยู่หน้ากระจก เหลือบตามองชัญญาที่นอนกึ่งเปลือยอยู่บนเตียงผ่านกระจกเงา
“ญ่า ขอลาพักร้อนซัก 1 อาทิตย์นะคะ”
ชัญญาดึงผ้าห่มมาห่อตัว และลุกขึ้นมาคลอเคลียร์เอกวัฒน์ทางด้านหลัง
“เธอจะไปไหนเหรอ ?”
“รวีชวนญ่าไปดูบ้านพักตากอากาศแถวหัวหินค่ะ เห็นว่าอยากจะซื้อไว้เป็นที่พักผ่อนน่ะ” ชัญญาเอาคางเกยไหล่เอกวัฒน์ และใช้จมูกไซ้ซอกคอของเขา
“อืม...ให้ผมไปด้วยไหม?” เอกวัฒน์เสียวซ่านกับสิ่งที่ชัญญาทำ
“ไม่เป็นไรค่ะ ญ่าไปกับรวีได้” มือของชัญญาเริ่มซุกซน
“ได้สิ แต่..ทำแบบนี้ผมจะไปสายนะ” เอกวัฒน์หันกลับมากอดร่างกึ่งเปลือยเอาไว้
“ช้านิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณเกศน่าจะรอได้” ชัญญากระซิบเสียงกระเส่า
“หึหึ เธอหาเรื่องเองนะ”
เอกวัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะจูบชัญญาอย่างเร่าร้อน ชัญญาตอบรับจูบของเขาอย่างเต็มใจ ร่างกายของเธอร้อนระอุไปด้วยไฟปรารถนา
เอกวัฒน์ช้อนตัวชัญญาขึ้นมา และวางไปที่บนเตียงนอน มือของเขาดึงผ้าห่มออกจากตัวของเธอ เขาจ้องมองร่างกายเปลือยเปล่าของชัญญาอย่างหลงใหล
เขาสัมผัสผิวของเธออย่างอ่อนโยน รู้สึกถึงความเรียบเนียนและอบอุ่น ชัญญาครางเบาๆ ด้วยความรู้สึกสุข
เอกวัฒน์เริ่มจูบเธอตามลำตัว มือของเขาไล่เรี่ยไปทั่วร่างกายของเธอ
“เธอ..ช่างสวยเหลือเกิน” เอกวัฒน์ถอนหายใจ
“นายขา...” ชัญญาเริ่มลูบไล้กล้ามเนื้อของเขาอย่างเร่าร้อน
เอกวัฒน์ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก เขาทาบทับตัวลงบนร่างกายของเธอ เริ่มจูบเธออย่างลึกซึ้ง
ชัญญารู้สึกเหมือนไฟลุกโชนในตัวเธอ เธอต้องการเขา
เอกวัฒน์เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ สัมผัสที่อ่อนโยนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร่าร้อน
ชัญญาครางอย่างมีความสุข เสียงของเธอดังก้องไปทั่วห้อง
เอกวัฒน์เร่งจังหวะเร็วขึ้น ร่างกายของพวกเขารวมเป็นหนึ่ง ชัญญารู้สึกถึงความสุข เอกวัฒน์ก็รู้สึกถึงความเร้าใจที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
พวกเขารักกันอย่างเร่าร้อน ไฟปรารถนาของพวกเขาเผาไหม้ทุกสิ่ง ชั่วครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็ปลดปล่อยความสุขออกมา พวกเขานอนกอดกันอย่างแนบแน่น เหงื่อไหลอาบใบหน้า
ชัญญารู้สึกอิ่มเอมใจ เธอรู้สึกเหมือนเจ้าหญิงในนิยาย
เอกวัฒน์รู้สึกพึงพอใจ เขารู้สึกเหมือนเป็นราชาผู้พิชิต
แต่..ความสุขนี้เป็นเพียงชั่วคราว เสน่ห์มนตร์ดำกำลังหลอกลวงพวกเขา
ความรักที่เกิดขึ้นจากมนตร์ดำจะไม่มีวันยั่งยืน
ในห้องทำงานของญาณวดี
ญาณวดีกำลังเครียด เธอรู้สึกผิดหวัง เธอพยายามทำเสน่ห์ใส่เอกวัฒน์ แต่กลับไม่มีผล เธอทุ่มเททั้งเวลาและเงินทองให้กับอาจารย์ดำ หมอผีที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำเสน่ห์มนตร์ดำ แต่กลับไร้ประโยชน์
“ว่าไง เพื่อน”
“ชัญญา!”
ญาณวดีตกใจที่อยู่ๆ ชัญญาก็เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว
“เป็นอะไรไป ทำหน้ายังกับเห็นผีแน่ะ” ชัญญาหัวเราะคิกคัก แต่สายตาของเธอกลับวาวโรจน์
“ธะ..ธะ..เธอมีอะไร” ญาณวดีหวาดกลัวชัญญาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ไม่มีอะไร ฉันแค่สงสัยว่า....” ชัญญาใช้นิ้วชี้เรียวสวยไล่ไปบนโต๊ะของญาณวดี
“เธอคิดว่า เธอจะแย่งเขาไปจากฉันได้เหรอ?”
ชัญญาเท้ามือบนโต๊ะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ฉันสวยกว่าเธอ เก่งกว่าเธอ และมีเสน่ห์มากกว่าเธอ เธอคิดว่าคุณเอกจะหลงรักเธองั้นเหรอ?”
น้ำเสียงเหยียดหยามนั้นทำให้ญาณวดีโกรธแค้น แต่เธอทำอะไรไม่ได้ เธอรู้ว่าชัญญาพูดความจริง เอกวัฒน์ไม่สนใจเธอเลย ไม่แม้แต่จะชายตามอง
“ฉันไม่อยากเถียงกับเธอ” ญาณวดีพูดเบาๆ
“ฉันหวังว่าคุณเอกวัฒน์จะรักเธอด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพราะเสน่ห์มนตร์ดำ” ญาณวดีแขวะ
“เธอพูดอะไรของเธอ ความจริงใจเหรอ?มันมีอยู่จริงเหรอในโลกใบนี้?” ชัญญาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“สำหรับฉัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ อำนาจ ฉันต้องการควบคุมทุกสิ่งอย่าง” ชัญญามองเหยียด
“นี่เธอ...”
“ความรักมันไม่มีจริงหรอก อย่าโลกสวยนัก”
ชัญญายิ้มเย้ย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป ทิ้งให้ญาณวดีเจ็บใจและเคียดแค้นอยู่คนเดียว
ห้องอาหารของบริษัท
อาคิราและณัฐรินีย์กำลังนั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน ทั้งคู่นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่
“ฉันขอคุยด้วยคนสิ” ญาณวดีถือวิสาสะนั่งลงที่โต๊ะของทั้งคู่
“เฮ้ย อะไรของเธอเนี่ย” ณัฐรินีย์โวยวาย
“มีอะไร?” อาคิรายิงคำถามทันที
“เอ้า ไอ...”
“ฉันอยากให้ช่วย” ณาณวดีรู้สึกอับอายที่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนที่เธอเคยมีเรื่องทะเลาะด้วย
“เรื่องอะไร?”
“คือ...”
ญาณวดีเล่าเรื่องที่สงสัยว่าชัญญาทำเสน่ห์ใส่เอกวัฒน์ให้ทั้งสองคนฟัง
“บ้าไปแล้ว ชัญญาเหรอจะทำเสน่ห์” ณัฐรินีย์แหกปากตะโกน ก่อนจะปิดปากตัวเอง
“เธอแน่ใจเหรอ?” อาคิราย้อนถาม
“ชัญญาพูดเอง”
“แล้วจะให้ช่วยยังไง?”
“หาหลักฐานให้หน่อย” ญาณวดีมองหน้าอาคิราและณัฐรินีย์
“ก็ได้”
“เอ้ย ไอ เอาจริงดิ” ณัฐรินีย์ท้วงเพื่อน
“ถือว่าทำบุญ” อาคิราหันไปบอกเพื่อน
“ขอบคุณนะ”
“แทนที่จะขอบคุณ เธอควรจัดการกับคุณไสยของเธอก่อนเหอะ” อาคิราย้อนทันที
“ฉัน..เปล่านะ”
“อย่าโกหก” อาคิราจ้องเขม็งจนทำให้ญาณวดีรู้สึกเกร็ง
“ได้สิ ฉันจะจัดการ” ญาณวดีดูเซื่องซึม ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“สัญญาด้วยว่าจะไม่ทำอีก”
ญาณวดีชะงักกับคำพูดของอาคิราที่ดังขึ้นมา
“ฉัน...สัญญา” ญาณวดีกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดออกมา และเดินจากไป
“ไอ จะช่วยมันทำไมอะ ก่อนหน้ามันหาเรื่องเธอ กะเอาเธอออกจากบริษัทนะ” ณัฐรินีย์ไม่เข้าใจเพื่อน
“ฉันรู้ แต่ถ้าไม่ช่วย เกิดเค้าเป็นอะไรไป ฉันคงรู้สึกผิด”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ณัฐรินีย์ตาโต
“ก็อาจจะ...”
“โอ้ย เออ ช่างมันๆ ว่าแต่วันนี้หนุ่มหล่อมารับรึเปล่าน่ะ” ณัฐรินีย์เปลี่ยนเรื่องทันที ส่งยิ้มล้อเลียนให้เพื่อน
“นี่แน่ะ” อาคิราดีดหน้าผากเพื่อนตัวดี
“โอ๊ย ฉันพูดเรื่องจริงนี่นา” ณัฐรินีย์คลำหน้าผากป้อยๆ
“มาย่ะ”
“แหม...ตั้งแต่ไปดินเนอร์วันนั้น หนุ่มหล่อก็มารับทุกวันเลยน้า” ณัฐรินีย์หยอกเย้า
“เอ้อ...” อาคิราเผลอยกมือขึ้นแตะเปลือกตา
“เป็นไร เจ็บตาเหรอ?” ณัฐรินีย์งง จ้องหน้าเพื่อน
“ปะ...เปล่าๆ พูดมากจริง” อาคิราหน้าแดงบอกปัดเพื่อน
“อ้าว ไม่สบายหรอ หน้าแดงเชียว”
“ไปทำงานได้แล้วน่ะ” อาคิราแก้เก้อ ลุกขึ้น และรีบเดินไปทางลิฟท์ทันที
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี