ณ อาศรมในป่าลึกแห่งหนึ่ง
กานต์รวีพาชัญญามาหาอาจารย์มั่น เป็นหมอทำคุณไสย เธอรู้จักหมอคุณไสยนี้เป็นการส่วนตัว เพราะเธอเคยขอความช่วยเหลือมาก่อนหน้าแล้ว
เมื่อไปถึงตำหนักอาศรม กานต์รวีก็พาชัญญาเข้าไปพบกับอาจารย์มั่นแบบเป็นการส่วนตัว
“แม่หนู ของดีเต็มตัวเลยนี่” อาจารย์มั่นทักขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าชัญญา
“อาจารย์รู้ดีจังนะคะ” ชัญญายิ้มหวาน
“หึหึ แม่หนู คนที่เจ้าอยากได้ ก็ได้มาแล้ว จะเอาอะไรอีกล่ะ”
“ฉันต้องการกำจัดผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ”
“เธอขวางทางความรักของฉัน” ชัญญาบอกเสียงเรียบ
“ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายนะ” อาจารย์มั่นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ฉันพร้อมจ่ายค่ะ”
“ฮ่าๆ ดี ดี” อาจารย์มั่นหัวเราะเสียงดัง
“ไอ้ดำ เอาของสิ่งนั้นมาซิ”
เมื่ออาจารย์ได้เครื่องรางของขลัง เขาก็เริ่มบริกรรมคาถา เสียงร้องของสัตว์ดังก้องไปทั่วป่า
ชัญญาและกานต์รวีรู้สึกขนลุก แต่พวกเธอก็อดทนรอจนเสร็จพิธีกรรม
“เอ้า แม่หนูมานี่” อาจารย์มั่นกวักมือเรียกชัญญา
“นี่คืออะไรคะ?” ชัญญารับเครื่องรางที่อยู่ในถุงดำมาถือไว้
“มันคือผีพรายชื่อ ริน”
“ถ้าอยากสั่งให้มันทำอะไร ก็ท่องคาถาบทนี้ แล้วก็พูดสั่งการมัน” อาจารย์มั่นส่งบทคาถาให้ชัญญา
“แล้วต้องบูชายังไงคะ”
“ทุกวันโกน เจ้าต้องหาเลือดวัวมาเลี้ยงมัน หยดเลือดหนึ่ง หยด ก็พอ”
“เมื่อเจ้าสมหวังแล้ว ก็ให้นำมาคืนข้า”
“ได้ค่ะ” ชัญญารับคำ
“นี่ค่าตอบแทนค่ะ” กานต์รวีหยิบเงินแสนออกจากกระเป๋าส่งให้อาจารย์มั่น
“แม่หนู จำคำข้าไว้นะ ทุกอย่างมีราคาต้องจ่าย”
“ทราบแล้วค่ะ” ชัญญายิ้มหวาน ก่อนจะก้มลงกราบอาจารย์มั่น และออกจากอาศรมพร้อมกับกานต์รวี
ในขณะเดียวกัน
ณัฐรินีย์และอาคิรากำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่โต๊ะของชัญญา เป็นโชคดีของพวกเธอที่วันนี้ชัญญาลางาน และเอกวัฒน์ติดประชุมกับลูกค้าข้างนอกบริษัท
เนื่องจากทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกับชัญญา คนในออฟฟิศจึงไม่ได้สนใจในสิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำ
“หาไม่เจอเลยอะ”
ณัฐรินีย์แทบจะหมดแรง หลังจากหาอยู่เป็นชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหลักฐานที่ต้องการ
“ถ้าเป็นเธอ เธอจะเก็บของที่อยากซ่อนไว้ตรงไหน” อยู่ๆ อาคิราที่ยืนมองนิ่งๆ ก็ถามณัฐรินีย์ขึ้นมา
“ถ้าเป็นฉันเหรอ...คงเก็บใส่กล่องไม่ให้ใครเจอล่ะมั้ง”
“อืม....ถ้างั้น....”
อาคิราใช้มือลูบไปที่โต๊ะของชัญญา ก่อนจะดึงลิ้นชักด้านล่างออกมาจากโต๊ะ เมื่อก้มลงไปมอง ก็พบกับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่ใต้ลิ้นชักที่ดึงออกมา
“เจอแล้ว” อาคิรายิ้มออกมา
“งั้นก็เผ่นกันเหอะ” ณัฐรินีย์พูด พลางใส่ลิ้นชักกลับเข้าไปที่เดิม จากนั้นทั้งคู่ก็รีบเดินลงไปด้านล่างของตึกทันที
ณ ร้านอาหารริมถนน
“วันนี้เธอไปทำอะไรมา?” กฤตินถามขณะที่อาคิรากำลังจะสั่งอาหาร
“ห๊ะ? อะไรเหรอ?” อาคิราตีมึนไม่ตอบ
“เฉไฉเหรอ?” กฤตินเอื้อมมือไปดึงแก้มข้างนึงของเธอ
“โอ๊ยๆๆ จะแก้มจะยืดแล้ว”
“ว่าไง?” กฤตินยอมปล่อยมือ
“สั่งข้าวก่อนน้า หิวแล้ว” อาคิราโอดครวญ ก่อนจะเรียกพนักงานร้านมาสั่งอาหาร
“เล่ามา”
กฤตินถามเสียงเข้ม ดวงตาคมกริบจ้องมองอาคิราเขม็ง
“เอ้อ....คือ..”
อาคิรายอมเล่าหมดเปลือก ซึ่งบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงยอมเล่าทุกเรื่องให้กฤตินฟัง เขาดูมีพลังบางอย่างที่ดูน่าเกรงขาม และเธอปฏิเสธเขาไม่ได้ซักครั้ง
“เธอนี่น้า”
“โอ๊ยๆๆๆ เจะน้า”
กฤตินโมโห ยื่นมือสองข้างไปดึงแก้มของอาคิรา ก่อนจะปล่อยมือออก เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความระอาใจ
“เธอไม่กลัวโดนจับได้รึไง?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เอาไปคืนไง” อาคิราแก้ตัวเสียงอ่อย
“เอามาดูสิ”
“อะ” อาคิราส่งสมุดบันทึกให้อย่างว่าง่าย
กฤตินรับไปเปิดดูผ่านๆ เขาก็พบว่าในสมุดบันทึกนั้นเต็มไปด้วยสูตรเสน่ห์มนตร์ดำต่างๆ ที่น่าจะหายสาบสูญไปแล้ว
“เฮ้อ เธอไม่ควรยุ่งเรื่องพวกนี้เลยนะ” กฤตินปิดสมุดบันทึกวางไว้ข้างตัว
“มันคืออะไร สูตรทำยาเสน่ห์จริงปะ?” ดวงตาของอาคิราเป็นประกายเต็มไปด้วยความอยากรู้
“ไม่ต้องอยากรู้เลย” กฤตินเอาสมุดบันทึกเคาะศีรษะสาวน้อยจอมซนเบาๆ
“อ้าว”
“ฉันขอเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาให้ แล้วเธอเอาไปคืนที่เดิมซะนะ” กฤตินวางสมุดไว้ข้างตัวไม่คืนให้อาคิรา
“โหย...ขี้โกง กะไว้ดูคนเดียวล่ะสิ” อาคิราบ่นพึมพำเบาๆ
“เดี๋ยวเถอะ ยังไม่สะสางเรื่องที่เธอไปทำมาเลยนะ”
“โอ๊ยยย รู้แล้วๆ” กฤตินบีบจมูก อาคิราแกล้งโอดครวญ
“ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวถึงบ้านดึก อาเธอจะเป็นห่วง”
กฤตินตัดบทง่ายๆ อาคิราได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในลำคอ แต่เธอก็ยอมทานข้าวโดยดี
ณ ห้องสมุดส่วนตัวของกฤติน
กฤตินนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าๆ ในห้องสมุดส่วนตัวของเขา แสงไฟจากโคมตะเกียงโบราณส่องสว่างใบหน้าของเขา ดวงตาของเขากำลังจดจ่อกับสมุดบันทึกโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะ
สมุดบันทึกเล่มนี้ปกคลุมด้วยหนังสีน้ำตาลเก่าๆ ปกปิดด้วยลวดลายทองคำซีดจาง หน้ากระดาษสีเหลืองอมน้ำตาลเต็มไปด้วยอักษรไทยโบราณที่เขียนด้วยหมึกสีดำ กฤตินใช้ปลายนิ้วของเขาค่อยๆ ลูบไล้ตัวอักษรเหล่านั้น
กฤตินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาอ่านสูตรต่างๆ อย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าคุ้นตากับสูตรพวกนี้
กฤตินพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ อ่านสูตรต่างๆ อย่างตั้งใจ เขารู้สึกถึงพลังงานด้านมืดที่แผ่ออกจากสมุดบันทึก รู้สึกถึงความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ภายใน
“เสน่ห์มนตร์ดำ...พลังที่ยิ่งใหญ่..แต่ก็อันตราย..” กฤตินพึมพำกับตัวเอง
กฤตินหันไปหยิบหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์โบราณจากชั้นหนังสือด้านหลังออกมาอ่านอยู่สักครู่ จากนั้นเขาก็เอามือแตะที่หน้าหนึ่งในสมุดบันทึก
กฤตินหลับตาลง พึมพำคาถาอย่างแผ่วเบา พลังงานสีขาวสว่างจ้าเปล่งออกมาจากฝ่ามือของเขาไหลไปรวมกับอักษรไทยโบราณบนหน้ากระดาษ
แสงสว่างค่อยๆ จางลง เมื่อกฤตินลืมตาขึ้น เขามองดูหน้ากระดาษนั้นอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเขา
กฤตินเปลี่ยนแปลงสูตรเสน่ห์มนตร์ดำสำเร็จแล้ว
“ดูท่าทาง...คืนนี้คงยาวนาน..” กฤตินยิ้มกับตัวเอง
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี