“ไม่เป็นไรนะจีน่า เดี๋ยวเข้ามหาวิทยาลัยก็มีคนอีกมากมายมาให้เธอได้เลือก เสียใจได้แต่อย่านาน อีกอย่างคิดเสียว่าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเรา”
จีน่าอยากจะขำออกมาให้กับความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตแบบที่เพื่อนสนิทเข้าใจ แต่ก็ยังดีที่ได้ฟังเพื่อนปลอบออกมาแบบนี้ และถ้าคิดแบบที่แบมบอกแล้วสบายใจ เธอก็จะลองเชื่อดูบ้าง ว่าสักวันคงจะมีคนที่เธอรักและคนคนนั้นก็รักเธอเช่นกัน
“เรด้าฉันพังไปแล้วจริงๆ ฮือๆๆๆ”
เธอเงียบไปเพียงครู่เดียวก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมาอีกครั้ง ความรักครั้งแรกของจีน่าล้มเหลวไม่เป็นท่า และนี่คือสิ่งที่เขากลัว ใครกันที่จะมารักเขาจริง รักเขาจากใจไม่ใช่ที่หน้าตา ฐานะ มันสมอง หรือเพศสภาพ
“โถ่ๆๆ หยุดร้องไห้ได้แล้ว พรุ่งนี้มีสอบอีกนะ ถ้าสอบไม่ผ่าน สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการอกหักของเธอคือปะป๊าตัดเงินค่าขนม อดเอาเงินไปเปย์สาวๆ อีกนะ”
แบม ภูวดลดึงสติเพื่อนให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เหลืออีกไม่กี่วิชาการสอบปลายภาคครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นแล้ว เขายังคงมีความฝัน และเขาต้องทำให้สำเร็จ ถึงแม้จะแลกกับการที่เขาไม่สมหวังในเรื่องของความรักก็ตาม
จีน่าหยุดร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ฟังที่เพื่อนบอก ร่างบางรีบผละออกจากอ้อมกอดที่สาวๆ หลายๆ คนก็ใฝ่ฝัน แต่เธอรู้ดีว่าอ้อมกอดนี้เขาไม่ได้มีไว้สำหรับใคร ถ้าเธอไม่ใช่เพื่อนที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน เธอก็คงจะแตะต้องไม่ได้เช่นกัน
“ขอบใจนะ รอแป๊บ ขออาบน้ำก่อน อยากไปติวหนังสือกับนายด้วย”
หญิงสาวบอกโดยไม่รอฟังคำตอบ ร่างบางรีบวิ่งตัวปลิวเข้าไปในห้องน้ำ แบม ภูวดลส่ายใบหน้าหล่อเหลาของตนไปมาก่อนที่จะเดินไปนั่งเล่นที่มุมอ่านหนังสือในห้องนอนของเพื่อน เสียงน้ำที่ไหลกระทบลงกับพื้นดังอยู่พักใหญ่ และเสียงก็เงียบลงไปอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงจนคนรออ่านหนังสือของเจ้าของห้องจบไปเกือบสามเล่ม
ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…. เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากทางด้านนอก เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูออก ร่างอวบอิ่มของป้าแอนนาซึ่งเป็นมารดาของเพื่อนสนิทยืนส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีครับป้าแอนนา”
แบม ภูวดลยกมือขึ้นไหว้ ตอนที่เขามาถึงบิดาและมารดาของเพื่อนสนิทออกไปข้างนอก นี่สงสัยจะเพิ่งกลับมา
“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ ป้าว่าจะมาถามจีน่าว่าทำไมร้องไห้ เห็นเด็กข้างล่างบอกแบมมา ป้าเลยแวะขึ้นมาดูน่ะ”
เธอรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวอยู่ไม่น้อย ถึงแม้สองหนุ่มสาวจะเติบโตมาด้วยกัน และเธอก็รู้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนสุภาพเรียบร้อย และท่าทางดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่เด็กวัยนี้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะต่างก็โตๆ กันแล้ว
“หม่ามี๊… เดี๋ยวหนูจะไปติวหนังสือที่บ้านแบมค่ะ เมื่อกี้เราคุยเรื่องเรียนกัน หนูรู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำก่อนไปเลยให้แบมรอ” จีน่า เจนจิราที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาหามารดากับเพื่อนสนิทที่ยังคงยืนคุยกันอยู่ที่หน้าห้อง
“อ้อ… อืม จ้ะ… อย่ากลับค่ำนะลูก ถึงจะบ้านใกล้กัน แต่คนอื่นอาจจะมองเราไม่ดี ไปบ้านผู้ชายแล้วกลับค่ำกลับมืด”
จีน่าแทบจะอยากหัวเราะออกมาให้ดังๆ ที่มารดากังวลเรื่องเธอกับเพื่อนสนิทอย่างแบม ภูวดล เขาไม่มีทางที่จะล่วงเกินเธออยู่แล้ว เรื่องนี้เธอรู้ดี
“ค่า…ไม่ต้องห่วงค่ะ ตะวันใกล้ตกดินหนูจะเดินข้ามรั้วบ้านคุณป้ามาเลย”
จีน่า เจนจิราบอกมารดาก่อนที่จะเดินไปหยิบหนังสือแล้วลากแขนเพื่อนสนิทออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาของมารดาที่มองตามเธอไปอย่างห่วงใย
แบม ภูวดลไม่ลืมที่จะหยุดเดินแล้วหันหลังกลับมายกมือไหว้ แอนนารับไหว้แล้วจึงส่งยิ้มให้ ไม่รู้ว่าเธอคิดมากเกินไปหรืออย่างไร เพราะเด็กหนุ่มก็ออกจะสุภาพและแสนดีขนาดนี้ ที่สำคัญสองครอบครัวรู้จักกันดี เขาคงจะไม่ล่วงเกินลูกสาวของเธอให้สองบ้านแตกคอกันแน่นอน
พอไปถึงบ้านปรีชารักษ์ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่บ้านสักคน พี่ชายคนโตอย่างบอม ภูวพลนั้นไปทำงานกับบิดาที่บริษัทยาของครอบครัว ส่วนมารดาอย่างแพทย์หญิง ศิริลักษณ์ก็ไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลยังไม่กลับ พี่สาวคนสวยอย่างบี๋ พิชสินีย์ก็ไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัด
สรุปวันนี้บ้านเงียบมีเพียงแบม ภูดลและจีน่า เจนจิราที่ติวหนังสือกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้านล่างสองคนเท่านั้น ส่วนบริเวณห้องอื่นๆ ก็มีคนรับใช้ที่กำลังทำความสะอาด บ้างก็ทำของว่างมาเสิร์ฟให้คุณหนูเล็กของบ้านกับเพื่อนสนิทสาวน้อยลูกครึ่งข้างบ้าน
“เป็นไง….ดีขึ้นยัง” หลังจากที่ติวเสร็จเขาก็เอ่ยถามเพื่อนสนิทออกมา
“อะไร”
เธอเอ่ยถามกลับขณะที่ปากก็กำลังเคี้ยวขนมไทยที่คนรับใช้นำออกมาเสิร์ฟให้ไม่หยุดปาก แปลกตรงที่จีน่ารับประทานเท่าไหร่เธอก็ไม่อ้วน
“อ้าว… แสดงว่าดีขึ้นแล้ว” แบม ภูวดลเอ่ยออกมาราวกับโล่งใจที่เพื่อนลืมเรื่องที่รักครั้งแรกของเธอจะแต่งงานได้แล้ว
“ใครบอก..แบม… นั่นมันรักครั้งแรกของจีน่านะ ฉันเฝ้ามองพี่เค้ามาตั้งหลายปี แต่วันนี้กลับมี…ผู้ชายคาบไปแดก ฮือๆๆๆ”
เธอระบายออกมาพร้อมกับน้ำตาอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้แบม ภูวดลรู้สึกว่าตนคิดผิด เขาคิดว่าเพื่อนลืมได้ แต่ความจริงแล้วเธอแกล้งที่จะหลงลืมมันไปต่างหาก ความรักที่ไม่ได้รับการรักตอบทำไมมันช่างดูน่าเจ็บปวดแบบนี้กันนะ แล้วเขาล่ะ ถ้ารักใครสักคนจะแอบคาดหวังแบบที่เพื่อนสนิทของเขาเป็นไหม
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาภายในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใจกลางกรุงฯ ภาพของชายหนุ่มร่างสูงที่สวมใส่ชุดกาวน์เดินเคียงข้างกันไปยังโรงอาหารหลังจากการผ่าตัดเคสเมื่อคืนที่ผ่านมา ภูวดลและกาลัญญูนั้นเป็นศัลยแพทย์หัวใจที่ทางอาจารย์หมอและคนป่วยชื่นชม แม้แต่พวกแพทย์และพยาบาลแผนกอื่น ต่างก็แอบชื่นชมสองหนุ่มเช่นกันสำหรับอาจารย์หมอและผู้ป่วยนั้นชื่นชมในความรู้ความสามารถของสองหนุ่ม แต่สำหรับเหล่าแพทย์และพยาบาลแผนกอื่นต่างรู้สึกชื่นชมสองหนุ่มที่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ว่าทั้งสองคนคบหากันอย่างไม่สนใจต่อสายตาคนอื่น และความสัมพันธ์ของทั้งสองหนุ่มนั้นก็น่าชื่นชมมาตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่ยังคงเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่“ศัลยแพทย์หัวใจโรงพยาบาลเรานี่หน้าตาดีกันจริงๆ แต่เสียดายที่คบกันเอง ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเสียโอกาสในการได้แฟนเป็นหมอ”พยาบาลแผนกสูตินรีเวชคุยเล่นกับเพื่อนที่นั่งตรงกันข้าม ในขณะที่สายตาก็มองไปยังสองแพทย์หนุ่มที่เพิ่งจะเดินตามกันไปซื้ออาหาร“เดี๋ยวนี้เรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้แล้วย่ะ ฉันชอบนะ คู่ของหมอแบมกับหมอกราฟน่ะ ทั้งสองเป็นคู่รักที่คอยช่วยเหลือและซัพพอร์ตกันดีมากเลย อีกอย่าง…สองคนนี้คบกันตั้งแต่ยังเรี
ณ ร้านอาหารชื่อดังที่มีพิกัดอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูใจกลางกรุงฯ วันนี้สถานที่แห่งนี้ได้มีโอกาสต้อนรับนักแสดงสาวชื่อดัง ที่เดินทางมารับประทานอาหารกับกลุ่มเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายของเธอ ทางร้านอาหารจึงได้จัดโซนวีไอพี เพื่อความเป็นส่วนตัวให้กับเธอและเพื่อนๆ“ร้านนี้หรูมากเลย วิวก็สวยมากด้วย” คุณหมอพลอยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ที่สำคัญคืออาหารอร่อยด้วย”ภูวดลบอกคุณหมอสาวซึ่งเป็นเพื่อนสาวอีกคนของกลุ่ม ตอนนี้เจนจิรายังคงมาไม่ถึง ทำให้มีแค่เขา กาลัญญูและพลอยเท่านั้น“ถ่ายรูปหน่อยไหมที่รัก” กาลัญญูเอ่ยถามภูวดลออกมา ทำเอาหญิงสาวเพียงคนเดียวถึงกับมองบน เพราะรู้สึกเหม็นความรักที่ไม่เคยจืดจางของเพื่อนทั้งสองคน“อือ... นายก็มาถ่ายด้วยกันสิ” เมื่อได้รับคำเชิญชวน กาลัญญูก็ยิ้มกว้างออกมา“เอามือถือมาสิ เดี๋ยวฉันจะถ่ายให้”คุณหมอสาวบอกคู่รักตรงหน้า มีหรือที่กาลัญญูจะปฏิเสธ ชายหนุ่มรีบส่งสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตนให้กับเพื่อนสาวทันที“หวานกันไม่เปลี่ยนเลยนะ”เสียงหวานที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังของคุณหมอสาว พลอยยืนนิ่งตัวเกร็งเพราะเธอนั้นจำได้ดีว่าเสียงที่เพิ่งได้ยินนี้เป็นเสียงของใ
ห้าปีต่อมาณ สนามบินสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสองคนกำลังเดินลากกระเป๋าเดินออกมาจากทางออกของผู้โดยสารขาเข้า ตลอดทางมีสายตาของสาวๆ ที่จับจ้องมองไปยังชายหนุ่มทั้งสองแทบจะไม่ยอมละสายตา คนที่สูงกว่าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ส่วนคนที่ต่ำกว่าอีกฝ่ายประมาณห้าเซนติเมตรสวมใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อน ผิวของทั้งสองหนุ่มขาวเนียนน่ามอง“เป็นคนรักกันแน่ ๆ เลย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกันกับสองหนุ่มกระซิบบอกเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกัน“ใช่ย่ะ... ตอนอยู่ที่ห้องรับรองของผู้โดยสาร ฉันเห็นผู้ชายตัวสูงๆ น่ะคอยดูแลหนุ่มหล่อคนข้างๆ เป็นอย่างดีจนน่าอิจฉาเลยล่ะ”“น่าอิจฉาเนอะ เดี๋ยวนี้น่ะไม่ว่าจะเพศไหน ถ้ารักกันด้วยใจแล้วมันก็ดูสวยงามเสมอ” เพื่อนข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งสองสาวจะพากันเดินแยกไปอีกทาง เพราะทั้งคู่จอดรถเอาไว้ที่ลานจอดรถของสนามบิน“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยที” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนดังขึ้นที่บริเวณจุดนัดพบ ซึ่งสองหนุ่มเดินไปถึงตรงนั้นพอดี สัญชาตญาณความเป็นหมอทำให้ทั้งสองไม่รอช้า รีบพากันวิ่งเข้าไปดูอาการทันที“ขอโทษครับ ผมเป็นหมอ ให้ผมตรวจดูอาการของผู้ป่วย
ระหว่างทางมักจะมีอุปสรรคเพื่อมาทดสอบชีวิตคนเรามากมาย ภูวดลและกาลัญญูเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ปีนี้เป็นปีที่ทั้งสองหนุ่มได้ออกมาเรียนภาคชั้นคลินิก และต้องแยกกันอยู่คนละโรงพยาบาล ภูวดลได้อยู่ในโรงพยาบาลรัฐใจกลางกรุงฯ ส่วนกาลัญญูนั้นได้ลงไปประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนอกกรุงเทพฯ ดีที่มีเพื่อนสาวในกลุ่มไปด้วยกัน“เวลาพวกพี่สอนให้ฟังและตั้งใจดู ดูสิ...พอถึงเวลาต้องลงมือทำจริงๆ แล้วก็ทำไม่ได้” รุ่นพี่ปีหกบ่นรุ่นน้องปีสี่ออกมา เมื่ออีกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามที่บอก“รุ่นพี่...อย่าดุน้องเลยค่ะ แรกๆ มันก็มีมือสั่นเป็นธรรมดา” รุ่นพี่ปีห้าขัดขึ้นมา แม้จะรู้สึกชินกับการที่พวกรุ่นพี่ชอบตำหนิ เพราะตนก็เคยผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน แต่ก็อดที่จะสงสารรุ่นน้องไม่ได้“แต่ถ้าฟังกันแล้วตั้งใจดูก็จะทำไม่ผิดใช่ไหมล่ะ” รุ่นพี่ปีหกบอกออกมา เพราะที่เขาบ่นก็เพื่อให้รุ่นน้องมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้น และใส่ใจผู้ป่วยให้มากขึ้น“ผมขอโทษครับ ครั้งหน้าผมจะทำให้ดีกว่านี้ครับ”หนุ่มนักศึกษาแพทย์ปีสี่ขอโทษรุ่นพี่ออกมา สีหน้าของเขาก็สลดลง ภูวดลยกมือขึ้นไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่ภูวดลก็ใจดีกับเพื่อนในคณะเสม
“มะ…ไม่นะ พะ…พี่ไม่ได้ลืม” เสียงทุ้มร้องดังออกมาทั้งๆ ที่เปลือกตายังคงปิดอยู่ เม็ดเหงื่อผุดออกมาตามไรผมและหน้าผาก จนคนที่กำลังหลับสนิทอยู่สะดุ้งตื่น“ที่รัก…เป็นอะไรไปหืม…” กาลัญญูรีบปลุกคนข้างกายพร้อมกับเอ่ยถามออกมา ใบหน้าของภูวดลชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายก็กระสับกระส่ายไปมา“มะ...ไม่ เชื่อพี่นะ พี่…” คนที่กำลังฝันร้ายแผดเสียงร้องออกมา“แบม!!! เป็นอะไรไป หืม…” กาลัญญูใจคอไม่ดีรีบเรียกชื่อแล้วปลุกคนรักหนุ่ม“หะ…หืม อา… ฝันอีกแล้ว” ภูวดลสะดุ้งตื่นเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันทีพลางพึมพำออกมา“ฝันร้ายเหรอ” คนข้างๆ เอ่ยถาม“อือ…ฝันถึงน้องวิน” กาลัญญูขมวดคิ้ว เพราะภูวดลยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด“ก็คนที่ทำให้ฉันอยากเป็นศัลยแพทย์หัวใจยังไงล่ะ น้องเสียไปเกือบสิบปีแล้วล่ะ ตอนนั้นฉันยังเด็กเหมือนกัน ตามคุณแม่ไปทำงานที่โรงพยาบาล น้องวินป่วยเป็นโรคหัวใจ เป็นเพราะตอนนั้นแพทย์เฉพาะทางโรคนี้มีน้อย ทำให้น้องวินได้รับการรักษาไม่ทัน จึงจากไป….”กาลัญญูพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ เมื่อได้ฟังถึงเรื่องราวของคนที่ทำให้ภูวดลมีความมุ่งมั่นอยากจะเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ก่อนที่เขาจะดึงคนรักหนุ่มเข้ามาในอ้อมก
วันนี้เป็นวันที่ภูวดลนัดพบปะในกลุ่มของเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย โดยมีกฎว่าแต่ละคนต้องพาแฟนมาให้เพื่อนได้ชื่นชมด้วย และแน่นอนว่าภูวดลนั้นกำลังจะพากาลัญญูไปเปิดตัวกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นแฟนของเขา แม้เจนจิราจะรู้ความจริงอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับอนุพงษ์ ตอนแรกที่ภูวดลไปถึงร้านอาหารที่นัดเจอกันพร้อมกับกาลัญญู อนุพงษ์ก็เอาแต่มองหาคนข้างกายของทั้งสองหนุ่ม“ไหนล่ะแบม...กราฟ แฟนของพวกนาย อย่าบอกนะว่าหลอกให้ฉันพาแฟนมาด้วย”“ก็ยืนอยู่ด้วยกันนี่ไง” กาลัญญูเป็นฝ่ายตอบออกมาแทน คนที่กำลังมองหาคนข้างกายของสองหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลง“มะ…หมายความว่าไง ยะ…อย่าบอกนะว่านายสองคน” อนุพงษ์ยังพูดไม่ทันจบสองหนุ่มก็จับมือกันแล้วชูขึ้นให้เขาดู“ห๊า… น่ะนี่นายสองคนชอบกันเองเหรอ” คนที่เพิ่งจะรู้ความจริงร้องอุทานแล้วรีบถามเพื่อนทั้งสองออกมา“อือ…แล้วนี่จีน่ายังไม่มาอีกเหรอ”กาลัญญูตอบสั้นๆ แล้วจึงเอ่ยถามอนุพงษ์ หลังจากที่เขาและภูวดลนั่งลงตรงข้ามสองหนุ่มสาวเรียบร้อยแล้ว แฟนสาวของอนุพงษ์ได้แต่นึกเสียดายแทนสาวๆ ที่สองหนุ่มหล่อ หน้าตาดีตรงหน้ากลับมาคบหากันเอง“ยัง…อ้อ นี่น้องแพร แฟนของฉันเอง” หญิงสา