เจาจวิ้นเห็นอู๋หมิงนอนหลับไม่สนิทจึงคิดว่าหากปล่อยเอาไว้จนสมองไม่แล่นคิดการไม่รอบคอบ ตอนไปทำงานล้วงความลับผู้อื่นคงส่งผลเสียเป็นแน่ ประเดี๋ยวพากันไปตายน่ะสิ
เช่นนี้ควรนำอาหารบำรุงมาฝากสักหน่อยจึงจะดี
รสชาติอาหารของไป๋เล่อชิงไม่ด้อยเลยแม้แต่น้อย ฝีมือนับว่าดีเยี่ยม หากจะผูกใจคนต้องผูกกระเพาะก่อนคำนี้ใช้ได้เสมอ ดังนั้น วันรุ่งขึ้น เขาจึงไปกินอาหารเช้ากับโจวเจินและขอให้ไป๋เล่อชิงทำอาหารกับน้ำแกงบำรุงร่างกายเพิ่มสองสามอย่างแล้วห่อกลับมาเรือนเยี่ยเฟิง
“อาหมิง ข้ามีของกินมาฝาก อร่อยมาก”
อู๋หมิงกำลังรู้สึกปวดหัวและอิดโรยอยู่พอดี เมื่อเช้าก็ปฏิเสธข้าวไป ตอนกลางวันก็ควรกินรองท้องสักหน่อย
“ขอบใจ”
“มาๆ ข้าจัดโต๊ะให้” บริการเต็มที่เป็นพ่อสื่อเต็มขั้น
อู๋หมิงย่อมรับน้ำใจ เขาเดินมานั่งและลงมือกิน ทว่าหลังจากกินไปได้ไม่กี่คำ คิ้วเข้มก็ค่อยๆ ขมวดมุ่น
ทำเอาคิ้วของเจาจวิ้นเองก็ค่อยๆ ขมวดตาม “ทำไม ไม่อร่อยหรือ?”
อู๋หมิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่! มัน..รสชาติดีทีเดียว”
เจาจวิ้นร้อง “อ้าว? หากรู้สึกว่าอร่อย ท่านก็ควรทำสีหน้าอีกแบบหรือไม่? นี่ๆ ทำแบบนี้ๆ อื้ม”
ว่าแล้วก็ทำหน้ายิ้มจนตาหยีให้อีกคนทำตาม “ชอบก็บอกว่าชอบ คนทำอาหารรู้เข้าจะได้ชื่นใจปะไร”
อู๋หมิงนิ่งไป ไม่ต่อวาจา เพียงพิจารณาเงียบงัน
ในขณะที่เจาจวิ้นช่วยแนะนำอาหารทีละอย่าง “นี่คือน้ำแกงปลาบุปผา”
หัวคิ้วอู๋หมิงพลันกระตุกเมื่อได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้ นี่คือน้ำแกงปลาใส่ลูกบ๊วยที่สลักเป็นลายดอกไม้ ทั้งชื่อและลักษณะน้ำแกง รวมถึงลวดลายดอกไม้ที่เหมือนกับ...
กำลังคิดยังไม่ทันจบ เสียงของเจาจวิ้นก็เล็ดลอดเข้ามาไม่ขาดสาย “จานนี้ผัดผักใส่พริกหมักงาฝักบัว สูตรเฉพาะของนาง ท่านลองชิมเลย ลองดู”
ดวงตาอู๋หมิงค่อยๆ หรี่แคบจ้องเขม็งเมื่อชิมรสชาติ
นี่มัน...รสชาติเช่นนี้! สูตรตำรับเฉพาะที่คุ้นเคย
ตะเกียบในมือของอู๋หมิงถูกวางลงทันที
“ใครทำ?” เขาถาม
เจาจวิ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ “ลองทายดูสิ”
อู๋หมิงหรี่ตา สีหน้าไม่อยากเชื่อ “อย่าบอกนะว่า สตรีที่เรือนของเจ้า”
“ก็ใช่น่ะสิ” ว่าแล้วเจาจวิ้นก็สะกิดยิกๆ “เอาไว้ข้าจะพาท่านไปกินที่เรือนของข้า ไปชิมถึงที่ด้วยตัวเอง จะได้ทำความรู้จักนาง เป็นไร?”
อู๋หมิงยังไม่ทันตอบ จังหวะนั้น พ่อบ้านเดินเข้ามา “เรียนคุณชายอู๋ ท่านอ๋องเรียนเชิญขอรับ”
การสนทนาระหว่างอู๋หมิงกับเจาจวิ้นจึงสิ้นสุดลง
กระนั้น อู๋หมิงกลับไม่ขยับเขยื้อน ไม่รีบลุกขึ้น และไม่กระตือรือร้นเหมือนทุกครา
ขนาดพ่อบ้านเดินออกไปแล้ว อู๋หมิงก็ยังนิ่ง
กระทั่งเจาจวิ้นต้องพูดย้ำ “อาหมิง ท่านอ๋องเรียก”
สีหน้าอู๋หมิงเคร่งเครียด “ข้ารู้ว่าท่านอ๋องเรียกไปหารือเรื่องอะไร วันนี้เว่ยซุนนัดเจอข้าพร้อมสหายใหม่ที่คาดว่าจะเป็นคนสูงศักดิ์ปลอมตัวมา”
“เอ๊า! รู้แล้วไม่รีบไป?”
“แต่ข้าอยากไปเรือนของเจ้ามากกว่า”
“หา!”
หลังจากวันนั้น “ชิงชิง ข้าอกหักช้ำรักยิ่งนัก รู้สึกอยากตาย...” โจวเจินพร่ำบ่นโวยวายโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนฟังอยากตายยิ่งกว่าไป๋เล่อชิงนิ่งฟังโจวเจินด้วยท่าทีนิ่งขรึมมิเอ่ยวาจา เป็นเช่นนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเตี๊ยมไหลฟู่เมื่อวันก่อนแล้ว“เฮ้อ...” ไป๋เล่อชิงถอนหายใจคำโต นั่งคอตกห่อเหี่ยวมากในที่สุดโจวเจินก็เริ่มรับรู้แล้วว่าสหายผิดปกติ เพราะทั้งเรือนมีเพียงเสียงของนางคนเดียวที่พูดไม่หยุด ส่วนไป๋เล่อชิงก็ถอนหายใจอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำ“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” โจวเจินลืมเรื่องตัวเอง “มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ากำลังหมกมุ่นเรื่องพี่หนิงรึ”ไป๋เล่อชิงเงียบงันครู่ใหญ่ ครุ่นคิดหนักอกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่? ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เงียบปากต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้โจวเจินก็ยิ่งสงสัย และมากกว่าความสงสัยก็คือความรู้สึกผิด “เอาล่ะชิงชิง ข้าผิดเองที่หมกมุ่นเรื่องตัวเองมากไป เจ้ารีบบอกมาเถอะ เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ไปเจอเรื่องที่ยากลำบากมาหรือเปล่า? ให้ข้าช่วยเถิด”โจวเจินเป็นคนที่ดีมาก ดีจริงๆ ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่งเนิ่นนานให้หลัง ไป๋เล่อชิงจ
“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว” ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่ พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรงองค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมองนางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่งปวดตามากด้วยนอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกันนับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย แต่เพิ่
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว
โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคักนอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญอู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1] เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิมเพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมากเจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งคนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหากทั้งสองปลอมตัวเ
เจาจวิ้นเห็นอู๋หมิงนอนหลับไม่สนิทจึงคิดว่าหากปล่อยเอาไว้จนสมองไม่แล่นคิดการไม่รอบคอบ ตอนไปทำงานล้วงความลับผู้อื่นคงส่งผลเสียเป็นแน่ ประเดี๋ยวพากันไปตายน่ะสิเช่นนี้ควรนำอาหารบำรุงมาฝากสักหน่อยจึงจะดีรสชาติอาหารของไป๋เล่อชิงไม่ด้อยเลยแม้แต่น้อย ฝีมือนับว่าดีเยี่ยม หากจะผูกใจคนต้องผูกกระเพาะก่อนคำนี้ใช้ได้เสมอ ดังนั้น วันรุ่งขึ้น เขาจึงไปกินอาหารเช้ากับโจวเจินและขอให้ไป๋เล่อชิงทำอาหารกับน้ำแกงบำรุงร่างกายเพิ่มสองสามอย่างแล้วห่อกลับมาเรือนเยี่ยเฟิง“อาหมิง ข้ามีของกินมาฝาก อร่อยมาก”อู๋หมิงกำลังรู้สึกปวดหัวและอิดโรยอยู่พอดี เมื่อเช้าก็ปฏิเสธข้าวไป ตอนกลางวันก็ควรกินรองท้องสักหน่อย“ขอบใจ”“มาๆ ข้าจัดโต๊ะให้” บริการเต็มที่เป็นพ่อสื่อเต็มขั้นอู๋หมิงย่อมรับน้ำใจ เขาเดินมานั่งและลงมือกิน ทว่าหลังจากกินไปได้ไม่กี่คำ คิ้วเข้มก็ค่อยๆ ขมวดมุ่นทำเอาคิ้วของเจาจวิ้นเองก็ค่อยๆ ขมวดตาม “ทำไม ไม่อร่อยหรือ?”อู๋หมิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่! มัน..รสชาติดีทีเดียว”เจาจวิ้นร้อง “อ้าว? หากรู้สึกว่าอร่อย ท่านก็ควรทำสีหน้าอีกแบบหรือไม่? นี่ๆ ทำแบบนี้ๆ อื้ม” ว่าแล้วก็ทำหน้ายิ้มจนตาหยีให้อีกคนทำตาม “ชอบก็บอกว
“พอๆ” โจวเจินโบกมือ “ไม่ต้องเล่าแล้ว ทำตัวเช่นนี้เมื่อใดจะได้คนรักใหม่เสียที นอกจากไม่แต่งหน้าทาชาด ยังซุกซนยิ่งนัก เฮ้อ...มาเถอะ ข้าช่วยล้างตัว”“อ้อ...ก็ได้ๆ” ไป๋เล่อชิงเดินตามโจวเจินอย่างจำนนสาวใช้อีกคนรีบลุกขึ้นเดินตาม “ข้าช่วยเจ้าค่ะ”“มาๆ” โจวเจินกวักมือเรียกสาวใช้นามว่าอาม่าย ซึ่งเป็นสาวใช้ที่เจาจวิ้นจ้างมาปัดกวาดเป็นครั้งคราว ทุกห้าวัน “ข้าจะแต่งตัวทาชาดให้เจ้าด้วย พวกเราจะได้งดงามไปพร้อมกัน”“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูโจว”จวนเยี่ยนอ๋อง เรือนเยี่ยเฟิงอู๋หมิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เจาจวิ้นที่นอนพักอยู่ก็ผุดลุกขึ้นถาม “ท่านไปไหนมาเนี่ย ข้าต้องออกไปรับหน้าใต้เท้าเว่ยคนเดียว เหนื่อยจะแย่”คนถูกถามนั่งลงรินชา จิบเอื่อยเฉื่อย“ข้าไม่ได้ไปด้วย เจ้าบอกใต้เท้าเว่ยอย่างไร?”เจาจวิ้นไหวไหล่ไม่ยี่หระ “ข้าก็บอกว่าท่านเผลอกินอาหารแสลงก็เลยป่วยโรคอาหารเป็นพิษ นอนหมดแรงอยู่ในเรือน ไม่อาจออกมาพบใครได้”อู๋หมิงพยักหน้า “อืม ดี”“ว่าแต่ ท่านยังไม่ตอบเลยว่าไปไหนมา”“ข้าได้ข่าวภรรยา จึงออกไปตามหานาง ขออภัยที่ไม่บอกล่วงหน้า จนเกือบทำเสียงาน”“อ้อ” เจาจวิ้นโบกมือว่า “ไม่เป็นไรๆ”