โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคัก
นอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญ
อู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1]
เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิม
เพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมาก
เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง
คนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่
อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง
ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหาก
ทั้งสองปลอมตัวเป็นสามัญชนแอบออกมานอกวัง เพื่อผูกมิตรกับคนของเยี่ยนอ๋องตามคำเชิญของเว่ยซุน
ซึ่งก็เป็นไปตามแผนการของอู๋หมิงนั่นเอง
และยามนี้เว่ยซุนก็ไว้วางใจอู๋หมิงถึงขั้นนี้แล้ว... อีกไม่นานอู๋หมิงคงเข้าใกล้เป้าหมายสูงสุดที่วางไว้มากขึ้น
เนื่องจากเยี่ยนอ๋องเปี่ยมอำนาจมากบารมี นับเป็นเสาหลักค้ำยันบัลลังก์ทอง อยู่ใต้เพียงมังกรผู้ครองบัลลังก์ มิหนำซ้ำยังกุมกองทัพนับแสนในมือ แต่กลับไม่เผยท่าทีว่าอยู่ฝ่ายใด
ดังนั้น หลังจากองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน คนที่ประสงค์ดึงเยี่ยนอ๋องเข้าพวกเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ คิดครอบครองกองกำลังยอดฝีมือของพระองค์ย่อมมีไม่น้อย
เพียงแต่เยี่ยนอ๋องเป็นถึงพระเชษฐาของฮ่องเต้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความลึกลับเข้าถึงยาก พระองค์มีอำนาจเหนือคนทั่วแคว้นเป็นรองเพียงจักรพรรดิ เป็นบุรุษสูงศักดิ์ที่เย่อหยิ่งเย็นชา เป็นญาติผู้ใหญ่ที่แม้แต่หลานๆซึ่งเป็นถึงองค์หญิงองค์ชายยังไม่กล้าเข้าหาอย่างสนิทชิดเชื้อ
นั่นจึงทำให้คนของเยี่ยนอ๋องถูกหมายตาแทน
ยามนี้องค์ชายหกนั้น ทางหนึ่งก็ตีหน้าซื่อไม่แย่งชิง ทางหนึ่งก็ยักยอกเงินและซ่องสุมกองทัพนักรบเดนตาย อีกทางก็กุข่าวใส่ร้ายองค์ชายคนอื่นๆ ไม่ว่างเว้นแต่ละวัน
โดยเฉพาะองค์ชายสามที่เป็นวิญญูชนโดยแท้ ยังถึงขั้นถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณด้วยเสียท่าให้องค์ชายหก
แน่นอนว่าทุกอย่างที่องค์ชายหกกระทำชั่วลงไป ล้วนแล้วแต่ไม่อาจเข้าถึงหลักฐานเอาผิดได้
[1]ตรงกับสำนวนเปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุก
หลังจากวันนั้น “ชิงชิง ข้าอกหักช้ำรักยิ่งนัก รู้สึกอยากตาย...” โจวเจินพร่ำบ่นโวยวายโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนฟังอยากตายยิ่งกว่าไป๋เล่อชิงนิ่งฟังโจวเจินด้วยท่าทีนิ่งขรึมมิเอ่ยวาจา เป็นเช่นนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเตี๊ยมไหลฟู่เมื่อวันก่อนแล้ว“เฮ้อ...” ไป๋เล่อชิงถอนหายใจคำโต นั่งคอตกห่อเหี่ยวมากในที่สุดโจวเจินก็เริ่มรับรู้แล้วว่าสหายผิดปกติ เพราะทั้งเรือนมีเพียงเสียงของนางคนเดียวที่พูดไม่หยุด ส่วนไป๋เล่อชิงก็ถอนหายใจอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำ“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” โจวเจินลืมเรื่องตัวเอง “มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ากำลังหมกมุ่นเรื่องพี่หนิงรึ”ไป๋เล่อชิงเงียบงันครู่ใหญ่ ครุ่นคิดหนักอกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่? ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เงียบปากต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้โจวเจินก็ยิ่งสงสัย และมากกว่าความสงสัยก็คือความรู้สึกผิด “เอาล่ะชิงชิง ข้าผิดเองที่หมกมุ่นเรื่องตัวเองมากไป เจ้ารีบบอกมาเถอะ เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ไปเจอเรื่องที่ยากลำบากมาหรือเปล่า? ให้ข้าช่วยเถิด”โจวเจินเป็นคนที่ดีมาก ดีจริงๆ ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่งเนิ่นนานให้หลัง ไป๋เล่อชิงจ
“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว” ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่ พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรงองค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมองนางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่งปวดตามากด้วยนอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกันนับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย แต่เพิ่
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว
โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคักนอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญอู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1] เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิมเพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมากเจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งคนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหากทั้งสองปลอมตัวเ
เจาจวิ้นเห็นอู๋หมิงนอนหลับไม่สนิทจึงคิดว่าหากปล่อยเอาไว้จนสมองไม่แล่นคิดการไม่รอบคอบ ตอนไปทำงานล้วงความลับผู้อื่นคงส่งผลเสียเป็นแน่ ประเดี๋ยวพากันไปตายน่ะสิเช่นนี้ควรนำอาหารบำรุงมาฝากสักหน่อยจึงจะดีรสชาติอาหารของไป๋เล่อชิงไม่ด้อยเลยแม้แต่น้อย ฝีมือนับว่าดีเยี่ยม หากจะผูกใจคนต้องผูกกระเพาะก่อนคำนี้ใช้ได้เสมอ ดังนั้น วันรุ่งขึ้น เขาจึงไปกินอาหารเช้ากับโจวเจินและขอให้ไป๋เล่อชิงทำอาหารกับน้ำแกงบำรุงร่างกายเพิ่มสองสามอย่างแล้วห่อกลับมาเรือนเยี่ยเฟิง“อาหมิง ข้ามีของกินมาฝาก อร่อยมาก”อู๋หมิงกำลังรู้สึกปวดหัวและอิดโรยอยู่พอดี เมื่อเช้าก็ปฏิเสธข้าวไป ตอนกลางวันก็ควรกินรองท้องสักหน่อย“ขอบใจ”“มาๆ ข้าจัดโต๊ะให้” บริการเต็มที่เป็นพ่อสื่อเต็มขั้นอู๋หมิงย่อมรับน้ำใจ เขาเดินมานั่งและลงมือกิน ทว่าหลังจากกินไปได้ไม่กี่คำ คิ้วเข้มก็ค่อยๆ ขมวดมุ่นทำเอาคิ้วของเจาจวิ้นเองก็ค่อยๆ ขมวดตาม “ทำไม ไม่อร่อยหรือ?”อู๋หมิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่! มัน..รสชาติดีทีเดียว”เจาจวิ้นร้อง “อ้าว? หากรู้สึกว่าอร่อย ท่านก็ควรทำสีหน้าอีกแบบหรือไม่? นี่ๆ ทำแบบนี้ๆ อื้ม” ว่าแล้วก็ทำหน้ายิ้มจนตาหยีให้อีกคนทำตาม “ชอบก็บอกว
“พอๆ” โจวเจินโบกมือ “ไม่ต้องเล่าแล้ว ทำตัวเช่นนี้เมื่อใดจะได้คนรักใหม่เสียที นอกจากไม่แต่งหน้าทาชาด ยังซุกซนยิ่งนัก เฮ้อ...มาเถอะ ข้าช่วยล้างตัว”“อ้อ...ก็ได้ๆ” ไป๋เล่อชิงเดินตามโจวเจินอย่างจำนนสาวใช้อีกคนรีบลุกขึ้นเดินตาม “ข้าช่วยเจ้าค่ะ”“มาๆ” โจวเจินกวักมือเรียกสาวใช้นามว่าอาม่าย ซึ่งเป็นสาวใช้ที่เจาจวิ้นจ้างมาปัดกวาดเป็นครั้งคราว ทุกห้าวัน “ข้าจะแต่งตัวทาชาดให้เจ้าด้วย พวกเราจะได้งดงามไปพร้อมกัน”“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูโจว”จวนเยี่ยนอ๋อง เรือนเยี่ยเฟิงอู๋หมิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เจาจวิ้นที่นอนพักอยู่ก็ผุดลุกขึ้นถาม “ท่านไปไหนมาเนี่ย ข้าต้องออกไปรับหน้าใต้เท้าเว่ยคนเดียว เหนื่อยจะแย่”คนถูกถามนั่งลงรินชา จิบเอื่อยเฉื่อย“ข้าไม่ได้ไปด้วย เจ้าบอกใต้เท้าเว่ยอย่างไร?”เจาจวิ้นไหวไหล่ไม่ยี่หระ “ข้าก็บอกว่าท่านเผลอกินอาหารแสลงก็เลยป่วยโรคอาหารเป็นพิษ นอนหมดแรงอยู่ในเรือน ไม่อาจออกมาพบใครได้”อู๋หมิงพยักหน้า “อืม ดี”“ว่าแต่ ท่านยังไม่ตอบเลยว่าไปไหนมา”“ข้าได้ข่าวภรรยา จึงออกไปตามหานาง ขออภัยที่ไม่บอกล่วงหน้า จนเกือบทำเสียงาน”“อ้อ” เจาจวิ้นโบกมือว่า “ไม่เป็นไรๆ”