LOGINเหมือนแพรมาถึงรีสอร์ตในวันนัดเสนอแบบ เธอมาถึงห้องประชุมก่อนเวลานัดพอสมควร แต่เหมือนยังจะช้ากว่าอีกคนอยู่ดี สายตาเธอเหลือบไปมองที่มือของไตรฉัตรเห็นมีผ้ายืดพันเคล็ดพันอยู่จนถึงข้อมือ
"สวัสดีค่ะคุณบี๋ เดี๋ยววันนี้น้องชายพี่เจ้าของโพรเจกต์นั่นแหละ จะมาดูแบบด้วย" เหมือนแพรจึงได้ยกมือขึ้นสวัสดีคุณสาวิตรี "นั่นไง มาพอดี นั่นเอกภพ น้องชายพี่เองค่ะ" เหมือนแพรยังไม่ทันได้นั่งลง เธอก็เลยยกมือขึ้นสวัสดี ส่วนไตรฉัตรยืนขึ้นเขาเลือกจับมือทักทายเพราะเห็นจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ยังไม่ทันจะเอ่ยทักทายกันเสร็จ ประตูห้องที่ยังไม่ได้ปิดก็มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามา ทำให้เหมือนแพรตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาที่นี่ "มอส กลับมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกบี๋เลย" ไตรฉัตรหรี่ตามองคนตัวเล็กที่เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองได้อย่างน่าหมั่นไส้ "มาถึงหลายวันแล้ว กะจะมาเซอร์ไพรส์ สบายดีนะไตร" เขาหันไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ในห้องนั้นด้วย "สบายดี" เมื่อทุกคนเริ่มนั่งลง มอสเดินมาข้างเหมือนแพรเขาเอื้อมมือจับเอวเธอให้นั่งลงที่เก้าอี้ ไตรฉัตรละสายตาจากคนทั้งคู่ เขาก็เริ่มเข้าเรื่องงานทันที "ถูกใจมากเลยครับ คุณบี๋ ตอนแรกไอ้มอสแนะนำผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่มันบอกเอาหัวรับประกัน" "ถ้าคุณเอกภพจะแก้ตรงไหนแจ้งบี๋ได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ" "แบบนี้โอเคแล้วครับ ถูกใจได้ครบที่ผมต้องการแล้ว" เมื่อการประชุมจบลง ไตรฉัตรก็เตรียมจะเดินทางกลับกรุงเทพ เพราะงานต่อไปบริษัทเขาต้องเป็นคนก่อสร้าง ทั้งในส่วนที่เหมือนแพรออกแบบนั่นด้วย "คุณบี๋กับคุณไตร ต้องรีบกลับกรุงเทพไหมคะ ตอนเย็นเราจะมีปาร์ตี้กันถือว่าเลี้ยงรับนายมอสด้วยเลย" "ว้า เสียดายเลยค่ะ วันนี้บี๋มีนัดแล้วน่ะค่ะ ไว้โอกาสหน้านะคะ ไว้วันหลังนะมอส" เธอหันไปเอ่ยเสียงอ่อยกับมอส พลางทำหน้าขอโทษ "ผมก็มีงานค้างที่กรุงเทพครับ ต้องขอโทษด้วย" เหมือนแพรโยนเอกสารกองใหญ่ใส่ไว้ท้ายรถ แล้วเหมือนเธอยังวุ่นวายจัดของไม่เสร็จ "ไม่อยู่ปาร์ตี้กับแฟนเธอหรือไง" ไตรฉัตรแวะที่รถเธอก่อนจะเดินไปถึงรถตู้คันใหญ่ของตัวเอง "ไม่รีบ" เธอตอบเสร็จก็ยืดตัวขึ้นจากที่มุดอยู่ท้ายกระโปรงรถ หันไปมองหน้าไตรฉัตร พลางไล่สายตาไปที่มือของเขา "แล้วมือนาย ยังไม่หายหรือ" เขายกมือขึ้นมาดู ไม่ตอบเธอได้แต่ยักไหล่ใส่ "ถามดีๆ โอ๊ย! ตายลืมจนได้" ในประโยคคล้ายเธอบ่นเขาเบาๆ แต่พออุทานเสียงดังขึ้น ทำให้ไตรฉัตรนึกสงสัย "บ่นอะไร" "ว่าจะหยิบเสื้อมาคืนนาย ลืมจนได้" "ไม่เป็นไร วันหลังก็ได้ ไม่รีบ" เขาแกล้งเลียนคำที่เธอพูด "วันจันทร์หน้าจะประชุมเริ่มโพรเจกต์ เธอไปที่บริษัทฉันแล้วกัน" เธอกำลังจะต่อว่าเขา แต่เขาก็เอ่ยเรื่องงานขึ้นมาเสียก่อน ธุระที่เธอขอตัวคุณสาวิตรีมา ก็คือการกลับมาทานข้าวที่บ้านประจำเดือนนี้ ครั้งแรกๆ ที่เธอออกมาอยู่คอนโด เพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว เธอมักจะกลับมาทานข้าวที่บ้านเกือบทุกอาทิตย์ แต่เมื่อเวลานานไปเรื่อยๆ เวลาก็เริ่มห่างออกไป รวมถึงความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวด้วย คงจะเหลือแต่คุณนายราตรี มารดาของเธอที่ยังคอยโทรถามข่าวคราวเธออยู่เสมอ หรือบางครั้งก็หอบอาหารทั้งของสดของแห้งไปใส่ตู้เย็นไว้ให้อยู่บ่อยๆ หลังจากกลับจากอเมริกา เธอเลือกที่จะไม่ทำงานบริษัทที่บ้านตัวเอง แต่ไปทำกับบริษัทเล็กๆ อยู่ได้เกือบปี ก็ออกมารับงานฟรีแลนซ์ และแน่นอนพ่อเธอก็ออกจะหัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่เพราะความดื้อรั้นสุดท้ายเหมือนแพรก็เลยค่อยๆ ห่างจากบ้านออกไปทีละนิด จากทานข้าวทุกสัปดาห์ จนท้ายที่สุดคุณนายราตรีต้องออกปากว่าอย่างน้อยเธอต้องกลับมาทานข้าวที่บ้านเดือนละหนึ่งครั้ง "หิวจังเลยค่ะคุณนายขา มีอะไรทานบ้างคะ" เสียงหวานแว่วมาตั้งแต่หน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นผู้เป็นมารดานั่งอยู่ที่ห้องรับแขก กับพ่อ "ของชอบเราทั้งนั้นแหละ แม่เตรียมใส่กล่องไว้ให้ด้วย เดี๋ยวเราเอากลับไปแช่ไว้ แล้วเอาออกมาอุ่นกินเอานะลูก" "ขอบคุณคุณนายขามากนะคะ" เหมือนแพรซุกตัวลงที่อกของมารดากอดเอวอวบไว้แน่น "เสร็จจากงานโพรเจกต์ที่แกรับแล้ว แกเตรียมเข้าไปทำงานที่บริษัทได้แล้วนะ ฉันให้แกเกเรมาเยอะแล้ว กลับไปช่วยทำงานได้แล้ว" คุณวิวัฒน์ประมุขของบ้านเอ่ยบอกผู้ที่ยังกอดมารดาคล้ายเด็กอยู่ "พ่อรู้ด้วยหรือว่าหนูไปรับงานที่ไหน" เหมือนแพรเหลือบตามองก่อนจะเอ่ยถาม "เรื่องแกมีอะไรบ้างที่ฉันไม่รู้" "พ่อเอาเวลาสืบเรื่องหนู ไปสนใจไอ้บอสดีกว่า ถึงหนูจะไม่ได้ทำงานที่บริษัทพ่อ แต่หนูก็ไม่เคยขอเงินพ่อใช้ ไม่เหมือนไอ้บอสนะ" "พอกันแหละ พวกแกแต่ละคนไม่มีใครได้เรื่องสักคน" พูดจบคุณวิวัฒน์ก็ลุกออกไปจากห้องรับแขก "พี่บี๋ ว่าอะไรผม ตัวเองจะหาข้ออ้างก็อ้างไปซิ ทำไมต้องเอาผมมาอ้างด้วย อีกอย่างผมก็เพิ่งเรียนจบมาเองนะ" ไอ้บอสที่เธอว่า เดินเข้ามาในห้องรับแขกพอดี จึงได้ทันได้ยินพี่สาวกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่ "เพิ่งจบอะไรของแก จบมาห้าปี งานก็ไม่ทำขอแต่เงิน แม่อย่าให้มันนักเคยตัว" "แล้วทำไมพี่ไม่ไปทำงานกับพ่อล่ะ" "แกก็ไปทำซิ ฉันหาเงินเองได้" "เอาล่ะๆ พอๆ ทั้งคู่เลย" คุณนายราตรีต้องรีบห้ามทัพก่อนที่สองพี่น้องจะเริ่มทะเลาะกัน "บี๋ก็น่าจะเข้าไปช่วยคุณพ่อบ้างนะ แม่ได้ข่าวมาไม่ค่อยดีที่บริษัทเรา" "ทำไมคะ" เหมือนแพรสนใจสิ่งที่มารดาพูดขึ้นมาทันที เพราะปกติไม่ค่อยเห็นท่านเครียดเรื่องบริษัทของคุณพ่อเท่าไหร่ "เหมือนที่บริษัทจะเริ่มขาดสภาพคล่อง" สีหน้าของคุณราตรีที่เอ่ยบอกลูกๆ ดูวิตกกังวลไม่น้อย "เห็นโพรเจกต์ใหญ่ๆ ตั้งเยอะนี่คะ" "แม่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนัก ได้ยินแว่วๆ ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนผู้ถือหุ้นวิ่งประชุมกันให้วุ่นไปหมด" เพราะความเป็นแม่บ้านเต็มตัวของคุณราตรีจึงทำให้ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก ได้แต่แอบถามเลขาของคุณวิวัฒน์ในบางครั้งที่เธอไปที่บริษัทสวนลำธารบ้านลุงเอี่ยม ในวันที่ลูกสาวคนโตของบ้านกำลังจะมีคนมาสู่ขอ พ่อเอี่ยมและแม่ศรีในฐานะเจ้าของบ้านก็ตระเตรียมต้อนรับทั้งจัดบ้านใหม่อย่างที่เคยเอ่ยกับลูกสาว ชุดสวยที่ใส่ต้อนรับแขกราวกับมีเทศกาลงานบุญ อีกทั้งซุ้มที่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเช่าเล่นน้ำ วันนี้ก็ถูกกันเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อต้อนรับแขกจากกรุงเทพ เดิมทีพ่อเอี่ยมจะปิดทั้งหมด แต่ก็กลัวลูกค้าที่เข้ามาแล้วจะเสียเที่ยวจึงได้เปิดไว้บางส่วนต้อนรับลูกค้าด้วย อาหารทั้งไทย อีสาน ถูกจัดเตรียมเอาไว้ครบครัน ปรางทิพย์มาถึงพร้อมอาจารย์วิทย์ในช่วงสาย ทีแรกเธอจะมาก่อนแต่ไตรวิทย์ก็ไม่อยากให้เธอขับรถมาคนเดียว เพราะเขาต้องมาพร้อมกับพ่อแม่ และยังมีสมาชิกอย่างไตรฉัตรกับภรรยาที่ตามมาพักผ่อนด้วย ไม่เว้นแม้แต่มิลินที่ยังขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ขาดก็แต่ไตรคุณที่วันนี้ต้องเข้าไปที่โรงแรม เพราะมีลูกค้าสำคัญเข้ามาพักที่โรงแรม ทำให้เขาต้องไปต้อนรับ "แม่ บ้านเรามีงานบุญหรือ" ปรางทิพย์เอ่ยถามตอนที่ลงรถมาเห็นแม่ศรีในชุดผ้าไหม "ก็ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อยซิ ดูแกซิทำตัวมอซอ ไปเปลี่ยนชุดซะไป" คนโดนว่ามอซอแทบจะทำหน้าไม่ถูก เพราะไตรวิทย์ยืนอยู่ข้างๆ เธอหั
อีกวันที่ล่วงผ่านปรางทิพย์เพิ่งได้มีโอกาสสะสางข้อความตั้งแต่เกิดเรื่องจนวันนี้ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาเกือบร้อยข้อความไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัวหรือเพื่อน กระทั่งน้องๆ พยาบาลที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่ถามไถ่หรือตลอดจนข้อความให้กำลังใจ เธอไล่ตอบอยู่นานจนครบทุกข้อความ และถึงได้โทรหาแม่ศรีบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้แม่ได้สบายใจ เย็นวันนั้นไตรวิทย์จึงได้พาเธอกลับมาทานข้าวที่บ้าน คุณแม่ประไพรยังต้อนรับเธออย่างอบอุ่นอยู่เสมอ แค่เห็นหน้าผู้มากวัยก็รีบเข้ามาสวมกอด "หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก" อ้อมกอดที่อบอุ่นแทบไม่ต่างจากลูกชาย "ไปๆ กินข้าวกันดีกว่า ยายมิลินยังไม่มาอีกหรือ" คุณนายประไพรรีบเกณฑ์บรรดาลูกๆ ของท่านเข้าห้องอาหาร แต่ก็ยังไม่ลืมมองหาคนอีกคน "มาแล้วค่ะ คุณป้า" แค่เพียงถามหา เสียงใสลากยาวก็ขานรับทันที เพราะมาถึงพอดีที่คุณป้าถามหา "อ้าวมาพอดี ไปๆ ทานข้าวกันลูก" แต่คนตัวเล็กกลับตรงเข้าไปหาคุณหมอปรางทิพย์สวมกอดเอาไว้ดุจให้กำลังใจ "เจ๊ปราง" มือที่สวมกอดพร้อมน้ำเสียงออดอ้อนโดยไม่ต้องเอ่ยเรื่องราวอะไร ปรางทิพย์ก็เข้าใจได้ "ขอบใจมากนะมิลิน" "โอเคแล้วใช่เปล
ผู้ชายตัวสูงสองคนที่ใส่สูทสีดำเรียบร้อย แม้อีกคนจะดูเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่าทางภูมิฐานนั้นลดน้อยลงเลย คนตัวสูงถือพวงหรีดดวงไม้สดสีขาวเข้ามาด้วย ข้อความบนนั้นมีเพียง ด้วยความอาลัย ไม่ได้บ่งบอกชื่อว่าเป็นใคร ศาลาเล็กภายในวัดของชุมชน ที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ศาลาก็ไม่ได้ติดแอร์อย่างวัดใหญ่มีชื่อเสียง ผู้คนภายในงานก็ล้วนเป็นชาวบ้านแถวนั้น การแต่งกายของสองคนที่เดินมาจนถึงหน้าศาลา เรียกสายตาของคนในงานให้หันไปสนใจ เจ้าภาพของงานรีบเดินออกมาต้อนรับแขกไม่คุ้นหน้า "คุณมางานนี้หรือ รู้จักกับน้องชายฉันหรือคะ" น้ำเสียงตะกุกตะกักเอ่ยถาม ผู้ชายชุดดำสองคนอย่างไม่มั่นใจ แต่เมื่อเขาส่งพวงหรีดให้ เธอก็รีบรับแล้วส่งต่อให้ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง แต่เหมือนไตรวิทย์และณัฐกรจะจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี เธอคนนี้ที่อยู่ในภาพข่าวเกือบทุกสำนัก "เอ๊ะ คุณทนายณัฐกร" น้ำเสียงออกจะตื่นเต้นไม่น้อยที่เห็นณัฐกร ทั้งที่สองคนยังไม่ทันได้แนะนำตัวกลับมีคนจำคุณทนายได้เสียก่อน "อ๋อครับ สวัสดีครับ ผมมาแสดงความเสียใจด้วยน่ะครับ แล้วนี่คุณไตรวิทย์ เป็นแฟนของคุณหมอปรางทิพย์ครับ" แค่ณัฐกรแนะนำตัว ผู้หญิงคนนั้นก็ห
ไตรวิทย์ขมวดคิ้วฟังที่ณัฐกรเอ่ยแล้วก็ยังไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายนัก จนเมื่อณัฐกรกดโทรศัพท์ตัวเองคล้ายหาอะไรสักอย่าง แล้วก็ส่งโทรศัพท์นั้นให้ไตรวิทย์ ภาพข่าวดูจากสถานที่น่าจะเป็นโรงพยาบาล แล้วสักครู่ภาพก็ตัดมาที่ญาติของผู้เสียชีวิตและคนข้างๆ ที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี พัสรา แต่วันนี้เธอเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นแถมยังเป็นทนายให้กับฝ่ายนั้นอีกด้วย เสียงสัมภาษณ์ของนักข่าวที่ถามถึงเหตุการณ์ ญาติผู้เสียชีวิตก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เกิดขึ้นจนกระทั่งหมอปรางเข้ามาช่วยคนเจ็บด้วยการทำซีพีอาร์ แต่สุดท้ายคนเจ็บก็เสียชีวิต โดยญาติคนไข้ยังติดใจเรื่องการเสียชีวิตเพราะหมอที่เข้ามาช่วยมีอาการเมา เพิ่งออกจากผับ ส่วนทนายพัสเพียงให้สัมภาษณ์ว่าทุกอย่างคงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพียงเท่านั้น อะไรก็จะไม่ร้ายแรงเท่าคอมเมนต์ของคนที่เรียกชาวเน็ต แต่ไตรวิทย์สะดุดตากับคอมเมนต์หนึ่งจนต้องใช้นิ้วจิ้มเพื่อดูโปร์ไฟล์ของคอมเมนต์นั้น อีกหน่อยใครจะกล้าช่วย คนดีๆ หมอดีๆ คงต้องอยู่เฉยๆ ดูคนขาดใจตายไปต่อหน้า คอมเมนต์ตอบกลับเจ้าปัญหานั้น ที่เขาสนใจ หมอดีๆ คงไม่เคยถูกคนไข้ฟ้องร้องหรอกมั้ง ไตรวิทย์ส่งโทรศัพท์นั้นให้ณัฐ
ไตรวิทย์ลากปรางทิพย์ออกมาจากพัสราได้แล้ว เพียงครู่เดียวมิลินก็รีบวิ่งตามมา ทิ้งให้ผู้หญิงคนที่ตัวเองไม่รู้จักไว้ตรงนั้น "มากันยังไง" ไตรวิทย์เอ่ยถามมิลิน เพราะดูท่าคนที่เขาจับแขนไว้อยู่คงจะไม่มีทางตอบแน่ "บังเอิญเจอกันที่นี่ค่ะ" มิลินเอ่ยตอบพร้อมกับมองหน้าเจ๊คนสวยที่ยังมีใบหน้าบึ้งตึง "ไปกลับบ้าน ค่อยไปคุยกันที่บ้าน" "ไม่กลับ ไม่คุย" ปรางทิพย์สะบัดแขนอย่างแรงจะให้พ้นการเกาะกุมของมือใหญ่ แต่มันก็ไม่หลุดง่ายๆ "บอกให้กลับบ้าน" ไตรวิทย์เน้นเสียง "ฉันขับรถมา" เมื่อเขาเสียงแข็ง เธอเองก็เริ่มเสียงแข็งขึ้นไม่แพ้กัน แถมยังเปลี่ยนวิธีเรียกตัวเองให้ดูห่างเหินอีกด้วย "จอดไว้นี่แหละ กลับบ้าน" คราวนี้ไตรวิทย์ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะเถียงหรือดื้ออีก เขาออกแรงรั้งให้เธอเดินตาม แต่เธอก็ยังขืนตัวไว้ "จะให้อุ้มใช่ไหม" ได้ผลปรางทิพย์ยอมเดินแต่น้ำหนักที่ก้าวออกจะหนักกว่าปกติ รถของไตรวิทย์ขับออกมาได้เพียงนิดเดียว ถนนที่วิ่งขนาบกับคลองเล็กๆ ก่อนจะออกถนนใหญ่ ไตรวิทย์ชะลอรถลงเพราะรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัวช้าเหมือนด้านหน้าจะมีอุบัติเหตุ จนเมื่อรถเขาขับผ่านกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถ
ปรางทิพย์ไม่แน่ใจว่าคุณพัสเตรียมเรื่องจะเปิดสำนักงานกฎหมายเสร็จไปถึงไหนแล้ว แต่ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้จากปากแฟนของตัวเองบ่อยเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะคุยโทรศัพท์ให้เธอได้ยินก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงการเจอกันครั้งแรกของคุณพัสนั่นแล้ว ก็ทำเธอหงุดหงิดทุกที ในทุกวันที่ปรางทิพย์ออกเวรจากโรงพยาบาลเธอก็จะกลับคอนโดของไตรวิทย์ทันที ไม่ได้ตรงมาที่ร้านกาแฟเหมือนอย่างวันนี้ เพราะถ้าไม่เพราะมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการยื่นภาษีที่เธอต้องเข้าไปเซ็นด้วยตนเอง เมื่อมาถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่เธอจะต้องอยู่ช่วยน้องๆ จนกระทั่งร้านปิด รถยนต์คันเก่าของเธอที่วันนี้ต้องจอดหลังร้าน เพราะตอนที่มาถึงบริเวณหน้าร้านไม่มีที่จอดเหลืออยู่เลย แล้วตอนที่ขับออกมาจากถนนหลังร้าน รถคันของเธอต่อท้ายรถอีกคัน จึงทำให้รถยนต์คันหรูของไตรวิทย์ที่ขับผ่านไม่ทันได้เห็น แล้วเธอก็ลืมส่งข้อความบอกเขาด้วยว่าวันนี้เข้ามาที่ร้านกาแฟ เธอขับออกถนนมาได้แล้วก็ตามรถของไตรวิทย์มาติดๆ แม้จะถูกแซงไปหลายคันแล้ว แต่รถคันหรูของเขามันออกจะสะดุดตาอยู่เธอจึงยังเห็นคันของเขาในสายตา จนถึงทางแยกที่จะต้องเลี้ยวไปทางคอนโด เธอกำลังจะตบไฟเลี้







