LOGIN12 สิงหาคม 0.09 น.
ห้องดับจิต โรงพยาบาลรักษ์
ที่ตรงนี้มันทั้งวังเวง เงียบเหงา เคว้งคว้าง และหนาวเหน็บจนน่าขนลุก มันไม่เหมาะกับเด็กวัยสิบหกอย่างคิริมาเลยสักนิด แต่ชะตาก็กำหนดให้เธอมายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่นี่ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเธอเกิดขึ้นที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลแห่งนี้ พ่อและแม่นอนอยู่บนเตียงข้างกันในสภาพไร้ลมหายใจ ทั้งคู่มีปากเสียงกันขั้นรุนแรง และถึงขั้นลงไม้ลงมือ ก่อนจะจบชีวิตลงด้วยคมมีดที่ต่างจ้วงแทงกัน
จากคนที่เคยรักกันปานจะกลืนกินกลับกลายเป็นเกลียดกันจนสามารถทำร้ายให้ตายกันไปข้าง เพียงเพราะมีมือที่สามเข้ามาแทรกกลาง แต่อะไรก็ไม่โหดร้ายและแสนเจ็บปวดเท่ากับทุกช่วงเวลาของการเกิดเหตุสุดสะเทือนขวัญนั้นมีเธอร่วมรับรู้และอยู่ด้วยในทุกเสี้ยววินาที พ่อกับแม่ทำร้ายกันด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี โดยไม่สนเสียงร้องไห้วิงวอนปานปิ่มจะขาดใจของลูกสาวอย่างเธอ วาจาหยาบคายถูกพ่นออกมาสาดใส่หน้ากัน และถ้อยคำเหล่านั้นก็ทำให้เธอช็อกไม่น้อย เพราะได้รับรู้ความจริงอย่างกระจ่างใจว่าทำไมแม่ถึงห้ามเสมอว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อให้ได้ยิน นั่นก็เพราะว่าพ่อยักยอกเงินของบริษัทไปปรนเปรอเมียน้อยและลูกซึ่งอายุห่างจากเธอเพียงแค่ปีเดียว นั่นก็แสดงว่าพ่อนอกใจแม่ตั้งนานแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะแทงกันจนลงไปนอนจมกองเลือดในสภาพน่าหวาดผวา กว่าคิริมาจะตั้งสติและโทรเรียกรถพยาบาลได้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว พ่อกับแม่ของเธอต่างสิ้นใจก่อนจะถึงโรงพยาบาล
การสูญเสียบุพการีในเวลาเดียวกันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อายุเพียงสิบหกอย่างเธอช็อกจนพูดไม่ออก และทำอะไรไม่ถูก มากกว่านั้นคือหวาดกลัว เคว้งคว้าง และโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าต้องจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไรดี และเธออาจจะเป็นบ้าสติแตกจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือไม่ก็หาทางทำให้ตัวเองตายตามพ่อกับแม่ไป หากว่าทนายความประจำตระกูลไม่เข้ามาปลอบประโลม และพาไปพบจิตแพทย์เสียก่อน
สรุปวันแม่ปีนี้คิริมาไม่โผล่ไปที่โรงเรียน เพราะเธอทำใจไม่ได้ที่เห็นเด็กคนอื่นมีแม่ แต่เธอกลับไม่เหลือแม่ ความรู้สึกมันแตกต่างจากที่แม่มอบหมายให้แม่บ้านไปทำหน้าที่แทนแม่โดยสิ้นเชิง มันเทียบกันไม่ได้ เธอไม่ต้องการใคร หากจะถามว่าเธอรักพ่อกับแม่เท่ากันหรือไม่ เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอรักและเคารพพวกท่านทั้งสองเท่าๆ กัน ถึงแม้ว่าในระยะหลังๆ พ่อจะทำเหมือนลืมว่าเธอคือลูก แต่เธอก็ยังคงรักท่านไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากจะถามว่าเธออาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของใครมากกว่ากัน เธอก็คงจะตอบได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองว่าแม่ เพราะเธอกับแม่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเธอ
ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็เกลียดโรงพยาบาล พอๆ กับหวาดกลัวห้องดับจิต พะอืดพะอมกับการได้ยินคำนินทาว่าพ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้า แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ชีวิตเธอยังต้องก้าวต่อไป ฉะนั้นจึงพยายามทำเป็นหูหนวกตาบอด และยังคงเรียนอยู่ที่เดิม เพราะถึงแม้พ่อกับแม่จะจากไปแต่ฐานะทางการเงินของเธอก็ไม่ได้ด้อยลง ตรงข้ามทายาทตระกูลดังอย่างเธอกลับกลายเป็นเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ เพราะมีเงินปันผลจากบริษัทที่เป็นมรดก เงินจากการลงทุนทำธุรกิจหลายอย่างของแม่ รวมทั้งเงินจากการเล่นหุ้นที่แม่สอนให้เธอเล่นตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี
ไม่นานคิริมาก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่คอนโดที่แม่ซื้อไว้เพียงลำพัง ส่วนคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนสวน คนขับรถ ทนายความประจำตระกูลเป็นคนจัดการมอบเงินก้อนให้ไปตั้งตัว เธอมิอาจอยู่ที่บ้านได้อีกต่อไป บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอบอุ่น ปลอดภัย เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสุข แต่ความสุขทั้งหมดนั้นกลับหายวับไปกับตา บ้านที่เธอเคยคิดว่าอบอุ่นกลับกลายเป็นสีเลือด น่าหวาดกลัวจนเธอมิอาจซุกหัวนอนได้อีกต่อไป เพราะหากยังอยู่ที่บ้านภาพอันเลวร้ายที่ยังติดตาคงตามหลอกหลอนเธอไปตลอดชีวิต
ชีวิตของคิริมายังคงวนเวียนอยู่ในวังวนเดิมๆ ทุกวันหลังเลิกเรียนก่อนกลับคอนโดเธอจะนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนตัวเดิมเป็นประจำ ด้วยไม่อยากกลับไปจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทมเเสนสาหัสเพียงลำพัง สาวน้อยจึงเลือกที่จะทำการบ้านจนเสร็จถึงจะเก็บกระเป๋ากลับคอนโด เธอทำเช่นนี้ทุกวันตั้งเเต่ต้องพานพบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
หลังจากพ่อกับแม่จากไป และเพื่อนสนิทย้ายไปเรียนเมืองนอกแบบกะทันหัน เธอก็ค้นพบว่าตัวเองเหลืออยู่ตัวคนเดียวอย่างแท้จริง เพื่อนที่เคยคบหาถึงจะไม่สนิทแต่ก็พูดคุยกันบ้างต่างพากันตีตัวออกห่าง เธอกลายเป็นเหมือนแกะดำหรือไม่ก็ตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ เพียงเพราะว่าพ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้าต่อตาเธอ พวกท่านทั้งคู่เลือกที่จะจบชีวิตลงโดยทิ้งให้ลูกสาวอย่างเธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายมันเป็นความผิดของเธออย่างนั้นหรือ เธอผิดอะไรทำไมทุกคนถึงได้มองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่อยากเข้าใกล้
“ฉันได้ยินว่าพ่อกับแม่ยัยนั่นแทงกันตายต่อหน้าต่อตา ต้องเลือดเย็นเบอร์ไหนถึงยังลอยหน้าทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นไม่มีผลอะไรเลย”
“นั่นดิ พ่อกับแม่ฆ่ากันตายให้เห็นจะๆ เลยนะเว้ย”
นี่เป็นประโยคที่เธอได้ยินเสมอมาตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป แต่ไม่เคยทำใจได้สักที น้ำตาเจ้ากรรมเจียนจะไหล หากแต่ในใจเตือนตัวเองว่าให้เข้มแข็งเข้าไว้
“คนแบบยัยนั่นต้องหลีกหนีให้ไกล เพราะไม่แน่ว่าวันดีคืนดียัยนั่นอาจจะแทงใครแล้วทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ คนอะไรไร้ความรู้สึก…เลือดเย็นจนน่าขนลุก”
เสียงซุบซิบนินทาของเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ทำให้สาวน้อยผู้อาภัพที่ตกเป็นตัวประหลาดเพียงเพราะข่าวการฆ่ากันตายของพ่อและแม่แทบปล่อยโฮออกมา อยากจะตะโกนใส่หน้าคนพวกนั้นนักว่าใครไม่เป็นเธอคงไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าเธอต้องอยู่กับความเจ็บปวดและทุกข์ระทมแสนสาหัสมากเพียงใด การไม่แสดงออกทางสีหน้า การไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้คนอื่นสงสารหรือเวทนาก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกเสียใจ
“หนูครีม” เสียงเรียกฟังดูนุ่มนวลทำให้คนที่กำลังนั่งตัวเกร็งน้ำตาคลอได้สติ หลุดจากภวังค์เศร้า แล้วเงยหน้ามองชายวัยใกล้เกษียณที่ใจดีกับเธอเสมอ
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







