LOGIN“ฉันบอกว่าเอามา!”
“เฮ้! พวกเธอไม่มีปัญญาหรือไงวะ ถึงได้มาข่มขู่ลอกการบ้านยัยนั่นอยู่ได้” น้ำเสียงกระด้างเจือดุดันที่โพล่งขึ้นทำให้ทุกคนต่างหันไปมองผู้มาใหม่
“พงษ์! พงษ์มาหามินนี่เหรอ” สาวป็อปประจำโรงเรียนร้องอุทานด้วยความยินดี แล้วรีบปรี่เข้าไปเกาะแขนของแฟนหนุ่มสุดหล่อด้วยสีหน้าระรื่น
“เปล่า” เขาตอบหน้าตาย ก่อนจะแกะมือของอีกฝ่ายออกจากแขนของตัวเอง ท่าทางเหินห่างทำให้เมริษาถึงกับหน้าเสีย แต่ยังทำเป็นเชิดเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกอะไร
“แล้วพงษ์มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาแข่งบาส”
“งั้นที่อาจารย์บอกว่าจะมีการแข่งบาสเชื่อมสัมพันธ์ ก็แสดงว่าเป็นการแข่งบาสระหว่างโรงเรียนพงษ์กับโรงเรียนมินนี่น่ะสิ” เห็นท่าทางเย็นชาของแฟนเด็กที่อายุห่างกันหนึ่งปีเธอก็ชวนคุยอย่างกระตือรือร้น
“ใช่” พงษ์สวัสดิ์ตอบห้วนๆ เริ่มมีสีหน้าเบื่อหน่ายกับคำถามฟังดูไร้สาระ ปากขยับโต้ตอบกับเมริษา แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับลอบมองคิริมาเป็นระยะ
“อุ๊ย! งั้นมินนี่จะรอเชียร์นะ ป่ะพวกเราไปขึ้นสแตนด์กันเถอะ” เมริษาเอ่ยเอาใจแฟนหนุ่มของเธอ ก่อนจะหันไปชักชวนเพื่อนๆ โดยลืมเรื่องส่งการบ้านไปเสียสนิท
“เดี๋ยวก่อนมินนี่”
“พงษ์เปลี่ยนใจจะไปสนามบาสพร้อมมินนี่ใช่ไหมล่ะ” เจ้าของใบหน้าแต้มยิ้มหวานหยดรีบเดินกลับมาหาหนุ่มหล่อหน้าใส แล้วเอ่ยด้วยท่าทางระริกระรี้
“เปล่า…ฉันจะบอกเธอว่าเราจบกัน”
“พงษ์! ทำไมพงษ์พูดอย่างนั้น มินนี่ทำผิดอะไร” ถ้อยคำบอกเลิกง่ายๆ ต่อหน้าทุกคนทำให้สาวฮอตของโรงเรียนถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“เธอไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก แต่เธอโง่ และฉันก็ไม่ชอบผู้หญิงโง่…จบนะ!” เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ แต่แสนกระแทกใจ จนคนถูกบอกเลิกถึงกับวิ่งร้องไห้โฮจากไปด้วยความเสียใจปนอับอายที่ถูกด่าว่าโง่
เห็นดังนั้นคิริมาก็ลอบยิ้มตรงมุมปากด้วยความสะใจ ก่อนจะรีบทำหน้านิ่งเมื่อคนที่เพิ่งบอกเลิกสาวไปหมาดๆ ก้มลงมามองหน้าเธอ พอได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ สาวน้อยก็เบิกตาโพลง โลกกลมได้อย่างน่าเหลือเชื่อพอๆ กับน่าโมโห เพราะเด็กผู้ชายผิวขาวออร่า หน้าหล่อใสสไตล์โอปป้าเกาหลี จมูกโด่งเป็นสันปลายเชิดรั้น ริมฝีปากหยักลึก และนัยน์ตาตี่ทว่าร้ายๆ ที่กำลังยืนล้วงกระเป๋าเก๊กท่าหล่ออยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกันกับที่ลอยหน้ากวนประสาทเธอไปเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่วันนี้ผมของเขาไม่เป็นสีเทาแล้ว กลับมาทำสีดำถูกระเบียบโรงเรียน พอมองชุดกีฬาที่อีกฝ่ายสวมอยู่ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงทำหัวสีเทาได้ ก็เพราะเขาเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ ที่ค่าเทอมแสนจะแพง แถมอาจารย์โคตรเทพ ซึ่งเพิ่งจะเปิดเทอมไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โรงเรียนเขาเปิดหลังโรงเรียนเธอหนึ่งสัปดาห์ และถ้าเดาไม่ผิดพ่อกับแม่ของอีกฝ่ายคงจะเป็นผู้มีอุปการะคุณรายใหญ่ของโรงเรียนนั้นแหงๆ
พอโดนจ้องเอาๆ คิริมาก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบชอบกล รีบเก็บสมุดและปากกายัดใส่กระเป๋า แล้วตั้งท่าจะลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน หากว่าอีกฝ่ายไม่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ ไม่คิดจะขอบคุณกันสักคำเลยหรือไง”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
ท่าทางเย็นชาจนน่าโมโหทำให้พงษ์สวัสดิ์กลอกตาขึ้นฟ้า ก่อนจะสวนกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“คนเขาอุตส่าห์ช่วยจากเห็บหมาพวกนั้นยังไม่สำนึกอีก”
“ถึงนายไม่ช่วยฉันก็หาทางเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” สาวแว่นยักไหล่ทำหน้าตาย
ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้เขานึกหมั่นไส้ มุมปากหยักกระตุกยิ้มมาดร้าย ครั้นเธอตั้งท่าจะบิดข้อมือให้หลุดพ้นจากอุ้งมือ เขาก็จงใจบีบรัดให้แน่นเข้า แล้วกระชากแรงๆ จนร่างบางปลิวไปตามความยาวของม้านั่งเกือบปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งที่ยืนค้ำหัวเธออยู่ จากนั้นเขาก็ก้มลงเอ่ยเสียงเข้มๆ
“อวดดี!”
“ใช่ ฉันอวดดี พอใจหรือยัง ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อย”
“ไม่ไปขึ้นสแตนด์กับเขาหรือไง” แทนที่จะปล่อยเขากลับชวนคุยอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งการดึงมือของเธอไปแนบอกกว้างก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักรุนแรง ก่อนจะเค้นเสียงแข็งๆ โต้ตอบ
“ไป”
กล่าวจบคิริมาก็บิดข้อมือจนหลุด ลุกขึ้นจากม้าหินอ่อน แล้วก้าวเดินจากไป ทำให้คนที่ไม่เคยถูกเมินถึงกับอ้าปากค้าง แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันเข่นเขี้ยวเดินตามหลังยัยแว่นหน้าจืด
“เฮ้!”
ครั้นทนไม่ไหวเขาก็ร้องเรียก แล้วคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อกีฬาของคนที่ก้าวอาดๆ โดยไม่สนว่าจะมีหนุ่มฮอตอย่างเขาเดินล้วงกระเป๋าตามมาท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ
พงษ์สวัสดิ์กระชากคอเสื้อจากทางด้านหลังจนอีกฝ่ายเซมาปะทะแผงอก ทำเอาคิริมาทำหน้าตื่น เงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องรีบหลับตาปี๋ เมื่อคนที่ตัวสูงกว่าก้มลงมาหา แล้วจงใจกระซิบ
“โรงยิมอยู่ทางนี้ต่างหากล่ะ” ขาดคำคนที่เคยมาแข่งบาสที่โรงเรียนนี้แล้วหนหนึ่งก็จัดการลากแขนเรียวติดมือไป โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะขืนกายต่อต้านแต่อย่างใด เห็นท่าไม่ดีคิริมาก็ร้องประท้วง
“ฉันจะไปส่งการบ้าน…ปล่อย!”
วินาทีถัดมาเขาก็ปล่อยมือจากแขนเธออย่างง่ายดาย ส่งผลให้คนถูกคุกคามถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าไม่นานกลับต้องเบิกตากว้าง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และยืนขาตายอยู่ตรงนั้น เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็เดินเข้าประชิดแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วเอ่ยเป็นเชิงสั่งด้วยท่าทางเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ
“ไปสิ…จะไปส่งการบ้านไม่ใช่เหรอ”
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน”
คิริมาสบตาร้ายๆ ของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ แล้วเชิดหน้าสวนกลับเสียงแข็งๆ ทำเอาหนุ่มฮอตเดาะลิ้นด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ เห็นเธอก้าวหนีเขาก็ก้าวตามอย่างหน้าตาเฉย และการกัดไม่ปล่อยก็ทำให้คนที่เดินลิ่วไปข้างหน้าถึงกับหยุดฝีเท้าลง หันขวับกลับมายังเบื้องหลัง เห็นดังนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็เลิกคิ้วท้าทาย ก่อนจะแทบหน้าหงายเมื่ออีกฝ่ายมองเขาคล้ายรำคาญเสียเต็มประดา แล้วเค้นเสียงกระด้างออกมา
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
ยัยแว่นสุดเชยสาดถ้อยคำชวนหงุดหงิดงุ่นง่านพอๆ กับเสียหน้าใส่หนุ่มหล่อสุดป็อปที่สาวๆ ซึ่งอยู่บริเวณนั้นต่างมองตาปรอย แล้ววิ่งจากไปชนิดไม่เหลียวหลัง
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่นตัวแสบ! เจอกันครั้งหน้าฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
พงษ์สวัสดิ์คำรามด้วยความเดือดดาลสุดขีด หมายมาดว่าหากเจอกันอีกหนเขาจะแกล้งจนยัยเชยจอมเย็นชานั่นสติแตก หรือไม่ก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งจนหาทางกลับบ้านไม่เจอกันเลยทีเดียว
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







