คำว่าปฏิรูปและปรับโครงสร้างนั้น สำหรับขุนนางจำนวนมากแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ผู้ที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีใครเลยที่เป็นคนเขลาหรือไร้ประสบการณ์ถึงจะไม่เคยกินหมู อย่างน้อยก็เคยเห็นหมูวิ่งแม้ไม่เคยเห็นหมูวิ่ง อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินว่ามีหมูอยู่จริงคำว่าปฏิรูปคำนี้ ในประวัติศาสตร์ของแต่ละราชวงศ์ ถือเป็นคำต้องห้าม เพราะนั่นคือการสั่นคลอนระเบียบเก่าและการตั้งต้นระเบียบใหม่ ซึ่งมักไม่มีวันเกิดขึ้นโดยง่าย โดยปกติแล้ว เมื่อราชวงศ์หนึ่งก่อตั้งขึ้น ระบบระเบียบจะถูกกำหนดไว้แต่ต้น และมักจะดำรงอยู่อย่างนั้นไปจนถึงวาระสุดท้ายโดยไม่เปลี่ยนแปลงเหตุผลนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง มิใช่จะอธิบายให้เข้าใจได้ในสองสามประโยคแต่โดยสรุปก็คือ ในสายตาของคนโบราณ การเปลี่ยนแปลงระบบที่ปู่ย่าตายายตั้งไว้คือการผิดธรรมเนียม ผิดความกตัญญู อีกทั้งการปฏิรูปต้องอาศัยอำนาจ ความกล้าหาญ และบารมีอย่างล้นเหลือ จักรพรรดิต้องมีอำนาจควบคุมราชสำนักอย่างแน่นหนา และมีใจใฝ่ก้าวหน้าอย่างแท้จริง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรคและแรงต่อต้านนับไม่ถ้วนไปได้ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า เมื่อแลกกับคว
ประตูข้างของพระที่นั่งไท่เหอ หลี่เฉินทรงชุดองค์รัชทายาทประดับมังกรทอง ก้าวขึ้นบันไดอย่างองอาจด้วยอิริยาบถทรงพลัง ก่อนจะหยุดยืนข้างบัลลังก์มังกร“พวกกระหม่อม คาราวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”“องค์รัชทายาทพันปี พันปี พันๆ ปี!”เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ นำโดยจ้าวเสวียนจีและซูเจิ้นถิง พากันก้มคำนับถวายบังคมพร้อมเสียงโห่ร้องกึกก้องหลี่เฉินยกมือขึ้นกล่าวว่า “ขุนนางทุกท่าน ลุกขึ้นเถิด”เมื่อเสร็จพิธีตามธรรมเนียม ประชุมเช้าในวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการสายตาหลี่เฉินกวาดมองไปรอบๆ พบว่าขุนนางที่มาร่วมวันนี้หายไปจากเดิมถึงหนึ่งในสามพวกที่หายไป ล้วนไม่ต้องเดาให้มาก ก็เป็นเหล่าวิญญาณที่ถูกประหารภายใต้คมดาบของหัวเสือหลี่เฉินหยุดพักหายใจเล็กน้อย แล้วเริ่มกล่าวขึ้นว่า “ช่วงที่ผ่านมา ในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมากมาย พวกท่านล้วนทราบดีอยู่แล้ว”ทั่วพระที่นั่งเงียบสงัด มีเพียงเสียงของหลี่เฉินดังก้องกังวานสะท้อนกับเสาหินแกะสลักมังกร“อดีตจ้าวอ๋อง องค์ชายแปด หลี่อิ๋นหู่ ได้ก่อการขบถ ลุกฮือขึ้นต่อต้านแผ่นดิน โชคดีอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพวกท่าน ขณะนี้เรื่องก็ได้ยุติลงแล้ว”คำพูดประ
“สวีฉังชิงหรือ?”หลี่เฉินในขณะถูกวั่นเจียวเจียวช่วยแต่งองค์ก็เดินมาถึงโต๊ะ หยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมาเริ่มรับประทานอาหารเช้าระหว่างกินโจ๊ก หลี่เฉินก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เขาว่าอะไรบ้าง?”“เขาพา รองหัวหน้าสำนักจานซื่อมาด้วย คงอยากหาทางจัดวางตำแหน่งที่ดีให้หลานตัวเองกระมัง”วั่นเจียวเจียวกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนไม่น้อยนางรู้สึกว่าสวีฉังชิงออกจะได้ใจเกินไปแล้วฝ่าบาทเมตตาขนาดนี้ กลับยังไม่รู้จักพอหลี่เฉินถลึงตาใส่วั่นเจียวเจียว “ห้ามพูดจาเหลวไหล”วั่นเจียวเจียวแลบลิ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกหลี่เฉินคีบแป้งแผ่นขึ้นมากินคู่กับโจ๊ก พลางกล่าวว่า “สวีฉังชิงไม่มีบุตร สวีจวินโหลวเป็นหลานชายคนเดียว เขาจึงเลี้ยงดูราวกับลูกแท้ๆ”“สวีจวินโหลวยังหนุ่ม ยังมีไฟ ย่อมอยากแสดงความสามารถ มีโอกาสก็ไม่ยอมพลาด”“สองข้อนี้ ล้วนเข้าใจได้ดีทั้งนั้น”“แค่จุดตั้งต้นต่างกันเท่านั้น หาใช่ความผิดไม่ เจ้าอย่าพูดจาลับหลังผู้คนอีก”วั่นเจียวเจียวออดอ้อนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง”“พูดกับข้าก็ยังพอไหว แต่หากเจ้าพูดบ่อยเข้า กลายเป็นนิสัย แล้วมีผู้หวังร้ายได้ยินเข้า จะหาว่าเจ้าเย่อหยิ่งลำพ
สวีจวินโหลวรู้สึกว่าสวีฉังชิงพูดเกินไป จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นกระมัง?”“ไม่ร้ายแรงหรือ?”สวีฉังชิงหยุดฝีเท้า หันมาจ้องหน้าสวีจวินโหลวแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับวั่นเจียวเจียวเป็นอย่างไร ต่อให้ไม่มีอะไรส่วนตัวระหว่างกัน แต่วั่นเจียวเจียวรู้ความลับของฝ่าบาทมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่านางจะยังมีโอกาสแต่งงานกับใครได้หรือ? เจ้าคิดว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเพียงพอจะได้นาง? ใครเล่าที่กล้ารับนางเป็นภรรยา?”เขาถลึงตาใส่สวีจวินโหลวที่ยังคงยืนงงอยู่อย่างดุดันแล้วกล่าวต่อ “วันนั้นหน้าตำหนักเฉียนชิง ตอนที่ซานเป่าสิ้นใจ ข้าอยู่ตรงนั้นด้วย คำขอสุดท้ายของเขา ก็คือขอให้ฝ่าบาทเมตตาต่อวั่นเจียวเจียว เรื่องนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกใช่หรือไม่?”สวีจวินโหลวรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังความรู้สึกดีที่เริ่มก่อตัวในใจเขาต่อวั่นเจียวเจียวเมื่อครู่มลายหายสิ้นไปทันที เขารีบพยักหน้ารัวๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ท่านอาวางใจได้ ข้าจะไม่คิดเรื่องแม่นางวั่นอีกแม้แต่น้อย!”เห็นเขาพูดจริงจัง มิใช่พูดเอาตัวรอด สีหน้าของสวีฉังช
“สิ่งที่เจ้าควรทำที่สุดไม่ใช่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือไปที่ใด”สวีฉังชิงหันไปมองสวีจวินโหลวแล้วกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าควรทำที่สุด คือทำให้ดีในสิ่งที่ฝ่าบาททรงคาดหวังให้เจ้าไปทำให้สำเร็จต่างหาก”สวีจวินโหลวชะงักไปครู่หนึ่งสวีฉังชิงเดินนำไปพลางพูดว่า “ข้าเองก็เพราะเป็นห่วงจึงใจร้อนไปหน่อย ในเมื่อเรื่องนี้ตัดสินแล้ว ก็อย่าแบกภาระทางความคิดไว้มากนัก ทำตามพระบัญชาของฝ่าบาทก็พอ แม่นางวั่นก็พูดมีเหตุผล ข้ากับเจ้าล้วนเป็นขุนนางรับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงทอดทิ้งพวกเราได้หรือ?”สวีจวินโหลวเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร เดินตามหลังสวีฉังชิงกลับบ้านไปอย่างเงียบๆเพียงแต่ในหัวของเขานั้น ภาพใบหน้ายิ้มพรายในแสงตะเกียงของวั่นเจียวเจียวยังคงวนเวียนไม่หยุดราวกับถูกดลใจ สวีจวินโหลวจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ท่านอา ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษา”สวีฉังชิงหันไปมองเขาหนึ่งแวบ “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”แต่สวีจวินโหลวเพียงแค่จะอ้าปาก ใบหน้าก็แดงซ่านขึ้นมาเสียก่อนสวีฉังชิงซึ่งผ่านโลกมามาก อีกทั้งยังช่างสังเกต เห็นท่าทีของหลานชายก็หัวเราะออกมาแล้วว่า “หึ หรือว่าเจ้ามีคนที่หมายปองอยู่แล้ว?”สวีฉังชิงหัวเร
“แล้วจะทำอย่างไรได้อีก!”สวีฉังชิงโกรธจนแทบระเบิด ลุกขึ้นลากสวีจวินโหลวออกจากบ้าน “ตามข้าไปตำหนักบูรพาเดี๋ยวนี้!”สองอาหลานรีบร้อนพากันมาถึงตำหนักบูรพา แต่เพิ่งจะถึงหน้าประตูก็ถูกสั่งห้ามเข้า“หยุด! ตำหนักบูรพาเป็นสถานที่สำคัญ ห้ามบุกรุก!”เมื่อได้ยินเสียงองครักษ์ตะโกนห้าม สวีฉังชิงรีบลดท่าทีลง คารวะด้วยความสุภาพแล้วกล่าวว่า “ข้าคือสวีฉังชิงแห่งกรมครัวเรือน มีเรื่องด่วนจะขอพบท่านรัชทายาท ขอท่านช่วยกรุณาแจ้งให้ด้วยเถิด”องครักษ์เดินเข้ามาใกล้ พอเห็นว่าเป็นสวีฉังชิงจริงๆ สีหน้าก็อ่อนลงมาก เอ่ยว่า “ยามนี้ฝ่าบาททรงพักผ่อนแล้ว ใต้เท้าสวีมีเรื่องใด ไว้พรุ่งนี้ค่อยพบจะดีกว่าไหม?”สวีฉังชิงฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ขอความกรุณาแจ้งให้ฝ่าบาททราบสักครั้งเถิด”องครักษ์รู้ว่าสวีฉังชิงเป็นคนโปรดในตำหนักบูรพา จึงไม่ทำให้ลำบากใจนัก พยักหน้าแล้วว่า “งั้นขอให้ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปแจ้งให้”“ขอบคุณมาก” สวีฉังชิงคารวะอีกครั้งไม่นาน องครักษ์ก็กลับออกมา โดยมีวั่นเจียวเจียวเดินตามออกมาด้วยนางยืนอยู่ภายในประตู มองสวีฉังชิงด้วยรอยยิ้มพลางถามว่า “ใต้เท้าสวีมาเยือนตำหนักบูรพาดึกดื