หลี่เฉินยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “บัญชาการน่ะเหรอ ข้าแน่ใจเลยว่าไม่ทำหรอก เรื่องของมืออาชีพ ก็ให้มืออาชีพทำไป เจ้าดูข้าแล้วคิดว่าข้าเหมาะจะบัญชากองทัพนับล้านไหมล่ะ?”หวงจี๋เทียนส่ายหน้าทันที “ไม่เหมาะ”“แต่เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้าจะจารึกนาม ณ เขาอู่ซวี…”“ใครจะบัญชาก็ช่าง แต่ผลงานนั้นต้องเป็นของข้า เข้าใจไหม?”หลี่เฉินมองหวงจี๋เทียนด้วยแววตาเวทนา “เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่แปลก เพราะเจ้าก็แค่ องค์ชายธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น เรื่องวิธีคิดแบบจักรพรรดิ กลยุทธ์แบบเจ้าผู้ครองแผ่นดิน เจ้าก็ยังไม่อาจเข้าถึง เสด็จพ่อของเจ้าล่ะก็ ต้องเข้าใจแน่นอน”หวงจี๋เทียนถึงกับกระโดดลั่น “หลี่เฉิน! เจ้าอย่าล้ำเส้นนักนะ!”“ฮ่าๆๆ”หลี่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ รีบกลับไปติดต่อเสด็จพ่อของเจ้า พรุ่งนี้ข้าต้องการคำตอบ”เขาตบไหล่หวงจี๋เทียน พลางพูดว่า “บอกเสด็จพ่อของเจ้าด้วยว่า ศึกนี้คือศึกของเหลียวต่อฉิน แต่เกี่ยวพันโดยตรงถึงความอยู่รอดของแคว้นจิน”“วิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ต้องกว้างเข้าไว้”กล่าวจบ หลี่เฉินก็เดินจากไปจากเรือนรับรองอันอบอุ่นงดงามแห่งนั้นที่นั่นเป็นสถานที่ที่ชายใดก็ใฝ่ฝัน แต่หลี
“เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไมกัน!?” หวงจี๋เทียนโกรธจัดตะโกนลั่นเขารู้สึกว่าสายตาของหลี่เฉินเป็นการดูถูกเขาอย่างที่สุดหลี่เฉินชี้ไปทางด่านเย่ว์หยา พลางกล่าว “ตอนนี้กองทัพเกราะม้าหกแสนของเหลียวกำลังบุกด่านเย่ว์หยาอยู่ ไม่แน่ว่าในขณะที่ข้ากำลังพูดกับเจ้านี่แหละ หรือไม่ก็พรุ่งนี้ ด่านเย่ว์หยาก็อาจแตกแล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่ดอกเก๊กฮวยก็เย็นชืดแล้ว ข้าจะไปรอพึ่งพาเจ้าได้อย่างไร?”หวงจี๋เทียนแค่นหัวเราะ “อย่ามาแกล้งพูดเช่นนี้เลย แต่เดิมเจ้าก็วางแผนจะปล่อยพวกเขาเข้ามาแล้วล้อมสังหารไม่ใช่หรือ? ตอนที่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหว เจ้ากล้ายิ่งนัก วางแผนฟ้าแทงดินเช่นนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มแล้ว เจ้ากลับกลัวขึ้นมาหรือ?”“มิได้กลัว”หลี่เฉินกล่าว “เรื่องเช่นนี้ ต้องมีความเป็นฝ่ายรุกถึงจะมีความหวังที่จะสำเร็จ ดังนั้นเงื่อนไขของการปล่อยให้เข้ามาคือต้องเป็นข้าที่ปล่อยไม่ใช่พวกเขาบุกทะลวงเข้ามาเอง หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ห้ามพวกเขาไม่ได้ ฆ่าหมดน่ะฆ่าได้อยู่ แต่จะเป็นใครฆ่าใคร ยังบอกไม่ได้หรอก”หวงจี๋เทียนยิ้มเย้ย “แล้วถ้าข้าตั้งใจแน่วแน่จะนั่งดูเสือสู้กันล่ะ?”“ได้เลย!”หลี่เฉินตบมือดังฉาด หัวเราะลั
“ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้เป็นข้าที่เป็นคนเอ่ย ก็ต้องโยงเข้าไปถึงการแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายแน่ๆ องค์ชายที่โตแล้วแต่ละคนล้วนมีธงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ความเห็นที่ข้าเสนอ ต่อให้ถูกต้องเพียงใด หากเป็นธงที่หนุนองค์ชายคนอื่น ก็จะต้องลุกขึ้นมาคัดค้านแน่ๆ”“ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ข้ายอมทุ่มเทความพยายาม ก็เกรงว่าหวังจะมากคงยากอยู่ เพราะเรื่องนี้มันใหญ่เกินไปจริงๆ”“ไม่เหมือนกับตอนก่อนที่ช่วยเจ้ารักษาอำนาจ อาวุธลับเสวี่ยตีจื่อมาให้ ข้าแค่กราบทูลเสด็จพ่อก็พอแล้ว แต่เรื่องศึกใหญ่ของชาติ ที่ต้องยกทัพนับแสนเพื่อแคว้นฉินของเจ้า แม้จะมีเหตุผลเรื่องริมฝีปากหายแล้วฟันหนาว แต่ผู้คนมากมายสายตาสั้นนัก เจ้าจะทำอะไรได้?”หวงจี๋เทียนร้อนรนขึ้นมาจริงๆเขาพูดออกมาทั้งน้ำเสียงจริงจัง แม้กระทั่งเรื่องขัดแย้งภายในแคว้นจินเองก็ยอมเปิดเผยหลี่เฉินฟังจบ ก็ยกมือโอบคอหวงจี๋เทียนกลับมา ยิ้มตาหยีพลางพูดว่า “ใครบอกว่าไม่มีทาง? ข้านี่แหละมีทาง”หลังจากบทเรียนก่อน หวงจี๋เทียนก็ไม่หลงกลรีบโต้กลับอีก เพียงแต่มองหลี่เฉินด้วยสายตาสงสัย“เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไม? ข้าเพิ่งทำอะไรไป เจ้าไม่รู้หรือ? แม้แต่ตอนนอนฟังดนตรีอยู่ใน
“เจ้า…เจ้า! เจ้า!”หวงจี๋เทียนชี้หน้าหลี่เฉิน ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ “เจ้านี่มันเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอนโดยแท้!”“โอ้โห พวกขี้นอกยังเล่นคำด่าคนเป็นด้วยรึ?”หลี่เฉินหัวเราะลั่น “อย่างไรเสีย สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”หวงจี๋เทียนหน้าดำเป็นถ่าน “ข้าจะว่าอย่างไรได้เล่า ในแผ่นดินข้าก็ไม่มีใครเห็นด้วย เสด็จพ่ออาจอยากจะรบก็จริง แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ไม่น่าจะยอมง่ายๆ เรื่องในราชสำนักมันซับซ้อน ทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตนเอง ถึงขั้นมีบางกลุ่มอยากจะเป็นพันธมิตรกับแคว้นเหลียวเสียด้วยซ้ำ คิดจะยกทัพล้มต้าฉินของเจ้าก่อน เจ้าจะให้ข้ากลับไปพูดยังไง?”“หลักแห่งริมฝีปากหายแล้วฟันจะหนาว พวกแคว้นจินของเจ้าไม่มีใครเข้าใจหรือ? ในสามแคว้นนั้น เหลียวแข็งแกร่งที่สุด เราสองแคว้นมีพลังสูสี หากคิดจะร่วมมือก็ต้องร่วมมือกับข้าเพื่อสู้กับแคว้นเหลียวต่างหาก การร่วมมือกับเหลียว เจ้ายังไม่เข็ดหรือ?”“ต่อให้พวกเจ้าทุ่มทั้งแคว้นช่วยเหลียวล้มต้าฉินของข้าได้จริง แต่ดินแดนจงหยวนไม่เคยถูกต่างชาติปกครองตลอดหลายพันปี แม้แต่ราชวงศ์ล่มสลาย ชาวบ้านชาวช่องก็ลุกขึ้นเป็นวีรบุรุษนับไม่ถ้วน ตอนนั้นพวกเจ้าจะต้องเผชิญกับ
สีหน้าหยอกเย้าของหวงจี๋เทียนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมาดังลั่น “เจ้าช่างชอบล้อเล่นนัก แต่เรื่องเช่นนี้ อย่านำมาล้อเล่นเลย ข้าว่าคนเขาจะตกใจตายเอา”หลี่เฉินหันศีรษะไปมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผู้ใดล้อเล่นกับเจ้ากัน? ข้าจริงจังมาตลอด”ครานี้หวงจี๋เทียนหัวเราะไม่ออกจริงๆเขาพิจารณาใบหน้าของหลี่เฉินอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่อาจเห็นเค้าลางของการล้อเล่นแม้แต่น้อย หวงจี๋เทียนสะบัดมือหลี่เฉินออกทันที“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!? กองทัพเกราะม้าหกแสนนั้น ใช่สิ่งที่เอามาล้อเล่นได้หรือ? ขอพูดตรงๆ เลยนะ กองทัพเกราะม้าหกแสนของแคว้นเหลียวล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น หากนำออกมาเพียงลำพัง ก็อาจล้มต้าฉินของเจ้าและแคว้นจินของข้าได้ไม่ยาก!”“ก็เพราะเช่นนั้นจึงต้องกลืนมันเสีย”หลี่เฉินแบมือกล่าว “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปล้างก้นรอให้กีบม้ากองทัพทหารเหลียวเหยียบเอาเถอะ?”หวงจี๋เทียนโมโหจนหัวเราะออกมา “เจ้าพูดจาเหลวไหล!”“เลิกพูดจาไร้สาระ พวกเจ้าแคว้นจินส่งทหารสามแสน ข้าต้าฉินส่งสี่แสน รวมเป็นเจ็ดแสน ลองสู้กับเหลียวดูสักครั้ง!”หลี่เฉินสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ศึกนี้ ถ้าไม่ใช่เราสองฝ่ายพินาศ ก็ต้องเป็นแคว้น
หวงจี๋เทียนหัวเราะเสียงดัง “องค์รัชทายาทต้าฉินยังว่างถึงขนาดห่วงใยข้าด้วยหรือ?”“ข้าไม่ว่างนักหรอก”หลี่เฉินก้าวมายังระเบียง หยุดยืนข้างหวงจี๋เทียน มองเมืองหลวงที่ลอยอยู่ในม่านฝน สูดหายใจลึก หลังฝนตกต่อเนื่องหลายวัน อากาศยิ่งเย็นสดชื่นราวกับความเย็นซึมผ่านโพรงจมูกลงปอด แล่นขึ้นสู่ศีรษะ ทำเอาทั้งคนสดชื่นขึ้นทันใด“แท่นเยียนไถเมื่อมองไกล ใจแขกพลันสะท้าน เสียงกลองแตรกึกก้อง ค่ายทหารฮั่นไหวไหว หมื่นลี้แสงเย็นปกคลุมหิมะขาว สีรุ่งสามชายแดนสะบัดธงกรานภัย ควันศึกในทะเลทรายพาดจันทร์แดนเถื่อน หมู่เมฆขาวล้อมเมืองจีริมหาดไกล แม้ข้าเยาว์หาได้เป็นเสนาบดีผู้วางพู่กัน ขอเพียงชิงเชือกยาวผูกขุนศึกไว้!”หลี่เฉินเอ่ยบทกวี ‘ทอดมองจี้เหมิน’ ออกมา น้ำเสียงสง่างาม บทกวีเปี่ยมด้วยสำนวนสูงส่ง ใครได้ยินย่อมทราบทันทีว่าเป็นผลงานของผู้เชี่ยวชาญตัวจริงหวงจี๋เทียนฟังช่วงแรกก็ยังพยักหน้าชมชอบ แต่พอฟังถึงช่วงหลัง สีหน้ากลับมืดลงบทกวีบทนี้ยืมภาพบรรยากาศเพื่อเปรียบเปรยถึงตัวบุคคล ความมุ่งมั่นใฝ่ศึกของผู้เขียนนั้น ชัดเจนราวกับตบหน้าเขาในฐานะ ‘คนป่าเถื่อน’“องค์รัชทายาทต้าฉิน ไม่เกินไปหน่อยหรือ? แค่ร่ายบทกวีถึงกั