เฉินทงราวกับตื่นจากฝัน รีบลุกขึ้นแล้วตามวั่นเจียวเจียวไปทันทีหน้าตำหนักบูรพา หลี่เฉินกับวั่นเจียวเจียวเดินนำหน้า เฉินทงตามหลังมาพร้อมกับองครักษ์เสื้อแพรทั้งลับและแจ้งกลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันหลี่เฉินหันไปมองเฉินทงด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วกล่าวกับวั่นเจียวเจียวว่า “เจ้าเฉินทงผู้นี้ บางครั้งก็ปัญญาทึบเกินไป”วั่นเจียวเจียวยิ้มบางเบา กล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะเฉลียวฉลาดได้เท่าฝ่าบาทหรอกเพคะ”หลี่เฉินยกมือเคาะศีรษะนางหนึ่งที พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “รู้ว่าเจ้าเห็นแก่บิดาบุญธรรมของเจ้า เลยรู้สึกสนิทกับเฉินทง ตัวเราเองก็ไม่ถือสาเจ้า ถือว่าเข้าใจได้”“ไป บอกเฉินทง ให้ส่งคนไปตามสวีจวินโหลว เจิ้งเป่าหรง กับหลิวซือฉุนมา เสมือนหมูจริงๆ ทุกเรื่องต้องให้เราคอยเตือนถึงจะรู้ว่าต้องทำอะไร”วั่นเจียวเจียวเอามือกุมหน้าผาก แลบลิ้นใส่หลี่เฉิน ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปด้านหลังเพื่อไปส่งข่าวหลี่เฉินส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจเขายิ่งคิดถึงซานเป่ามากขึ้นหลี่เฉินเดินเท้าออกจากตำหนักบูรพา ส่วนพวกมือดีที่เฉินทงส่งไปก็แทบจะลากแขนของสวีจวินโหลวกับเจิ้งเป่าหรงวิ่งมาตามกันทั้งสองคนกำลังผลัดเปลี่ยนงานกันอยู่
พระที่นั่งข้างของพระที่นั่งสีเจิ้งในตำหนักบูรพา หลี่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วกล่าวกับเฉินทงที่ยืนโค้งกายอยู่เบื้องหน้าว่า “ข่าวลือต่างๆ ในเมืองหลวง เจ้าอย่าได้ใส่ใจ เรื่องใหญ่เพียงนี้ ต่อให้ปิดก็ปิดไม่มิด ขอเพียงควบคุมไว้ไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกก็พอแล้ว”เฉินทงกล่าวอย่างเคารพว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันนึกถึงแนวคิดการโฆษณาก่อนสงครามในชาติก่อน จึงกล่าวว่า “ให้คนของหน่วยบูรพาไปหานักเล่านิทานตามชาวบ้าน ให้พวกเขาแต่งเรื่องเล่าให้มากเกี่ยวกับการรุกรานของแคว้นเหลียว การรังแกอารยธรรมจงหยวนของเรา จะดัดแปลงจากประวัติศาสตร์จริงก็ได้ หรือจะกุขึ้นล้วนๆ ก็ไม่เป็นไร สรุปคือ ต้องปลุกความเคียดแค้นของราษฎรทั้งแผ่นดินต่อแคว้นเหลียวให้ลุกโชนขึ้นมา”เฉินทงเองก็เป็นคนหัวไว เมื่อหลี่เฉินพูดเช่นนี้ เขาก็เข้าใจทันทีดวงตาสว่างวาบ เฉินทงกล่าวออกมาอย่างจริงใจว่า “ฝ่าบาทหลักแหลมยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”“จำต้องทำเช่นนี้”หลี่เฉินถอนหายใจพลางกล่าว “กรมครัวเรือนส่งฎีกาขึ้นมาแล้ว เกินครึ่งล้วนแต่เป็นการคร่ำครวญ การจะจัดหาเสบียงจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ย่อมเป็นการลำบากแก่พ
เห็นว่าสวีจวินโหลวมีท่าทีจริงใจ สวีฉังชิงจึงพยักหน้าเบาๆน้ำเสียงเขาอ่อนลง พูดว่า “เจ้าอย่าโทษว่าข้าเข้มงวดกับเจ้ามากนัก ความหวังของตระกูลสวีเรา ไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่เจ้า”สวีจวินโหลวได้ยินดังนั้นก็รีบพูดว่า “ท่านอา คำพูดนี้ของท่านรุนแรงเกินไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ของตระกูลเรา ล้วนต้องให้ท่านอาเป็นผู้ตัดสิน หลานยังเยาว์วัยนัก ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาอีกมาก”สวีฉังชิงกล่าวว่า “ตอนนี้แน่นอนว่าต้องให้ข้าช่วยกลั่นกรอง แต่ในอนาคตเล่า?”สวีฉังชิงวางฝ่ามือลงบนไหล่ของสวีจวินโหลว พูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งว่า “เจ้าลองคิดให้ดี ตอนนี้ขุนนางในราชสำนัก ล้วนมีอายุเท่าไรกันบ้าง? พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่เหลือจากรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน แม้ว่าภายนอกพวกสายคณะเสนาบดีจะดูเหมือนถูกสลายไปแล้ว แต่เบื้องหลังเล่า? แบ่งแยกกันตามเชื้อสาย ตามภูมิลำเนา ตามแนวคิดทางการเมือง แก๊งกลุ่มก้อนมากมาย แก่งแย่งแก้แค้นกันไม่สิ้นสุด มีมากมายเกินจะนับ”“การปฏิรูปใหม่ของฝ่าบาทครั้งนี้ เป็นก้าวแรกในการสลายพวกกลุ่มก้อนเหล่านั้น ต่อจากนี้ยังจะมีการเคลื่อนไหวอีกมาก แต่สรุปแล้วมีเพียงคณ
สวีจวินโหลวจำถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ พลางกล่าวว่า “ท่านอาวางใจเถิด หลานจะระมัดระวังให้มาก”พูดจบ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อทันที กดเสียงให้ต่ำลง “ท่านอา ท่านได้ยินเรื่องนี้หรือยัง? ด่านเย่ว์หยานั่น ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย?”สีหน้าสวีฉังชิงพลันเปลี่ยน แต่ไม่ตอบคำถาม กลับถามกลับแทน “เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใด?”สวีจวินโหลวยิ้มแหยๆ ตอบ “ก่อนหน้านี้หลานเป็นรองหัวหน้าสำนักจานซื่อ ประจำตำหนักบูรพา ย่อมมีข่าวบางอย่างเล็ดลอดถึงหูหลานบ้าง ได้ยินมาว่าเร็วๆ นี้ ฝ่าบาทมีราชโองการหลายฉบับ ล้วนส่งไปยังดินแดนกานและฉ่าน รวมถึงด่านเย่ว์หยา และกรมพระคลังยังได้รับพระบัญชาให้จัดหาทางระดมเสบียงจากทั่วทุกหัวเมือง?”“ใช่ ได้รับมาแล้ว”สวีฉังชิงพยักหน้า “และก็เริ่มดำเนินการแล้วตามพระบัญชา เสบียงจะเน้นการซื้อเป็นหลัก เกณฑ์เป็นรอง สิ่งสำคัญคือต้องไม่กระทบการดำรงชีวิตของราษฎร และห้ามทำให้ราคาท้องถิ่นผันผวนจนเกินควบคุม ราคาตลาดของข้าวสารต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบห้า และเมื่อรวบรวมได้แล้ว จะส่งตรงไปยังดินแดนกานและฉ่าน โดยมีผู้รับผิดชอบเฉพาะดำเนินการเข้าคลังเสบียง”สวีจวินโหลวถามอย่างตื่นเต้น “ท่านอา…นี่จะเกิดศึกใหญ่แล้
เหตุการณ์คล้ายคลึงกันเช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นแค่ในมณฑลซีซานเท่านั้น แต่ยังมีที่มณฑลหนานเหออีกด้วยที่ว่าการมณฑลหนานเหอ โจวผิงอันรับพระราชโองการจากมือขันทีอย่างเฉื่อยชาไม่มีเงินปึกแนบมือ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเพียงกล่าวคำขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็หันไปสั่งให้คนเปลี่ยนป้ายเป็นจวนผู้สำเร็จราชการมณฑลทันทีขันทีรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย แต่พอคิดถึงตำแหน่งใหม่ของชายผู้นี้ ก็จำต้องฝืนหน้าหนามาเอาใจสักสองสามประโยค“ใต้เท้าโจว ขอแสดงความยินดีด้วย”โจวผิงอันไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง แค่ตอบเสียงในลำคอว่า “อืม”อืม!?ขันทีไม่เคยพบใครที่รับราชโองการเลื่อนตำแหน่งอย่างไม่ใยดีถึงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเตือน “ใต้เท้าโจว ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายภาษีถือเป็นตำแหน่งใหญ่ ต้องควบคุมรายได้ทั้งแผ่นดิน งานนี้ไม่ง่ายเลย ถึงแม้ฝ่าบาทจะสนับสนุนท่าน แต่ตามต่างจังหวัดห่างไกลจากเมืองหลวง อาจมิได้ให้เกียรติตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายภาษีเท่าไร ดังนั้นใคร่ขอใต้เท้าโจวโปรดระมัดระวังให้มาก”คราวนี้โจวผิงอันหันมามองเขาหนึ่งแวบแต่ก็เป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็หันกลับไปอีก“อืม”เห็นโจวผิงอันเย็นชาขนาดนี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินก็หัวเราะ “อืม ไม่เลว เป็นคำพูดจากใจจริง”“หากเจ้าบอกว่าคุ้นเคย ข้าคงคิดว่าเจ้ากำลังหลอกข้า เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมกะทันหัน ยังต้องสูญเสียอิสระด้วย อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าแต่ก่อนเจ้าพักอยู่ในจวน หากอยากออกไปข้างนอก พ่อของเจ้าก็ไม่เคยห้าม เพียงแต่ส่งคนอารักขาให้เจ้าอย่างดี แต่ในวังนั้นต่างกัน เจ้าคือพระชายารัชทายาท แค่จะก้าวออกจากวังก็ยากลำบากเหลือเกิน”ซูจิ่นพ่าตอบอย่างหงุดหงิด “ข้าจะหลอกเจ้าทำไมล่ะ ข้าก็แค่พูดตามจริงเท่านั้น”“ข้าหวังว่า ต่อจากนี้ไป จะได้ยินแต่คำพูดจากใจจริงจากเจ้า”หลี่เฉินลูบขมับเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ ข้าอยากได้ยินคำพูดจากใจจริงก็ยิ่งยากเข้าไปทุกที”“ผู้ที่อยู่สูงมักหนาวเหน็บรอบกาย คนที่อยู่รอบตัวเจ้ามีอยู่เพียงสองประเภท หนึ่งคือผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมประจบเจ้า อีกหนึ่งคือผู้ที่คอยวางแผนโค่นเจ้า ทั้งสองประเภทนี้ไม่มีวันพูดกับเจ้าด้วยใจจริง และในอนาคตที่พอคาดเดาได้ สภาพเช่นนี้จะยิ่งเลวร้ายลง ไม่มีวันดีขึ้นหรอก” ซูจิ่นพ่าพูดแทงใจโดยไม่ไว้หน้า“แต่ข้ายังมีเจ้า คนที่เข้าใจข้าอยู่นี่ไง” หลี่เฉินยิ้มทะเล้นซูจิ่นพ่าลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปพักกลางวัน