Share

บทที่ 27

Author: ไห่ตงชิง
ต้าสิงฮ่องเต้จ้องจ้าวเสวียนจี เขาหายใจแรงๆ ไปหลายหนถึงจะส่งสัญญาณสั่งให้จ้าวเสวียนจี และคนอื่นๆ ออกไป

หลังจากที่จ้าวเสวียนจีออกไปแล้ว ต้าสิงฮ่องเต้พลันหันไปมองหลี่เฉิน แล้วตรัสอย่างยากลำบากว่า “เจ้า ต้องเร่งมือ”

หลังตรัสจบ ต้าสิงฮ่องเต้ก็ทรงพระกาสะ

พระปับผาสะของเขาเกิดเสียงเฮือกๆ อันน่าตกใจออกมาราวกับลมรั่ว หลี่เฉินจึงรีบเรียกหมอหลวงเข้ามา

หลังจากที่หมอหลวงฝังเข็ม และรักษาด้วยโอสถให้กับต้าสิงฮ่องเต้แล้ว ถึงจะประสานมือพูดกับหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงบรรทมสลบไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เฉินมองฮ่องเต้ที่บรรทมอยู่บนเตียงมังกรด้วยสีพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษจนน่าตกใจ แล้วนึกถึงประโยคสุดท้ายที่เขาตรัสกับตนพลันเอ่ยถามอย่างรู้สึกไม่ดีว่า “เสด็จพ่อยังเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?”

หมอหลวงเผยสีหน้าไม่สู้ดีออกมาพลางตอบว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมขอพูดบางอย่างที่เสียมารยาทมาก อาการของฝ่าบาทเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงฝืนทนต่อไปไม่ได้แล้ว บัดนี้ ฝ่าบาทยังคงรักษาลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ เมื่อใดที่พระองค์ทรงปล่อยลมหายใจนี้ออกไป เมื่อนั้นก็คงเป็นวันที่พระองค์กลับสู่สวรรค์แล้ว…อย่างมากพระองค์คงอยู่ได้ไม
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Locked Chapter

Kaugnay na kabanata

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 28

    “ไม่ต้องมากพิธีหรอก”หลี่เฉินเอ่ยนิ่งๆ “เจ้ามาพบข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ แสดงว่าเตรียมของเรียบร้อยแล้วนั้นรึ?”หลิวซือฉุนไม่ลังเล หยิบจดหมายที่เต็มไปด้วยอักษรออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นให้กับหลี่เฉิน พลางตอบว่า “ในนี้มีรายละเอียดแผนการที่หม่อมฉันวางไว้ และมรดกทั้งหมดของตระกูลหลิวในตอนนี้ รวมไปถึงเส้นทางที่ตระกูลหลิวจะเดินในอนาคต ทุกอย่างล้วนเขียนไว้ในนั้นแล้ว”หลี่เฉินรับจดหมายมูลค่าสูงมาอ่านอย่างละเอียดยามไม่ได้อ่าน ก็ไม่รู้ แต่พออ่าน ก็ทำเอาหลี่เฉินตกใจสะดุ้งโหย่งทรัพย์สินมรดกของตระกูลหลิวกลับมีมากกว่าตระกูลหู และตระกูลเฉินเป็นหลายเท่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึดมาได้ของทั้งสองตระกูลรวมกันมีเพียงสิบสามล้านตำลึงเท่านั้น แต่ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีถึงเก้าล้านตำลึงแล้วซ้ำยังเป็นเงินสดทั้งหมด ส่วนที่นา ที่ดิน และร้านค้าอื่นๆ ที่เป็นของตระกูลหลิวก็มีมากกว่าตระกูลเฉิน และตระกูลหูด้วยพิจารณาจากความร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว ถือเป็นอันดับหนึ่งในสามตระกูลหลังจากอ่านรายละเอียดจบแล้ว หลี่เฉินพลันเงยหน้ากล่าวกับหลิวซือฉุนว่า “คืนร้านค้า และที่ดินทั้งหมดของตระกูลหลิวให้กับราชสำนัก แต่แบ่งคืนเงินสด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 29

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้นัยน์ตาของหลิวซือฉุนเผยความรู้สึกลนลานออกมาถึงจะเป็นสตรีแกร่งที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง แต่อย่างไรก็เป็นเพียงสตรีอายุยี่สิบต้นๆ ที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเผชิญกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายแฝงของหลี่เฉินแล้ว ทำให้นางรู้สึกกังวลใจโดยสัญชาตญาณหลิวซือฉุนพยายามเอ่ยอย่างแน่วนิ่ง “องค์รัชทายาท หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่คู่ควรต่อความเอ็นดูขององค์รัชทายาทเพคะ”มือของหลี่เฉินที่จับคางของหลิวซือฉุนอยู่สัมผัสลงมายังต้นคอของนาง แล้วลงไปถึงหัวไหล่ยาวไปจนถึงบริเวณเอวของนาง จากนั้นหลี่เฉินพลันออกแรงดึงที่แขน ทำให้หลิวซือฉุนถูกดึงเข้ามาในอ้อมอกของเขาทันที“เจ้าทำการค้าเก่งมาก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการลงทุนที่สำคัญที่สุดของสตรีคืออะไร?”ไม่รอให้หลิวซือฉุนตอบ หลี่เฉินพลันชิงพูดขึ้นว่า “นั่นคือการหาบุรุษที่แข็งแกร่งมากพอคนหนึ่ง”ดวงตาของหลิวซือฉุนแสดงออกถึงความดื้อรั้น นางกล่าวว่า “สตรีไม่จำเป็นต้องพึ่งบุรุษ ก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้เพคะ”“ก็จริง”หลี่เฉินเอ่ยนิ่งๆ “เทียบกับสตรีธรรมดาทั่วไปแล้ว เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีได้จริงๆ แต่ทว่าข้าขอถามเจ้า หากคร

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 30

    หลิวซือฉุนเงยหน้าขึ้น มองเห็นดวงตาเป็นประกายของหลี่เฉิน หัวใจก็สั่นสะท้านจากการได้สัมผัสในช่วงเวลาสั้นๆ หลิวซือฉุนรู้สึกได้ว่าองค์รัชทายาทตรงหน้าไม่เพียงแต่ฉลาดและลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมอ่อนข้อ นิสัยยังบ้าอำนาจและแข็งกร้านเป็นอย่างมากแน่นอนหากตนปฏิเสธ ทั้งตนและตระกูลหลิวจะมีจุดจบอย่างไรหลิวซือฉุนไม่กล้าคิดแต่หากยอมตกลง หลิวซือฉุนก็ไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆในยุคสมัยนี้ ความบริสุทธ์ของผู้หญิงมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของนาง แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงแกร่งและความคิดก็ก้าวหน้ากว่าผู้หญิงทั่วไปมากอย่างหลิวซือฉุน ก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของนางสามารถใช้เป็นข้อต่อรองได้“องค์รัชทายาท หากหม่อมฉันยินยอมพระองค์แล้วจะแตกต่างจากพวกผู้หญิงทั่วไปที่พอพระองค์เรียกก็มาสั่งไปก็ไปอย่างไร? พวกหญิงแบบนั้น องค์รัชทยาทมีมากเท่าที่ต้องการ ยังขาดหม่อมฉันคนหนึ่งอีกหรือเพคะ?”หลิวซือฉุนรวบรวมความกล้าพูดว่า “สิ่งที่ร่างกายของหม่อมฉันถวายให้พระองค์ได้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็สามารถทำได้ แต่ผลประโยชน์ที่หม่อมฉันนำมาสู่องค์รัชทายาทได้นั้น คนธรรมดาๆ ย่อมไม่มีวันทำ"“องค์รัชทายาททางพระปรีชาสามารถ บัญชีนี้ควรคำนวณใ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 31

    ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายก็ดังมาจากด้านนอกพระที่นั่งสีเจิ้ง จากนั้นสวีฉังชิงก็เปล่งเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจว่า “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท! กระหม่อมสวีฉังชิง มีเรื่องเร่งด่วนขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท!”เสียงตะโกนที่ไร้สัญญาณเตือนนี้ ได้ขัดจังหวะบรรยากาศที่หลี่เฉินจัดอย่างพิถีพิถันในพระที่นั่งสีเจิ้งหลิวซือฉุนราวกับได้รับนิรโทษกรรม นางวิ่งหนีเหมือนกระต่ายป่า ที่อยากจะหลบไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆ นางคำนับหลี่เฉินแล้วกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “หม่อมฉันขอทูลลาก่อนเพคะ”พูดจบ หลิวซือฉุนจึงเปิดประตูพระที่นั่งสีเจิ้ง ซึ่งบังเอิญกับสวีฉังชิงที่วิ่งถลาเข้ามา หลิวซือฉุนเหลือบมองสวีฉังชิงที่กำลังตื่นตระหนกแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินจากไปถ้าไม่วิ่งหนีตอนนี้ พรหมจรรย์ของนางก็คงจะหายอยู่ที่นี่แน่ขณะที่หลิวซือฉุนรอดพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด หลี่เฉินที่ตั้งปืนเตรียมจุดไฟ ก็เห็นเป็ดที่กำลังจะปรุงบินหนีไปแล้วเขาจ้องมองสวีฉังชิงอย่างไม่มีความสุข ระงับความโกรธในใจและพูดเสียงลอดไรฟันว่า “ถ้าวันนี้เจ้าไม่มีคำอธิบายดีๆ ข้าจะตัดหัวเจ้าทำเป็นกระโถน!”สวีฉังชิงกล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 32

    ลูกเตะนี้ หลี่เฉินเตะออกไปด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าสวีจิ่วอานจะหนักกว่าสองร้อยจิน แต่ก็ยังถูกหลี่เฉินเตะลงไปกลิ้งกับพื้น และนอนโหยหวนที่พื้น แม้ไหล่จะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่สวีจิ่วอานก็ไม่กล้าที่จะขุ่นเคืองใดๆ เขารีบพลิกตัวขึ้นมาคุกเข่าอย่างสั่นเทาต่อหน้าหลี่เฉิน แล้วโขกศีรษะลงบนพื้น พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ว่า “กระหม่อมฉันสมควรตาย กระหม่อมฉันสมควรตาย องค์รัชทายาทโปรดระงับความพิโรธ องค์รัชทายาทโปรดระงับความพิโรธ!”“ระงับความพิโรธ!?”หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ เขาชี้นิ้วไปที่สวีจิ่วอานแล้วตวาดว่า “ประชาชนในหล้าตกอยู่ในความยากลำบาก มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถกินอิ่มได้ แต่เจ้ากลับกินจนอ้วนเป็นหมู มองแวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นขุนนางกังฉิน และตอนนี้ก็กล้าหาญมากพอที่จะโจมตีเส้นทางลำเลียงเงินของท้องพระคลัง เพื่อขโมยเงินสี่ล้านตำลึง สวีจิ่วอาน แม้ข้าจะถลกหนังทั้งครอบครัวเจ้าก็ไม่อาจบรรเทาความโกรธนี้ได้!”สวีจิ่วอานหน้าซีด กล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “องค์รัชทายาทโปรดตรวจสอบอย่างชัดเจน กระหม่อมอ้วนตั้งแต่กำเนิด แค่ดื่มน้ำธรรมดาน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นแล้ว แม้ปกติจะโลภนิดหน่อย แต่กระหม่อมก็มิบังอาจไปแตะต้องเงินของคล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 33

    ดวงตาของเฉินทงเป็นประกาย เขาเลียมุมปากด้วยความตื่นเต้นและพูดว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ไปจัดการธุระซะ”หลี่เฉินพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจกระบวนการ แต่ดูที่ผลลัพธ์เท่านั้น ซานเป่าอายุมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นคนสนิทของเสด็จพ่อ ไม่ใช่คนสนิทของข้า เจ้าเข้าใจไหมว่า ข้าหมายถึงอะไร?”ใบหน้าไร้อารมณ์ของเฉินทงทอประกายความยินดีขึ้นมา เขากล่าวเสียงทุ้มว่า “กระหม่อมเข้าใจ”หลังเฉินทงเดินจากไป หลี่เฉินก็กลับไปที่พระที่นั่งสีเจิ้งด้วยสีหน้าจริงจังเขากำลังสงสัยว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้การคุมส่งเงินนั้น ไม่ต้องพูดถึงจำนวนมหาศาล คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าถึงมันได้ และแม้ว่าจะทำได้ ก็ไม่มีอำนาจหรือพลังที่จะจัดการมันได้อย่างสมบูรณ์แบบในเวลาอันสั้นต้องรู้ว่า ในอำเภอทงมีเงินสดมากมาย แม้แต่สวีฉังชิงก็เพิ่งทราบหลังจากที่นับมันแล้ว ดังนั้น ผู้ที่ริเริ่มเรื่องนี้ ไม่มีทางทราบเรื่องนี้ได้เร็วกว่าสวีฉังชิงแน่ และเมื่อคนแรกทราบข่าว ก็เตรียมการในเวลาอันสั้น หากไม่มีอำนาจมากพอ ก็ไม่มีทางทำได้ถ้าจะพูดถึงอำนาจ จ้าวเสวียนจีคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแต่หลี่เฉินกลับรู้สึกว่า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 34

    หลี่เฉินยิ้มแทนที่จะโกรธเขาเดินไปหาจ้าวเจ๋อโยวและพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้าจะยอมรับก็ดี หรือจะปฏิเสธก็ช่าง ข้าไม่สนใจ”“อย่าคิดว่าเจ้าจะตายอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องพูดอะไร เจ้าควรรู้เรื่องนี้ดี ในโลกนี้มีหลายวิธีที่ทำให้ผู้คนอยากตาย”จ้าวเจ๋อโยวได้ยินดังนั้น ก็มองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เย็นชา คล้ายกับจะเยาะเย้ย“ครอบครัวของเขาล่ะ?” หลี่เฉินถามไม่รอให้เฉินทงพูด จ้าวเจ๋อโยวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “อย่าเปลืองแรงเลย ภรรยาและลูกสาวของข้าเสียชีวิตเมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้าอยู่คนเดียว ถ้าจะบอกว่าจะสังหารคนในตระกูลของข้า สมาชิกตระกูลที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ข้าไม่รู้จักพวกเขาด้วยซ้ำ ท่านไม่สามารถใช้พวกเขามาข่มขู่ข้าได้”“ดี กระดูกแข็งดีมาก ข้าชอบ”หลี่เฉินพยักหน้า แล้วกวักมือเรียกเฉินทง“ไปเอาเข็มเงินมาสิบเข็ม โถน้ำผึ้งหนึ่งใบ และผึ้งฝูงหนึ่ง”เฉินทงชะงัก หรือว่าองค์รัชทายาทจะรู้วิธีทรมานคน? เฉินทงส่งคนไปนำสิ่งที่หลี่เฉินพูดถึงมาทันที โดยไม่คิดมากแม้ว่าการไปนำผึ้งมาจะเสียเวลาไปเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็วโดยองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา พวกเขาส่งสิ่งของให้กับหลี่เฉิน“ลากไอ้สุนั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 35

    หลี่เฉินหันศีรษะไปพูดกับเฉินทงที่ตกใจอยู่ข้างๆ ว่า “ไปเอาอ่างน้ำมาอีกหนึ่งอ่างและผ้าเช็ดตัวมากกว่าสิบผืน”เฉินทงรับคำสั่งทันที แล้วไปนำสิ่งที่หลี่เฉินต้องการมาในเวลานี้ จ้าวเจ๋อโยวมองไปที่หลี่เฉินด้วยสายตาหวาดกลัวสุดขีด เขาตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ทำไมล่ะ ทำไมกัน? เห็นได้ชัดว่าข้าเต็มใจที่จะสารภาพ แต่ทำไมท่านถึงยังทรมานข้าอยู่? ท่านเป็นมนุษย์หรือว่าปีศาจกันแน่!?”หลี่เฉินฟังหูซ้ายทะลุหูขวา สั่งเฉินทงอย่างใจเย็นว่า “นำผ้าเช็ดตัวไปชุบน้ำให้เปียก จากนั้นก็วางบนหน้าของเขาทีละผืนอย่างช้าๆ”เฉินทงไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างซื่อสัตย์ด้วยผลลัพธ์ของเข็มเงินก่อนหน้านี้ เขาจึงรู้สึกชื่นชมหลี่เฉินเป็นอย่างมากผ้าเช็ดตัวผืนนี้ดูน่ากลัวน้อยกว่าเข็มเงินมาก แต่เฉินทงรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่า ผลของสิ่งนี้อาจจะยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกเมื่อหันไปเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของจ้าวหรุ่ย หลี่เฉินก็ตบบั้นท้ายของนางแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป กลัวรึ?”จ้าวหรุ่ยจึงถามอย่างระมัดระวัง “องค์รัชทายาท เขายอมรับสารภาพแล้ว แต่ทำไมถึงยังทรมานเขาต่อ?”“คนเราหากไม่ถึงคราวสิ้นหวังจริงๆ ไม่มีทางพูดความจริงอย่างซ

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1069

    เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1068

    ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1067

    สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1066

    ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1065

    “ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1064

    เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1063

    ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1062

    “เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1061

    จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status