การต่อสู้ขั้นแตกหักเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ซึ่งทำให้หลายคนประหลาดใจการสู้รบในสมัยโบราณก็เป็นเช่นนี้ เนื่องจากความไม่สะดวกในการสื่อสาร จึงมักใช้เวลาหลายวันในการส่งข่าวการเดินทางกลับไปกลับมาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนดังนั้นตราบใดที่พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิทรราช การบัญชาการรบในสนามรบ แม่ทัพก็สามารถสั่งการได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้การรบในต่างแดนมีประสิทธิภาพที่สูงมากสถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์และเตรียมการจัดวางกำลังได้อย่างแม่นยำ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับระดับและความสามารถของผู้บัญชาการทหารในแนวหน้า และฝ่ายสนับสนุนด้านหลังก็ไม่สามารถตัดสินใจใดๆ ในสนามรบได้ดังนั้น ตราบใดที่ซูผิงเป่ยคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมจะสู้ชี้ขาด จึงไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในขณะที่การต่อสู้ขั้นแตกหักซึ่งกำหนดผลลัพธ์ของสงครามทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น หลี่เฉินซึ่งอยู่ในเมืองหลวงห่างออกไป ก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้เขากำลังอยู่ในพระที่นั่งร้อยบุปผาโดยเล่นพลิกผ้าห่มกับจ้าวหรุ่ยที่เพิ่งกลับมาแผ่นหลังอันเรียบเนียนถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ และผิวที่
เห็นได้ชัดว่าเนื้อหาของสาส์นกราบทูลฉบับนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง จนไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือหวังจะใช้ตำแหน่งของจ้าวหรุ่ยที่อยู่ข้างกายหลี่เฉิน อำนวยความสะดวกในการเกริ่นเนื้อหาที่อยู่ด้านในของสาส์นกราบทูล หลี่เฉินรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี “อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงลงไปคุกเข่าที่พื้นทั้งที่เปลือยเปล่าเล่า ลุกขึ้นมาเถอะ”หลี่เฉินรับสาส์นกราบทูล พลางจับข้อมือของจ้าวหรุ่ยแล้วดึงนางขึ้นมาบนเตียงหลี่เฉินวางแขนของเขาโอบรอบเอวของจ้าวหรุ่ย และปล่อยให้นางเอนตัวในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “แต่ทิวทัศน์เมื่อครู่ก็น่าชมมาก”ใบหน้าที่สวยงามของจ้าวหรุ่ยแดงเล็กน้อย เมื่อสักครู่นี้นางรู้สึกหวาดกลัวเกินไป และยังถูกกระตุ้นด้วยลมหนาว เวลานี้ร่างกายที่บอบบางอยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใย นางหวังแค่ว่าจะรวมร่างของนางเข้าไปในร่างกายขององค์รัชทายาทได้ยิ่งดี แม้จะปลอบใจจ้าวหรุ่ย แต่ในใจของหลี่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายเมื่อจำนวนคนที่อยู่ใต้เขาเพิ่มขึ้น ทุกคนก็มีความคิดและวิธีการของตัวเองเช่นกัน ความจริงที่ว่าจ้าวเหอซานยืมมือของจ้าวหรุ่ยเพื่อส่งมอบสาส์นกราบทูลให้นั้น จะว่
“เรื่องนี้มีข้อดีสามประการ”“ประการที่หนึ่ง ทุ่งนาร้างสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จะได้ไม่ไร้คนมาปลูกนา”“ประการที่สอง เราสามารถกำจัดผู้ประสบภัยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่รวมตัวกันอยู่ในมณฑลซีซาน แบ่งที่นาให้กับพวกเขา เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้”“ประการที่สาม เรื่องนี้จะส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่มกบฏ ทำให้พวกเขาวางอาวุธลง หยิบจอบขึ้นมา และหยุดการก่อกบฏ ท้ายที่สุดแล้วกฎหมายไม่ได้ลงโทษมวลชน และคนที่ราชสำนักต้องการจะลงโทษคือพวกผู้นำในการก่อกบฏ ไม่ใช่ชาวนาเหล่านี้” “แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อย”“ประการที่หนึ่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์นี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจากการสังหารหมู่ที่ด่านอวี้เหมิน เมืองชายแดนหลายแห่งเกือบจะกลายเป็นเมืองผี ราชสำนักจึงย้ายคน 300,000 คนไปอาศัยอยู่ที่นั่นและแบ่งพื้นที่ทำนา แต่ครั้งนั้นและครั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้วแตกต่างกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไม่มีตัวอย่างในการแบ่งที่นาใหม่หลังภัยพิบัติ มิหนำซ้ำ ถ้าหากใช้วิธีการนี้จริงๆ แล้วมณฑลอื่นๆ ทั่วทั้งจักรวรรดิจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่ามณฑลซีซานจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามณฑลอื่นจะเบากว่า”“ประการที่สอง หากแบ่งที
เมื่อโจวผิงอันเห็นหลี่เฉินเรียกชื่อของเขา เขาก็ประสานมือขึ้นแล้วพูดว่า “กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอของใต้เท้าจ้าวเหอซาน แบ่งที่นา!” แม้ว่าสวีฉังชิงและกวนจือเหวยจะคัดค้าน แต่พวกเขาก็ทำอย่างอ้อมค้อมและมีไหวพริบแต่เมื่อเห็นโจวผิงอันแสดงทัศนคติเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด ท่าทางของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปสวีฉังชิงกล่าวเสียงแข็งว่า “ใต้เท้าโจวมีความคิดเห็นอันยอดเยี่ยมอะไรหรือ?”ตัวเองติดตามองค์รัชทายาทมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่รองเสนาบดีกรมครัวเรือน ยังไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นสักที แต่โจวผิงอันผู้นี้เข้ารับราชการปุ๊บก็ได้เป็นเสนาบดีแล้ว กุมอำนาจขนาดใหญ่ไว้ในมือ กลายเป็นปาฏิหาริย์ที่ยังมีชีวิตของเวทีการเมืองต้าฉินดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่สวีฉังชิงและกวนจือเหวยจะรู้สึกพอใจ พวกเขาไม่กล้าแสดงความคิดต่อหน้าตำหนักบูรพา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโจวผิงอัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ให้ดูกวนจือเว่ยพูดเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าโจวเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ จะต้องมีคำพูดที่น่าทึ่งอยู่แน่ๆ ข้ากำลังล้างหูฟัง”หลี่เฉินมองเห็นความขัดแย้งระหว่างทั้งสามคน แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปแทรกแซงสำหรับเบื้องบนแล้ว
หลี่เฉินกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็สมเหตุสมผลดี แต่แล้วการต่อต้านจากเหล่าขุนนางล่ะ? เรื่องการแบ่งที่ดิน เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากเกินไป และกระตุ้นให้ทุกฝ่ายต่อต้าน จะจัดการอย่างไร?”เห็นได้ชัดว่าโจวผิงอันได้พิจารณาประเด็นนี้อย่างชัดเจนแล้ว เขากล่าวว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่ชนะใจผู้คนได้ก็จะชนะใต้หล้า และใจของผู้คนก็แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามหัวใจของประชาชนก็คือหัวใจของคนในใต้หล้า แต่สายตาของประชาชนนั้นคับแคบ และสามารถถูกหลอกได้ง่ายด้วยข่าวลือ ส่วนหัวใจของขุนนางนั้น แม้จะมีหัวใจของประชาชนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางก็มีความรู้สึกส่วนตัว จึงจำเป็นจะต้องมีคนดีมาคอยชี้นำ”“เรื่องนี้มีอุปสรรคมากมายจริงๆ พูดได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็จะถูกเหล่าขุนนางรุมโจมตี ดังนั้นฝ่าบาทต้องไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเอง”“ผู้ชี้นำจะต้องมีสถานะที่สูงพอ และมีบารมีเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจได้ ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องรอให้มันเกิดขึ้น”หลี่เฉินถาม “เจ้ามีใครจะแนะนำไหม?”โจวผิงอันโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมองทุกอย่างอย่างชัดแจ้ง ย่อมต้องมีคนในใจอยู่แล้ว กระหม่อมไม่กล้าพูดไร้สาร
ซานเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เกรงว่า...อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ”หลี่เฉินเลิกคิ้วและพูดว่า “ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เขาตกลงรับราชการ ดูสิ เจิ้งเป่าหรงก็มาจากเวยไห่เว่ยเช่นกัน แต่ก็มาถึงเมืองหลวงเพื่อเข้ารับตำแหน่งในวันรุ่งขึ้นได้”“ต่อให้ถานไถจะเดินทางช้าแค่ไหน สัมภาระมากมายเพียงใด ก็ควรจะคืบคลานจากเวยไห่เว่ยมายังเมืองหลวงในครึ่งเดือนได้แล้ว ยังจะมาขอเวลาอีกสักพักงั้นเหรอ?”ซานเป่ายิ้มอย่างขมขื่น “ท่านจิ้งจือผู้นี้ มีหนังสือที่ซ่อนอยู่ในบ้านซึ่งสามารถใส่รถได้ถึงยี่สิบคัน แค่จัดหนังสือก็ใช้เวลาไปหกเจ็ดวันแล้ว”“ได้ยินมาว่าตามสถาบันศึกษาอื่นๆ ของเขามีหนังสือซ่อนไว้มากกว่านี้ ซึ่งเขาได้กำชับให้คนของเขาไปขนพวกมันทั้งหมดมาที่เมืองหลวง”“นอกจากนี้ ความลับที่ว่าเขาเข้ารับราชการก็ถูกเปิดเผยไปแล้ว จึงมีบัณฑิตและนักวิชาการนับไม่ถ้วน พากันแห่มาแสดงความยินดีกับเขา”“ตลอดการเดินทางของท่านจิ้งจือ มีพวกนักวิชาการคอยรายล้อม วันหนึ่งสามารถเดินทางได้ถึงสามสิบลี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”หลี่เฉินนวดขมับแล้วกล่าวว่า “ตาเฒ่าผู้นี้ช่างลำบากจริงๆ และการจะสั่งให้เขารีบมาที่เมืองหลวงก็เป
“หลังจากกระหม่อมกลับไปแล้วจะดำเนินการวางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งกระหม่อมเคยประมาณไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มันจะช่วยราชสำนักประหยัดเงินไปได้หนึ่งปี”“แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้น[footnoteRef:1]ซึ่งกระหม่อมก็ทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้” [1: ขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้น หมายถึง เพิ่มรายได้] หลี่เฉินได้ฟังก็เหลือบมองสวีฉังชิง จากนั้นก็พูดว่า “การลดค่าใช้จ่ายมีแต่จะทำให้คนขุ่นเคือง ไม่ว่าเจ้าจะตัดค่าใช้จ่ายส่วนไหนก็ตาม มันจะดึงดูดแรงต่อต้าน” สวีฉังชิงกัดฟันพูดว่า “แต่ท้องพระคลังว่างเปล่า พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน กระหม่อมไม่มีทางเลือก ได้แต่ต้องทนรับการตำหนิ” หลี่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องที่สวีฉังชิงจะต้องแบกรับคำด่าคนเบื้องล่างรับความผิดแทนเจ้านาย มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ แต่สิ่งที่เขากำลังพิจารณาก็คือขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้นแม้ว่าตัวเขาจะได้รับเงินจำนวนมากจากงานแต่งงานของเขา แต่เงินจำนวนนี้ก็ถูกใช้ไปสร้างราชบัณฑิตยสถานแล้วซึ่งเงินจำนวนนี้ไม่สามารถโยกย้ายได้ มิฉะนั้นถานไถจิ้งจือจะเป็นคนแร
เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินได้ตัดสินใจไปแล้ว สวีฉังชิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่ไม่ได้โต้แย้งตรงๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องลำบากใจก็คงจะเป็นตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น สวีฉังชิงก็ยังคงพูดว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงยืนกรานที่จะเปิดธนาคาร ถึงแม้ว่าธนาคารจะมีเงินมากมาย แต่มันก็เป็นของผู้ฝากเงิน เท่าที่ข้ารู้ คนที่เปิดธนาคารไม่ได้กำไรมากนัก และยังต้องแบกรับความเสี่ยงในการฝากเงินอีก หากมีการสูญหายหรือถูกขโมย ทางธนาคารก็ต้องรับผิดชอบ”สวีฉังชิงไม่เข้าใจ แต่หลี่เฉินนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนธนาคารคืออะไร? นี่มันธนาคาร!ธนาคารไม่สามารถทำเงินได้? นั่นไม่ใช่เรื่องตลกเหรอ!ดูเผินๆ ถึงแม้ว่าการขอให้คนฝากเงินและจ่ายดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินออมนั้น เป็นเรื่องที่ขาดทุนมากแต่ธนาคารสามารถรับกระแสเงินสดมหาศาลได้ แม้ว่าธนาคารจะรับผิดชอบเพียงการดูแลความปลอดภัย แต่เมื่อเงินของประชาชนถูกฝากไปแล้ว เงินนั้นจะไม่ถูกถอนออกไป เว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นเมื่อธนาคารได้รับกระแสเงินสดจำนวนมากเช่นนี้ ก็สามารถนำเงินไปต่อยอดได้ เช่น การกู้ยืม ดอกเบี้ยเงินกู้มีโอกาสทางธุรกิจมากมายธุรกิจนี้เป็นเรื่องยา
เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน
ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ