Share

บทที่ 6

Author: ไห่ตงชิง
“อย่าอะไร?”

จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสน

จ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้น

หลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”

จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโห

คำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูด

นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ

ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้น

หลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเหมือนลูกท้อสุก ซึ่งความงดงามเช่นนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเพลิดเพลินได้

“เอาล่ะ ในเมื่อคนงามใจร้อน”

หลี่เฉินพูด พร้อมกับอุ้มจ้าวหรุ่ยด้วยท่าเจ้าหญิง

ทำให้จ้าวหรุ่ยอุทานออกมาด้วยความตกใจ หลี่เฉินก้าวเท้ายาวๆ ไปที่แท่นบรรทม โยนนางลงกับเตียง ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะเติมเต็มเจ้าเอง”

จ้าวหรุ่ยโมโหสุดขีด นางอยากจะพูดว่าตัวเองไม่ได้หมายความเช่นนั้น และยิ่งไม่ใจร้อนเลย แต่หลี่เฉินจะยอมให้นางมีโอกาสพูดที่ไหนกัน เขาตะครุบนางเหมือนหมาป่าที่หิวโหย

ลานโล่งนอกตำหนัก

ปึงๆ

เสียงโบยไม้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเฉินจื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ

เห็นได้ชัดว่าผู้คุมสองคนนี้เก่งในเรื่องนี้มาก น้ำหนักมือของพวกเขาก็แม่นยำมากเช่นกัน ทุกๆ จังหวะของไม้เท้าที่ฟาดลงไปนั้น ทำร้ายเฉินจื้อถึงกระดูกอย่างแน่นอน เพราะมีเพียงความเจ็บปวดเข้าถึงกระดูกเท่านั้นที่จะสามารถป้องกันไม่ให้เขาหมดสติลงได้

ท่อนล่างของเฉินจื้อเต็มไปด้วยเลือด สองมือจิกเล็บเข้าไปในพื้นดิน เขายกศีรษะที่เปื้อนเลือดขึ้นมา เขาไม่รู้สึกอะไรแล้วนอกจากความเจ็บปวด และจ้องมองไปที่ประตูซึ่งปิดสนิทอยู่

หลังจากหลี่เฉินเข้าไปแล้ว ก็ไม่ออกมาอีกเลย

ราวกับว่าเฉินจื้อได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ และเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของจ้าวหรุ่ยที่เขาใฝ่ฝัน

ภาพหลอนนี้ทำให้เฉินจื้อแทบจะเป็นบ้า

เพียงบานประตูกั้น สตรีที่เขารักถูกศัตรูข่มเหง ในขณะที่เขาทำได้เพียงนอนบนพื้นโล่ง และถูกทุบตีจนตาย

“แม้กลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยชายหญิงสุนัขคู่นี้ไป!!!”

เสียงกรีดร้องของเฉินจื้อจากด้านนอก ทำให้จ้าวหรุ่ยตัวสั่นด้วยความตกใจ

“ฝ่าบาท เฉินจื้อเขา...”

“ทำไม เจ้าปวดใจหรือ?” หลี่เฉินถาม

จ้าวหรุ่ยส่ายหน้าโดยสัญชาตญาณ และอธิบายว่า “หม่อมฉัน หม่อมฉันแค่เกรงว่าเขาจะรบกวนความสงบสุขของพระองค์”

“ไม่เป็นไร”

หลี่เฉินโน้มตัวเข้าไปใกล้ผิวที่เปียกชื้นของจ้าวหรุ่ย แล้วกระซิบเบาๆ “ข้าแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าผลที่ตามมาจากการล่วงเกินข้า จะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน จ้าวหรุ่ยก็ตกใจกลัว อย่างไรก็ตามการรุกล้ำของหลี่เฉินก็ไม่เคยหยุดนิ่งแม้นาทีเดียว นางกัดฟันทนการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า นางรู้สึกได้ถึงความกลัวในใจและความรู้สึกแปลกๆ บนร่างกายของนาง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน

นางรู้ว่า คำพูดของหลี่เฉินนั้น ส่วนใหญ่พูดให้นางฟัง

ชั่วขณะหนึ่ง นางก็รู้สึกเหมือนกระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้ นางแยกไม่ออกว่านางกลัวหลี่เฉินมากกว่า หรือว่าเกลียดมากกว่ากันแน่

ในเวลาเดียวกัน ณ.วังหลัง ในห้องบรรทมของฮองเฮา มีสาวใช้นางหนึ่งวิ่งมาตรงหน้าจ้าวชิงหลานอย่างรีบร้อน

“ทูลฮองเฮา พบร่องรอยของหัวหน้าองค์รักษ์เฉินจื้อแล้วเพคะ”

สาวใช้ในวังกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เขา เขาแอบไปที่ตำหนักบูรพา แต่ทว่าโดนองค์รัชทายาทจับได้ จึงถูกโบยร้อยไม้”

จ้าวชิงหลานสีหน้าเย็นชา

“นั่นหมายถึงตายแล้ว”

โบยร้อยไม้ ทุกคนรู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ใบหน้าของหลี่เฉินปรากฏขึ้นในใจนาง ทำให้นางทั้งเกลียดชังทั้งอับอาย จ้าวชิงหลานกัดฟันเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เฉินไหวจื้อก็ตายไปแล้ว เพิ่มเฉินจื้ออีกสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก ท่านพ่อบอกว่าคืนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนไปแล้ว ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม เจ้าออกไปได้”

หลังจากที่สาวใช้ในวังออกไปแล้ว จ้าวชิงหลานก็มองไปที่องค์ชายเก้าซึ่งกำลังตั้งใจเรียนอยู่ในห้องด้านข้าง และพูดอย่างใจเย็นว่า “องค์ชายเก้า ทบทวนบทเรียนของเจ้าแล้วหรือยัง?”

องค์ชายเก้าเดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “ทูลเสด็จแม่ ข้าทบทวนเรียบร้อยแล้ว”

รัศมีมารดาของแผ่นดินของจ้าวชิงหลานทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นางกล่าวอย่างสูงส่งราวกับหงส์จากสวรรค์ชั้นเก้า “งั้นไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ แม้เสด็จพ่อเจ้าจะให้องค์รัชทายาทดูแลประเทศ แต่ตราบใดที่ต้าฉินไม่เปลี่ยนราชา เจ้าก็ยังมีโอกาส อย่าเพิ่งท้อแท้นะรู้ไหม?”

องค์ชายเก้าโขกศีรษะให้จ้าวชิงหลาน เขารู้ว่า มารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเองนั้นมีภูมิหลังที่ไม่ดี และผู้สนับสนุนเดียวที่เขามีก็คือฮองเฮา

“เสด็จแม่ ลูกทราบแล้ว ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง”

......

วันรุ่งขึ้น จ้าวหรุ่ยตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล

นางไม่รู้ว่าเมื่อคืนนางถูกหลี่เฉินเคี่ยวกรำมานานแค่ไหนแล้วถึงหลับไปอย่างเหนื่อยล้า วันนี้เมื่อนางลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่นางเห็นก็คือดวงตาที่เป็นประกายเหมือนดวงดาวของหลี่เฉิน

“ฝ่า...ฝ่าบาท”

ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวหรุ่ยลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นคนที่สองอยู่บนเตียง ไม่ต้องพูดถึงว่า คนผู้นี้ยังเป็นหลี่เฉินที่แย่งชิงครั้งแรกของนางไป ดังนั้นจ้าวหรุ่ยจึงยังไม่ชินกับมัน

“ตื่นแล้ว”

หลี่เฉินพูดพร้อมกับเล่นกับปอยผมของจ้าวหรุ่ยไปด้วย

จ้าวหรุ่ยดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ จึงกัดฟันลุกขึ้นแล้วพูดว่า “หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทเปลี่ยนชุด”

เมื่อจ้าวหรุ่ยลุกขึ้นแบบนี้ ผ้าห่มก็ร่วงลงมา เผยให้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามต่อหน้าหลี่เฉิน

เมื่อสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็นเล็กน้อยในตอนเช้า จ้าวหรุ่ยก็ขนลุกเล็กน้อย แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผิวขาวราวกับน้ำนมของนางเลย

“สวยมาก” หลี่เฉินกล่าวชมอย่างจริงใจ

จ้าวหรุ่ยรู้สึกเขินอายมาก

แม้ว่าสิ่งที่ควรจะเกิดและไม่ควรจะเกิด ก็เกิดขึ้นแล้ว แต่จ้าวหรุ่ยก็ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกเปิดเผยต่อหน้าหลี่เฉิน ‘ที่ไม่รู้จักอาย’ เช่นนี้ได้

นางคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเอง แต่หลี่เฉินกลับทำสิ่งที่ไม่ดี พลิกตัวและตรึงนางไว้

เมื่อจ้าวหรุ่ยตระหนักได้ว่าหลี่เฉินจะทำอะไร นางก็ตื่นตระหนกและใช้มือดันไปที่หน้าอกของหลี่เฉินพลางพูดว่า “ฝ่าบาท เมื่อคืนท่านก็เคี่ยวกรำจนดึกดื่น ตอนนี้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ...”

“เมื่อคืนเจ้าเป็นคนบอกว่าวิญญาณของเจ้าหลุดลอยไป และตอนนี้คนที่ขอร้องข้าก็เป็นเจ้า ข้าไม่คุ้นกับปากอย่างใจอย่างของเจ้าจริงๆ” หลี่เฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย

พูดจบ หลี่เฉินก็ดึงผ้าห่มและห่อพวกเขาทั้งสองไว้ในผ้าห่ม

ท้องฟ้าในตอนเช้ายังไม่สว่างมากนัก นางถูกคลื่นถาโถมจนพลิกไปมา เสียงการเคลื่อนไหวที่เพิ่งหยุดไปเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนก็ดังขึ้น จากนั้นแท่นบรรทมก็สั่นไหวไปมา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลี่เฉินก็ลุกขึ้นอย่างสดชื่น

เมื่อมองไปที่จ้าวหรุ่ยที่กำลังนอนหลับอย่างเหนื่อยล้าอีกครั้ง หลี่เฉินก็เรียกสาวใช้ในวังมาปรนนิบัติเขาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกจากห้องบรรทม

เมื่อออกมานอกห้องบรรทม หลี่เฉินก็เห็นสาวใช้หลายคนกำลังทำความสะอาดสระเลือดบนพื้นกระเบื้องในที่โล่ง

องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยงานบูรพาซึ่งรับผิดชอบการประหารชีวิตเมื่อคืนนี้ ก็เดินเข้ามาและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทูลองค์รัชทายาท เฉินจื้อถูกประหารชีวิตเรียบร้อยแล้ว ตีครบหนึ่งร้อยไม้ เมื่อถึงไม้สุดท้ายก็ขาดใจตาย”

“ทำได้ไม่เลว ไปที่คลังเพื่อรับรางวัลซะ” หลี่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ

สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้คน คือการให้รางวัลและลงโทษพวกเขาอย่างเคร่งครัด

หากทำชั่วจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กล้าขัดคำสั่ง

แต่ถ้าทำดีก็จะได้รับรางวัล ครั้งหน้าที่ให้ทำงาน พวกเขาจะได้มีกำลังใจ

องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองคนต่างมีสีหน้ายินดี หลังกล่าวขอบพระทัยเสร็จก็รีบเดินจากไป

บนแท่นบรรทมในห้อง

หลี่เฉินเพิ่งก้าวเท้าออกไป จ้าวหรุ่ยก็ลืมตาขึ้นทันที

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (1)
goodnovel comment avatar
โต ธนสมบัติ
เยี่ยมมากสนุก
Tignan lahat ng Komento

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1159

    เห็นว่าสวีจวินโหลวมีท่าทีจริงใจ สวีฉังชิงจึงพยักหน้าเบาๆน้ำเสียงเขาอ่อนลง พูดว่า “เจ้าอย่าโทษว่าข้าเข้มงวดกับเจ้ามากนัก ความหวังของตระกูลสวีเรา ไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่เจ้า”สวีจวินโหลวได้ยินดังนั้นก็รีบพูดว่า “ท่านอา คำพูดนี้ของท่านรุนแรงเกินไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ของตระกูลเรา ล้วนต้องให้ท่านอาเป็นผู้ตัดสิน หลานยังเยาว์วัยนัก ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาอีกมาก”สวีฉังชิงกล่าวว่า “ตอนนี้แน่นอนว่าต้องให้ข้าช่วยกลั่นกรอง แต่ในอนาคตเล่า?”สวีฉังชิงวางฝ่ามือลงบนไหล่ของสวีจวินโหลว พูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งว่า “เจ้าลองคิดให้ดี ตอนนี้ขุนนางในราชสำนัก ล้วนมีอายุเท่าไรกันบ้าง? พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่เหลือจากรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน แม้ว่าภายนอกพวกสายคณะเสนาบดีจะดูเหมือนถูกสลายไปแล้ว แต่เบื้องหลังเล่า? แบ่งแยกกันตามเชื้อสาย ตามภูมิลำเนา ตามแนวคิดทางการเมือง แก๊งกลุ่มก้อนมากมาย แก่งแย่งแก้แค้นกันไม่สิ้นสุด มีมากมายเกินจะนับ”“การปฏิรูปใหม่ของฝ่าบาทครั้งนี้ เป็นก้าวแรกในการสลายพวกกลุ่มก้อนเหล่านั้น ต่อจากนี้ยังจะมีการเคลื่อนไหวอีกมาก แต่สรุปแล้วมีเพียงคณ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1158

    สวีจวินโหลวจำถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ พลางกล่าวว่า “ท่านอาวางใจเถิด หลานจะระมัดระวังให้มาก”พูดจบ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อทันที กดเสียงให้ต่ำลง “ท่านอา ท่านได้ยินเรื่องนี้หรือยัง? ด่านเย่ว์หยานั่น ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย?”สีหน้าสวีฉังชิงพลันเปลี่ยน แต่ไม่ตอบคำถาม กลับถามกลับแทน “เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใด?”สวีจวินโหลวยิ้มแหยๆ ตอบ “ก่อนหน้านี้หลานเป็นรองหัวหน้าสำนักจานซื่อ ประจำตำหนักบูรพา ย่อมมีข่าวบางอย่างเล็ดลอดถึงหูหลานบ้าง ได้ยินมาว่าเร็วๆ นี้ ฝ่าบาทมีราชโองการหลายฉบับ ล้วนส่งไปยังดินแดนกานและฉ่าน รวมถึงด่านเย่ว์หยา และกรมพระคลังยังได้รับพระบัญชาให้จัดหาทางระดมเสบียงจากทั่วทุกหัวเมือง?”“ใช่ ได้รับมาแล้ว”สวีฉังชิงพยักหน้า “และก็เริ่มดำเนินการแล้วตามพระบัญชา เสบียงจะเน้นการซื้อเป็นหลัก เกณฑ์เป็นรอง สิ่งสำคัญคือต้องไม่กระทบการดำรงชีวิตของราษฎร และห้ามทำให้ราคาท้องถิ่นผันผวนจนเกินควบคุม ราคาตลาดของข้าวสารต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบห้า และเมื่อรวบรวมได้แล้ว จะส่งตรงไปยังดินแดนกานและฉ่าน โดยมีผู้รับผิดชอบเฉพาะดำเนินการเข้าคลังเสบียง”สวีจวินโหลวถามอย่างตื่นเต้น “ท่านอา…นี่จะเกิดศึกใหญ่แล้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1157

    เหตุการณ์คล้ายคลึงกันเช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นแค่ในมณฑลซีซานเท่านั้น แต่ยังมีที่มณฑลหนานเหออีกด้วยที่ว่าการมณฑลหนานเหอ โจวผิงอันรับพระราชโองการจากมือขันทีอย่างเฉื่อยชาไม่มีเงินปึกแนบมือ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเพียงกล่าวคำขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็หันไปสั่งให้คนเปลี่ยนป้ายเป็นจวนผู้สำเร็จราชการมณฑลทันทีขันทีรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย แต่พอคิดถึงตำแหน่งใหม่ของชายผู้นี้ ก็จำต้องฝืนหน้าหนามาเอาใจสักสองสามประโยค“ใต้เท้าโจว ขอแสดงความยินดีด้วย”โจวผิงอันไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง แค่ตอบเสียงในลำคอว่า “อืม”อืม!?ขันทีไม่เคยพบใครที่รับราชโองการเลื่อนตำแหน่งอย่างไม่ใยดีถึงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเตือน “ใต้เท้าโจว ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายภาษีถือเป็นตำแหน่งใหญ่ ต้องควบคุมรายได้ทั้งแผ่นดิน งานนี้ไม่ง่ายเลย ถึงแม้ฝ่าบาทจะสนับสนุนท่าน แต่ตามต่างจังหวัดห่างไกลจากเมืองหลวง อาจมิได้ให้เกียรติตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายภาษีเท่าไร ดังนั้นใคร่ขอใต้เท้าโจวโปรดระมัดระวังให้มาก”คราวนี้โจวผิงอันหันมามองเขาหนึ่งแวบแต่ก็เป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็หันกลับไปอีก“อืม”เห็นโจวผิงอันเย็นชาขนาดนี้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1156

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินก็หัวเราะ “อืม ไม่เลว เป็นคำพูดจากใจจริง”“หากเจ้าบอกว่าคุ้นเคย ข้าคงคิดว่าเจ้ากำลังหลอกข้า เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมกะทันหัน ยังต้องสูญเสียอิสระด้วย อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าแต่ก่อนเจ้าพักอยู่ในจวน หากอยากออกไปข้างนอก พ่อของเจ้าก็ไม่เคยห้าม เพียงแต่ส่งคนอารักขาให้เจ้าอย่างดี แต่ในวังนั้นต่างกัน เจ้าคือพระชายารัชทายาท แค่จะก้าวออกจากวังก็ยากลำบากเหลือเกิน”ซูจิ่นพ่าตอบอย่างหงุดหงิด “ข้าจะหลอกเจ้าทำไมล่ะ ข้าก็แค่พูดตามจริงเท่านั้น”“ข้าหวังว่า ต่อจากนี้ไป จะได้ยินแต่คำพูดจากใจจริงจากเจ้า”หลี่เฉินลูบขมับเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ ข้าอยากได้ยินคำพูดจากใจจริงก็ยิ่งยากเข้าไปทุกที”“ผู้ที่อยู่สูงมักหนาวเหน็บรอบกาย คนที่อยู่รอบตัวเจ้ามีอยู่เพียงสองประเภท หนึ่งคือผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมประจบเจ้า อีกหนึ่งคือผู้ที่คอยวางแผนโค่นเจ้า ทั้งสองประเภทนี้ไม่มีวันพูดกับเจ้าด้วยใจจริง และในอนาคตที่พอคาดเดาได้ สภาพเช่นนี้จะยิ่งเลวร้ายลง ไม่มีวันดีขึ้นหรอก” ซูจิ่นพ่าพูดแทงใจโดยไม่ไว้หน้า“แต่ข้ายังมีเจ้า คนที่เข้าใจข้าอยู่นี่ไง” หลี่เฉินยิ้มทะเล้นซูจิ่นพ่าลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปพักกลางวัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1155

    หลี่เฉินยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “บัญชาการน่ะเหรอ ข้าแน่ใจเลยว่าไม่ทำหรอก เรื่องของมืออาชีพ ก็ให้มืออาชีพทำไป เจ้าดูข้าแล้วคิดว่าข้าเหมาะจะบัญชากองทัพนับล้านไหมล่ะ?”หวงจี๋เทียนส่ายหน้าทันที “ไม่เหมาะ”“แต่เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้าจะจารึกนาม ณ เขาอู่ซวี…”“ใครจะบัญชาก็ช่าง แต่ผลงานนั้นต้องเป็นของข้า เข้าใจไหม?”หลี่เฉินมองหวงจี๋เทียนด้วยแววตาเวทนา “เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่แปลก เพราะเจ้าก็แค่ องค์ชายธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น เรื่องวิธีคิดแบบจักรพรรดิ กลยุทธ์แบบเจ้าผู้ครองแผ่นดิน เจ้าก็ยังไม่อาจเข้าถึง เสด็จพ่อของเจ้าล่ะก็ ต้องเข้าใจแน่นอน”หวงจี๋เทียนถึงกับกระโดดลั่น “หลี่เฉิน! เจ้าอย่าล้ำเส้นนักนะ!”“ฮ่าๆๆ”หลี่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ รีบกลับไปติดต่อเสด็จพ่อของเจ้า พรุ่งนี้ข้าต้องการคำตอบ”เขาตบไหล่หวงจี๋เทียน พลางพูดว่า “บอกเสด็จพ่อของเจ้าด้วยว่า ศึกนี้คือศึกของเหลียวต่อฉิน แต่เกี่ยวพันโดยตรงถึงความอยู่รอดของแคว้นจิน”“วิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ต้องกว้างเข้าไว้”กล่าวจบ หลี่เฉินก็เดินจากไปจากเรือนรับรองอันอบอุ่นงดงามแห่งนั้นที่นั่นเป็นสถานที่ที่ชายใดก็ใฝ่ฝัน แต่หลี

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1154

    “เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไมกัน!?” หวงจี๋เทียนโกรธจัดตะโกนลั่นเขารู้สึกว่าสายตาของหลี่เฉินเป็นการดูถูกเขาอย่างที่สุดหลี่เฉินชี้ไปทางด่านเย่ว์หยา พลางกล่าว “ตอนนี้กองทัพเกราะม้าหกแสนของเหลียวกำลังบุกด่านเย่ว์หยาอยู่ ไม่แน่ว่าในขณะที่ข้ากำลังพูดกับเจ้านี่แหละ หรือไม่ก็พรุ่งนี้ ด่านเย่ว์หยาก็อาจแตกแล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่ดอกเก๊กฮวยก็เย็นชืดแล้ว ข้าจะไปรอพึ่งพาเจ้าได้อย่างไร?”หวงจี๋เทียนแค่นหัวเราะ “อย่ามาแกล้งพูดเช่นนี้เลย แต่เดิมเจ้าก็วางแผนจะปล่อยพวกเขาเข้ามาแล้วล้อมสังหารไม่ใช่หรือ? ตอนที่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหว เจ้ากล้ายิ่งนัก วางแผนฟ้าแทงดินเช่นนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มแล้ว เจ้ากลับกลัวขึ้นมาหรือ?”“มิได้กลัว”หลี่เฉินกล่าว “เรื่องเช่นนี้ ต้องมีความเป็นฝ่ายรุกถึงจะมีความหวังที่จะสำเร็จ ดังนั้นเงื่อนไขของการปล่อยให้เข้ามาคือต้องเป็นข้าที่ปล่อยไม่ใช่พวกเขาบุกทะลวงเข้ามาเอง หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ห้ามพวกเขาไม่ได้ ฆ่าหมดน่ะฆ่าได้อยู่ แต่จะเป็นใครฆ่าใคร ยังบอกไม่ได้หรอก”หวงจี๋เทียนยิ้มเย้ย “แล้วถ้าข้าตั้งใจแน่วแน่จะนั่งดูเสือสู้กันล่ะ?”“ได้เลย!”หลี่เฉินตบมือดังฉาด หัวเราะลั

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status