Share

บทที่ 6

Author: ไห่ตงชิง
“อย่าอะไร?”

จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสน

จ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้น

หลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”

จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโห

คำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูด

นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ

ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้น

หลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเหมือนลูกท้อสุก ซึ่งความงดงามเช่นนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเพลิดเพลินได้

“เอาล่ะ ในเมื่อคนงามใจร้อน”

หลี่เฉินพูด พร้อมกับอุ้มจ้าวหรุ่ยด้วยท่าเจ้าหญิง

ทำให้จ้าวหรุ่ยอุทานออกมาด้วยความตกใจ หลี่เฉินก้าวเท้ายาวๆ ไปที่แท่นบรรทม โยนนางลงกับเตียง ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะเติมเต็มเจ้าเอง”

จ้าวหรุ่ยโมโหสุดขีด นางอยากจะพูดว่าตัวเองไม่ได้หมายความเช่นนั้น และยิ่งไม่ใจร้อนเลย แต่หลี่เฉินจะยอมให้นางมีโอกาสพูดที่ไหนกัน เขาตะครุบนางเหมือนหมาป่าที่หิวโหย

ลานโล่งนอกตำหนัก

ปึงๆ

เสียงโบยไม้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเฉินจื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ

เห็นได้ชัดว่าผู้คุมสองคนนี้เก่งในเรื่องนี้มาก น้ำหนักมือของพวกเขาก็แม่นยำมากเช่นกัน ทุกๆ จังหวะของไม้เท้าที่ฟาดลงไปนั้น ทำร้ายเฉินจื้อถึงกระดูกอย่างแน่นอน เพราะมีเพียงความเจ็บปวดเข้าถึงกระดูกเท่านั้นที่จะสามารถป้องกันไม่ให้เขาหมดสติลงได้

ท่อนล่างของเฉินจื้อเต็มไปด้วยเลือด สองมือจิกเล็บเข้าไปในพื้นดิน เขายกศีรษะที่เปื้อนเลือดขึ้นมา เขาไม่รู้สึกอะไรแล้วนอกจากความเจ็บปวด และจ้องมองไปที่ประตูซึ่งปิดสนิทอยู่

หลังจากหลี่เฉินเข้าไปแล้ว ก็ไม่ออกมาอีกเลย

ราวกับว่าเฉินจื้อได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ และเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของจ้าวหรุ่ยที่เขาใฝ่ฝัน

ภาพหลอนนี้ทำให้เฉินจื้อแทบจะเป็นบ้า

เพียงบานประตูกั้น สตรีที่เขารักถูกศัตรูข่มเหง ในขณะที่เขาทำได้เพียงนอนบนพื้นโล่ง และถูกทุบตีจนตาย

“แม้กลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยชายหญิงสุนัขคู่นี้ไป!!!”

เสียงกรีดร้องของเฉินจื้อจากด้านนอก ทำให้จ้าวหรุ่ยตัวสั่นด้วยความตกใจ

“ฝ่าบาท เฉินจื้อเขา...”

“ทำไม เจ้าปวดใจหรือ?” หลี่เฉินถาม

จ้าวหรุ่ยส่ายหน้าโดยสัญชาตญาณ และอธิบายว่า “หม่อมฉัน หม่อมฉันแค่เกรงว่าเขาจะรบกวนความสงบสุขของพระองค์”

“ไม่เป็นไร”

หลี่เฉินโน้มตัวเข้าไปใกล้ผิวที่เปียกชื้นของจ้าวหรุ่ย แล้วกระซิบเบาๆ “ข้าแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าผลที่ตามมาจากการล่วงเกินข้า จะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน จ้าวหรุ่ยก็ตกใจกลัว อย่างไรก็ตามการรุกล้ำของหลี่เฉินก็ไม่เคยหยุดนิ่งแม้นาทีเดียว นางกัดฟันทนการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า นางรู้สึกได้ถึงความกลัวในใจและความรู้สึกแปลกๆ บนร่างกายของนาง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน

นางรู้ว่า คำพูดของหลี่เฉินนั้น ส่วนใหญ่พูดให้นางฟัง

ชั่วขณะหนึ่ง นางก็รู้สึกเหมือนกระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้ นางแยกไม่ออกว่านางกลัวหลี่เฉินมากกว่า หรือว่าเกลียดมากกว่ากันแน่

ในเวลาเดียวกัน ณ.วังหลัง ในห้องบรรทมของฮองเฮา มีสาวใช้นางหนึ่งวิ่งมาตรงหน้าจ้าวชิงหลานอย่างรีบร้อน

“ทูลฮองเฮา พบร่องรอยของหัวหน้าองค์รักษ์เฉินจื้อแล้วเพคะ”

สาวใช้ในวังกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เขา เขาแอบไปที่ตำหนักบูรพา แต่ทว่าโดนองค์รัชทายาทจับได้ จึงถูกโบยร้อยไม้”

จ้าวชิงหลานสีหน้าเย็นชา

“นั่นหมายถึงตายแล้ว”

โบยร้อยไม้ ทุกคนรู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ใบหน้าของหลี่เฉินปรากฏขึ้นในใจนาง ทำให้นางทั้งเกลียดชังทั้งอับอาย จ้าวชิงหลานกัดฟันเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เฉินไหวจื้อก็ตายไปแล้ว เพิ่มเฉินจื้ออีกสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก ท่านพ่อบอกว่าคืนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนไปแล้ว ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม เจ้าออกไปได้”

หลังจากที่สาวใช้ในวังออกไปแล้ว จ้าวชิงหลานก็มองไปที่องค์ชายเก้าซึ่งกำลังตั้งใจเรียนอยู่ในห้องด้านข้าง และพูดอย่างใจเย็นว่า “องค์ชายเก้า ทบทวนบทเรียนของเจ้าแล้วหรือยัง?”

องค์ชายเก้าเดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “ทูลเสด็จแม่ ข้าทบทวนเรียบร้อยแล้ว”

รัศมีมารดาของแผ่นดินของจ้าวชิงหลานทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นางกล่าวอย่างสูงส่งราวกับหงส์จากสวรรค์ชั้นเก้า “งั้นไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ แม้เสด็จพ่อเจ้าจะให้องค์รัชทายาทดูแลประเทศ แต่ตราบใดที่ต้าฉินไม่เปลี่ยนราชา เจ้าก็ยังมีโอกาส อย่าเพิ่งท้อแท้นะรู้ไหม?”

องค์ชายเก้าโขกศีรษะให้จ้าวชิงหลาน เขารู้ว่า มารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเองนั้นมีภูมิหลังที่ไม่ดี และผู้สนับสนุนเดียวที่เขามีก็คือฮองเฮา

“เสด็จแม่ ลูกทราบแล้ว ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง”

......

วันรุ่งขึ้น จ้าวหรุ่ยตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล

นางไม่รู้ว่าเมื่อคืนนางถูกหลี่เฉินเคี่ยวกรำมานานแค่ไหนแล้วถึงหลับไปอย่างเหนื่อยล้า วันนี้เมื่อนางลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่นางเห็นก็คือดวงตาที่เป็นประกายเหมือนดวงดาวของหลี่เฉิน

“ฝ่า...ฝ่าบาท”

ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวหรุ่ยลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นคนที่สองอยู่บนเตียง ไม่ต้องพูดถึงว่า คนผู้นี้ยังเป็นหลี่เฉินที่แย่งชิงครั้งแรกของนางไป ดังนั้นจ้าวหรุ่ยจึงยังไม่ชินกับมัน

“ตื่นแล้ว”

หลี่เฉินพูดพร้อมกับเล่นกับปอยผมของจ้าวหรุ่ยไปด้วย

จ้าวหรุ่ยดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ จึงกัดฟันลุกขึ้นแล้วพูดว่า “หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทเปลี่ยนชุด”

เมื่อจ้าวหรุ่ยลุกขึ้นแบบนี้ ผ้าห่มก็ร่วงลงมา เผยให้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามต่อหน้าหลี่เฉิน

เมื่อสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็นเล็กน้อยในตอนเช้า จ้าวหรุ่ยก็ขนลุกเล็กน้อย แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผิวขาวราวกับน้ำนมของนางเลย

“สวยมาก” หลี่เฉินกล่าวชมอย่างจริงใจ

จ้าวหรุ่ยรู้สึกเขินอายมาก

แม้ว่าสิ่งที่ควรจะเกิดและไม่ควรจะเกิด ก็เกิดขึ้นแล้ว แต่จ้าวหรุ่ยก็ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกเปิดเผยต่อหน้าหลี่เฉิน ‘ที่ไม่รู้จักอาย’ เช่นนี้ได้

นางคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเอง แต่หลี่เฉินกลับทำสิ่งที่ไม่ดี พลิกตัวและตรึงนางไว้

เมื่อจ้าวหรุ่ยตระหนักได้ว่าหลี่เฉินจะทำอะไร นางก็ตื่นตระหนกและใช้มือดันไปที่หน้าอกของหลี่เฉินพลางพูดว่า “ฝ่าบาท เมื่อคืนท่านก็เคี่ยวกรำจนดึกดื่น ตอนนี้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ...”

“เมื่อคืนเจ้าเป็นคนบอกว่าวิญญาณของเจ้าหลุดลอยไป และตอนนี้คนที่ขอร้องข้าก็เป็นเจ้า ข้าไม่คุ้นกับปากอย่างใจอย่างของเจ้าจริงๆ” หลี่เฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย

พูดจบ หลี่เฉินก็ดึงผ้าห่มและห่อพวกเขาทั้งสองไว้ในผ้าห่ม

ท้องฟ้าในตอนเช้ายังไม่สว่างมากนัก นางถูกคลื่นถาโถมจนพลิกไปมา เสียงการเคลื่อนไหวที่เพิ่งหยุดไปเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนก็ดังขึ้น จากนั้นแท่นบรรทมก็สั่นไหวไปมา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลี่เฉินก็ลุกขึ้นอย่างสดชื่น

เมื่อมองไปที่จ้าวหรุ่ยที่กำลังนอนหลับอย่างเหนื่อยล้าอีกครั้ง หลี่เฉินก็เรียกสาวใช้ในวังมาปรนนิบัติเขาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกจากห้องบรรทม

เมื่อออกมานอกห้องบรรทม หลี่เฉินก็เห็นสาวใช้หลายคนกำลังทำความสะอาดสระเลือดบนพื้นกระเบื้องในที่โล่ง

องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยงานบูรพาซึ่งรับผิดชอบการประหารชีวิตเมื่อคืนนี้ ก็เดินเข้ามาและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทูลองค์รัชทายาท เฉินจื้อถูกประหารชีวิตเรียบร้อยแล้ว ตีครบหนึ่งร้อยไม้ เมื่อถึงไม้สุดท้ายก็ขาดใจตาย”

“ทำได้ไม่เลว ไปที่คลังเพื่อรับรางวัลซะ” หลี่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ

สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้คน คือการให้รางวัลและลงโทษพวกเขาอย่างเคร่งครัด

หากทำชั่วจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กล้าขัดคำสั่ง

แต่ถ้าทำดีก็จะได้รับรางวัล ครั้งหน้าที่ให้ทำงาน พวกเขาจะได้มีกำลังใจ

องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองคนต่างมีสีหน้ายินดี หลังกล่าวขอบพระทัยเสร็จก็รีบเดินจากไป

บนแท่นบรรทมในห้อง

หลี่เฉินเพิ่งก้าวเท้าออกไป จ้าวหรุ่ยก็ลืมตาขึ้นทันที

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (1)
goodnovel comment avatar
โต ธนสมบัติ
เยี่ยมมากสนุก
Tignan lahat ng Komento

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1180

    คำพูดประโยคเดียวของหลี่เฉิน ก็สามารถสลายความกังวลใจที่ใหญ่หลวงที่สุดในใจของหลิวซือฉุนลงได้พร้อมทั้งเป็นการพิสูจน์ว่า หลี่เฉินไม่เคยคิดจะเป็นพวกยืมเงินแล้วไม่คืน หรือฆ่าไก่เอาไข่ทองคำเลยแม้แต่น้อยหลิวซือฉุนถอนใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเฉลียวฉลาด ยอดสตรีน้อมสรรเสริญเพคะ”“แทบไม่เคยได้ยินคำไพเราะเช่นนี้จากปากเจ้ามาก่อนเลยนะ”หลี่เฉินเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “เรื่องนี้ ต้องรีบจัดการให้เร็ว”หลิวซือฉุนครุ่นคิดเล็กน้อย ถามว่า “เร็วเพียงใดหรือเพคะ?”“เร็วได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น”หลี่เฉินตอบหนักแน่น “ขณะนี้ศึกที่ด่านเยว่ยากวนได้ปะทุขึ้นแล้ว ทัพภายในแผ่นดินก็ได้เคลื่อนพลไปสมทบ เมื่อกำลังพลไปถึง ศึกใหญ่ก็จะระเบิดขึ้นแน่นอน เงินในคลังหลวงจะต้านทานได้ไม่เกินครึ่งเดือน”“กล่าวคือ ภายในครึ่งเดือน ต้องระดมเงินจำนวนห้าสิบล้านตำลึงให้ได้ใช่หรือไม่เพคะ?” หลิวซือฉุนมองหลี่เฉินพลางเอ่ยถาม“ภารกิจนี้มิใช่เรื่องง่าย เจ้ากล้ารับหรือไม่?” หลี่เฉินถามกลับหลิวซือฉุนสูดหายใจลึก ขบฟันแน่นพลางเอ่ยว่า “หากฝ่าบาทมีเรื่องให้ตระกูลหลิวช่วยเหลือ ก็ถือเป็นเกียรติของตระกูลหลิว ต่อให้ยากเย็นเพียงใด ตระกูลหลิวก็จะฟั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1179

    หลี่เฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง“แม้ขณะนี้คลังหลวงจะดีกว่ายามเผชิญภัยพิบัติก็ตาม แต่สถานะทางการเงินของราชสำนักยังคงไม่น่าวางใจนัก บัดนี้ราชสำนักจำต้องจัดการเรื่องใหญ่อันหนึ่ง ซึ่งหากไร้เงินทองแล้ว ย่อมไม่อาจสำเร็จได้”“ค่าใช้จ่ายจากทุกด้าน อย่างน้อยที่สุดต้องใช้ราวๆ ห้าสิบล้านตำลึง”คำพูดประโยคเดียวของหลี่เฉิน ทำให้หลิวซือฉุนตกใจถึงกับร้องเสียงเบา“ห้าสิบล้านตำลึงหรือเพคะ!?”ห้าสิบล้านตำลึง…คือแนวคิดที่น่าหวาดหวั่นเพียงใด?ตลอดสามร้อยหกสิบกว่าปีของจักรวรรดิต้าฉิน แม้แต่ยุครุ่งเรืองที่สุด รายได้คลังหลวงทั้งปียังไม่เคยเกินสิบสองล้านตำลึงขณะองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเสด็จขึ้นครองราชย์ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา รายได้คลังหลวงแต่ละปียังไม่ถึงแปดล้านตำลึงแต่หลี่เฉินเอ่ยปากทีเดียวถึงห้าสิบล้านตำลึง ตัวเลขนี้ถึงกับทำให้หลิวซือฉุนไม่กล้าคิดต่อเลยทีเดียว“ฝ่าบาท ห้าสิบล้านตำลึงนี้ไม่เพียงหาได้ยาก แม้จะหาได้จริง ถึงคราวไถ่ถอน ราชสำนักจะสามารถชำระหนี้ได้จริงหรือเพคะ?” หลิวซือฉุนเอ่ยถามอย่างระมัดระวังนางไม่กล้าถามว่าเงินจำนวนมากขนาดนี้จะนำไปทำสิ่งใด แต่จำเป็นต้องรู้ว่าหลี่เฉินคิดจะชำระคืนหรือไม่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1178

    คำถามของหลี่เฉินทำให้หลิวซือฉุนรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันทีนางก้มศีรษะลง ตอบเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเกิดในตระกูลหลิว ย่อมต้องอยู่กับตระกูลหลิวไปตลอดเจ้าค่ะ”เวลานั้น ในห้องโถงยังมีท่านอาหลิวสามของตระกูลหลิวกับวั่นเจียวเจียวอยู่ด้วยวั่นเจียวเจียวเคยชินกับเรื่องเช่นนี้มานานแล้วแต่ท่านอาหลิวสามกลับตื่นตระหนกแทบจะขาดใจใครก็เข้าใจได้ว่าหลี่เฉินหมายถึงสิ่งใดท่านอาหลิวสามมองหลิวซือฉุน ดวงตาร้อนผ่าว แทบจะพุ่งเข้าไปตอบแทนให้นางเสียเองไปตำหนักบูรพาเถอะ!ไปสิ!ตระกูลหลิวที่แสนจะต่ำต้อยนี้มีอะไรให้น่าอยู่กันเล่า!ไปตำหนักบูรพาไม่ดีกว่าหรือ!?หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้มีอีกเรื่องหนึ่ง อยากให้เจ้าจัดการ”หลิวซือฉุนลอบถอนใจโล่งอก รีบกล่าวว่า “เชิญฝ่าบาททรงบัญชามาได้เลยเพคะ”หลี่เฉินตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นราวกับตัดสินใจได้แล้วจึงกล่าวว่า “ราชสำนักเร็วๆ นี้จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ในบัญชีของโรงเงินตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่?”หลิวซือฉุนสีหน้าเปลี่ยนทันที นางเอ่ยว่า “ในบัญชีของโรงเงิน ตอนนี้มีประมาณหกสิบแปดล้านตำลึงเงิน แต่ฝ่าบาท เง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1177

    เห็นหลี่เฉินอุ้มหลิวเฮ่อเข้าไปในจวน คนอื่นในตระกูลหลิวต่างพากันมองหน้ากันไปมาแต่อย่างน้อยตอนนี้ดูเหมือนว่า องค์รัชทายาทฝ่าบาทจะทรงโปรดหลิวเฮ่ออยู่ไม่น้อย?หลิวซือต๋ามองหลิวซือฉุนเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง หลิวซือฉุนจึงกล่าวว่า “เข้าไปดูแลก่อนเถิด ไม่น่าจะใช่เรื่องร้าย อาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”ด้วยฐานะของหลี่เฉิน ต่อให้เอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็พอให้นามของลูกหลานตระกูลหลิวรุ่งเรืองไปได้ทั้งชีวิตคนในตระกูลหลิวทยอยกันตามหลี่เฉินเข้าไปในจวนในห้องโถงใหญ่ คนในตระกูลหลิวส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติพอจะอยู่รับใช้ในนั้นมีเพียงหลิวซือฉุน สามอาของตระกูลหลิว และหลิวซือต๋าเท่านั้นที่อยู่ได้หลี่เฉินประทับนั่งบนที่ประธาน ให้หลิวเฮ่อนั่งอยู่บนตัก พลางยิ้มถาม “อายุเท่าไหร่แล้ว?”หลิวเฮ่อหันไปมองหลิวซือฉุนตาปริบๆ แต่พอได้ยินหลี่เฉินถาม ก็รีบตอบอย่างว่าง่ายว่า “สามขวบแล้วเจ้าค่ะ”พูดพลางยื่นนิ้วอ้วนกลมออกมาสามนิ้วเน้นย้ำหลี่เฉินเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างยินดี“ชื่อหลิวเฮ่อ ตั้งชื่อรองไว้หรือยัง?” ประโยคนี้หลี่เฉินถามหลิวซือต๋าหลิวซือต๋ารีบโค้งกายเล็กน้อย ตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท ยังมิได้ตั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1176

    สำหรับหลิวซือฉุนแล้ว คำเชิญแบบกะทันหันเช่นนี้ แม้หลี่เฉินจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาพระองค์ทรงจมอยู่กับราชการอันวุ่นวาย บัดนี้มีราชโองการใหม่เริ่มต้น แถมยังมีข่าวด่วนจากด่านเยว่หย่าอีก หลี่เฉินเองก็ทรงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลดังนั้นพระองค์จึงมิได้ลังเล หรือปฏิเสธ ทรงตอบรับด้วยความยินดีอย่างไรก็ดี ถึงฟ้าจะถล่ม ก็ยังไม่ใช่ยามนี้ มนุษย์ย่อมต้องหาโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศบ้างสำหรับตระกูลหลิวแล้ว การเสด็จมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวขององค์รัชทายาทฝ่าบาท ทำให้ทั้งตระกูลแทบแตกตื่นเป็นไก่บินหมาวิ่งตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองหลวงและมิได้เดินทางไปต่างเมือง ญาติพี่น้องทุกคนไม่เว้นสักคนต่างพร้อมใจสวมเสื้อผ้าใหม่ แต่งกายสะอาดเรียบร้อย ทั้งภายนอกภายในเรือน แม้แต่รอยร้าวบนชายคาก็ไม่เว้น ล้วนขัดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องมิใช่เพียงเท่านั้น ตระกูลหลิวยังรีบรุดไปเชิญพ่อครัวจากภัตตาคารชั้นนำของเมืองหลวงมาทั้งคนทั้งเขียง ถึงขนาดทำให้เจ้าของร้านหลายแห่งบ่นอุบ ทว่าพอถูกโยนเงินแท่งใหญ่ใส่หน้าเข้า พวกเขาก็พลันยิ้มแย้ม ยินดีส่งพ่อครัวในร้านออกไปทันทีวันเช่นนี้ สำคัญยิ่งกว่าวันขึ้นปีใหม่ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1175

    การคำนับครั้งนี้ เขาค้อมกายลงอย่างลึกสุดหัวใจผ่านไปสามลมหายใจ หลี่เฉินจึงค่อยยืดตัวตรงเขาหันไปกล่าวกับเหล่าราษฎรด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องราวใต้หล้านั้นมากมายดั่งดวงดาว ข้าผู้เดียวไม่อาจปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ แต่สามารถรับประกันได้ว่า เจอเรื่องใด จัดการเรื่องนั้น เจอผู้ใด ฆ่าผู้นั้น!”“จงประกาศราชโองการข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เจ้าผู้ครองแคว้น ขุนนาง ขุนพล ไปจนถึงพ่อค้าแม่ค้า หากพบเห็นเรื่องอธรรม ขุนนางไม่ซื่อสัตย์ ข่มเหงราษฎร ร้องทุกข์ไร้หนทาง ร้องเรียนมิได้ ล้วนสามารถไปยื่นฎีกาที่ตำหนักบูรพาได้โดยตรง ขุนนางทั่วแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ หากมีผู้ใดขัดขวาง ลงโทษด้วยการประหารด้วยโทษแหวะเนื้อ!”“ราชโองการนี้ ประกาศทั่วหล้า มีผลทันที!”เมื่อสิ้นคำ สหายทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลัง ไม่เว้นแม้แต่เฉินทง ต่างเปล่งเสียงพร้อมกันว่า “กระหม่อม ขอรับพระบัญชา!”ท่ามกลางราษฎร เกิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้องฟ้าดินมีคนร้องไห้พลางเปล่งเสียงว่า “กษัตริย์ทรงธรรม! ต้าฉินของเราสุดท้ายก็ได้พบกษัตริย์ทรงธรรมแล้ว!”“องค์รัชทายาททรงเมตตายิ่งนัก เป็นโชคของต้าฉิน โชคของราษฎรต้าฉิน!”หลี่เฉินโบกมือ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status