นัดหมายสามวันพริบตาเดียวก็มาถึง เรื่องเกี่ยวพันถึงตัวเลือกผู้จะได้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าเฉียน และคล้ายเกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของทุกคน บรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหมดในต้าเฉียนมาชุมนุมกันอยู่ที่ตำหนักว่านฉงแต่เช้าแล้วไท่เว่ยจางเต้าหลินที่พักครึ่งปีเต็ม ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ในราชสำนักแบบมหัศจรรย์ด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของประลองคราวนี้ในใจทุกคนเมื่อฉินอวิ๋นฟานย่างเท้าเข้าตำหนักใหญ่ก็ถูกภาพเบื้องหน้าทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด เสายักษ์สูงชะลูดแปดต้นอลังการอย่างยิ่ง บนนั้นแกะสลักมังกรสีทองคำตัวมหึมาที่ราวกับมีชีวิตแปดตัว สง่างามน่าเกรงขาม ให้คนรู้สึกเหมือนมีความกดดันจากทวยเทพอย่างยิ่งตำหนักใหญ่มาก บรรจุได้สามร้อยกว่าคน ภาพแกะสลักวิจิตรทองอร่ามอยู่ถ้วนทั่ว หรูหราปานวิมานเซียน!ครั้นดึงสติกลับมา ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามองรอบหนึ่ง ตรงกลางตำหนักใหญ่มีขุนนางใหญ่สำคัญยืนอยู่สองฟากฝั่งร้อยกว่าคน เช่นเดียวกัน ทุกสายตาต่างจับจดอยู่ที่ตัวของเขาด้วย“อ้าว นี่น้องเจ็ดไม่ใช่หรือ? หลายปีขนาดนี้ ในที่สุดเจ้าก็หวนคืนราชสำนักเป็นปกติสักที ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะนำการแสดงตลกอะไรมาให้พวกเราสิน่า? ชวนให้คนอยากรู้จริง ๆ
เห็นเพียงสตรีนางหนึ่งในชุดกระโปรงผ้าไหมสีแดงสดสะดุดตา คอเสื้อต่ำมาก หน้าอกอวบอั๋นอุดมสมบูรณ์โดดเด่นที่สุด เนื่องจากสวมเครื่องประดับเงินอยู่ตรงคอหลายเส้น จึงทำให้ร่องลึกวับ ๆ แวม ๆ ชวนให้คนมองจนหลงใหลนางสวมผ้าปิดหน้าสีขาวผืนบาง คิ้วโก่งดังใบหลิว ดวงตาที่มีเสน่ห์ยิ่งกว่าดอกท้อล่อลวงหัวใจคนอย่างยิ่ง ผิวพรรณขาวสะอาดเนียนนุ่มปานหิมะ แบ่งผมดำเกล้าสูงทรงหญิงงาม สวมกวานหงส์และผ้าคลุมไหล่ โดดเด่นชวนมอง งามวิไลพาลให้ใจคนหวั่นเหมือนเซียนบนสรวงสวรรค์ลงมาจุติ!ตลอดทางที่ผ่าน กลิ่นหอมขจรขจาย สายตาเฒ่าหัวงูมิอาจเคลื่อนออกจากร่างฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวได้เลย บางคนยังถึงขึ้นน้ำลายไหลแบบไม่รู้ตัว“สุดยอดดังคาด!”ทันทีที่ฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวปรากฏ ฉินอวิ๋นฟานก็ถูกบรรยากาศน่าทึ่งรอบตัว รูปร่างสมบูรณ์แบบและการแต่งหน้าประณีตของนางดึงดูดอย่างหนักเหมือนกัน เป็นตัวตนที่ไม่ว่าจะอยู่งานไหนก็งามหยาดเยิ้มสะกดข่มมวลชนหากเทียบกับความงามของมู่หรงจิ่น ความงามของฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวกลับพกพาความเย็นชา หยิ่งและอำนาจมาด้วย มีความเป็นผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์ยั่วยวนแผ่ออกมาจากตัว คุณลักษณะสมบูรณ์แบบเช่นนี้รวมอยู่ในตัวฮ่อ
ครั้นฉินอวิ๋นฟานพูดออกมาก็ราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่ากลางตำหนักใหญ่ ชักนำความไม่พอใจของเหล่าขุนนางใหญ่!“รัชทายาท ที่นี่คือราชสำนัก ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านจะกำแหงได้ กรุณาระวังคำพูดของท่านด้วย ท่านไม่อยากรักษาหน้า แต่พวกเราแก่ ๆ นี่ยังต้องการอยู่”“นั่นสิ รัชทายาท พวกเราชมท่วงทำนองแห่งยุคของฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวมีอะไรไม่เหมาะสมหรือ? อีกอย่าง พวกเราก็ไม่ได้ล่วงเกินท่านกระมัง เหตุใดต้องลบหลู่พวกเราด้วย?”“ต่อให้ท่านเป็นรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินแต่จะกำเริบเสิบสานไม่ได้กระมัง? ไท่ซั่งหวงยังประทับอยู่เบื้องบน ท่านเพิ่งกลับมาเป็นปกติก็จะเป็นศัตรูกับทุกคน จะกำแหงไปแล้วกระมัง?”......เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทียโสและแววตาที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาและของฉินอวิ๋นฟาน ก็ทำเอาบรรดาขุนนางเดือดดาลด้วยจะผดุงคุณธรรม ไฟโทสะเต็มทรวง ใบหน้าชราอับอายจนแดงก่ำวันนี้เป็นวันสำคัญยิ่งของราชวงศ์ต้าเฉียน ชะตาของทุกคนขึ้นอยู่กับวันนี้เจ้าก็แค่รัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินหัวเดียวกระเทียมลีบ จะอยู่รอดเดินออกจากตำหนักนี้หรือไม่ยังอีกเรื่อง กลับกล้าโอหังเช่นนี้ มาถึงก็ล่วงเกินทุกคนในที่นี้รนหาที่ตายชัด ๆ!“น้องเจ็ด ฮ่อง
“รนหาที่ตายหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงเย็น “ถึงตอนนั้นท่านก็รู้เองนั่นแหละ!”ในยุคปัจจุบัน เขาเป็นพวกเด็กเรียนดีสุดขั้ว มีคุณลักษณะทางร่างกายที่แกร่งมาก ดังนั้นจึงเลือกโรงเรียนทหาร และใช้คะแนนยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นจัดการให้เข้าหน่วยความปลอดภัยระดับสูงสุดของชาติแบบลับ ๆ ด้วย!อย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย แต่ให้เป็นสมัยปัจจุบันก็อยู่เหนือคนร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้า แค่ใช้เทคโนโลยีสุดล้ำนิดหน่อยก็ต่อกรกับพวกใช้แรงงานในสมัยโบราณแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของผลิตปืนสั้นเรียบร้อย ต่อกรกับพวกเขาแทบเป็นการลดมิติการต่อสู้เหมียวชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “รัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียนฉินอวิ๋นฟานหรือ?”ในความทรงจำของนาง รัชทายาทต้าเฉียนเป็นคนโง่งมที่ชื่อว่าฉินอวิ๋นฟาน ปราศจากความรู้สึกมีตัวตนคิดไม่ถึงว่าเจอหน้าครั้งแรก ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงแต่ไม่เหมือนโง่งม ยังจะแข็งกร้าวเช่นนี้ และบนตัวยังมีกลิ่นอายเผด็จการของราชันแผ่ออกมาด้วย!“ถูกต้อง ข้าก็คือฉินอวิ๋นฟาน!”ฉินอวิ๋นฟานยืนเอามือไพล่หลังเหมียวชิงอีมองประเมินฉินอวิ๋นฟานรอบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อรัชทายาทอดรนทนไม่ไหวแล้ว เ
“แม่ของเจ้าเป็นแค่สาวใช้ข้างห้องข้างตัวแม่เจ้ารองเท่านั้น นางได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมถือว่าอดีตฮ่องเต้ทรงพระเมตตามากแล้ว จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรอีกหรือ?”“ในหมู่องค์ชาย ฐานะของเจ้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุด ถ้าข้าอารมณ์ดีก็เรียกเจ้าว่าน้องแปด แต่ถ้าไม่ เจ้าก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งข้างเจ้ารอง เจ้าคุยใหญ่คุยโตหน้าด้าน ๆ ในราชสำนักได้ตั้งแต่เมื่อไร?”การประลองเพิ่งเริ่ม องค์ชายใหญ่ก็เข้าโหมดต่อสู้แล้ว ต่อหน้าองค์ชายแปดฉินอวิ๋นเซินผู้มีฐานะต้อยต่ำ เขาใช้ถ้อยคำเสียดแทงที่สุด พูดแทงใจดำองค์ชายแปดตรง ๆ“ท่าน ท่าน...”องค์ชายแปดโกรธจนหน้าเขียวปัด เขาในวัยเพียงสิบแปดเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหน เจอกับความใจดำและการหยามเหยียดลบหลู่ของพี่ใหญ่ ทำให้เขาอับอายจนเกิดเป็นโทสะ“น้องแปด!”องค์ชายรองหน้าตึงตบบ่าของฉินอวิ๋นเซิน ก่อนจะพูดปลอบว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ปรับของเขา ถอยไปก่อน”“พี่ใหญ่พูดเกินไปแล้ว ถึงมารดาของน้องแปดจะมีฐานะต่ำต้อย หากเป็นโอรสแท้ ๆ ของเสด็จพ่อ ท่านกลับเปรียบเทียบเขากับสุนัข ขอถาม ท่านที่เป็นองค์ชายเหมือนกันดีไปกว่าสุนัขหรือ?”“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”องค์ชายใหญ่ต
ฉินอวิ๋นฟานสองมือกอดอก มองการต่อสู้เข้มข้นระหว่างทั้งสองเงียบ ๆ และมองตรงฉากบังลมในตำหนักใหญ่เป็นระยะเมื่อก่อนเขาเห็นการต่อสู้ในราชสำนักจากหนังสือประวัติศาสตร์และละคร ตอนนี้ได้ประสบกับตัวเอง ทั้งยังไม่เข้าร่วมซะด้วย ได้อรรถรสอีกอย่างหนึ่งจริง ๆ“เพื่อไม่ให้ทุกท่านเสียเวลา ข้าจะเริ่มแต่งกลอนคู่ก่อนแล้วกัน ถ้าใครสามารถต่อให้จบได้ ก็ถือว่าข้าเหลียงคังจวิ้นแพ้ แต่ถ้าต่อไม่ได้ ก็ถือว่าข้าชนะ ไม่ทราบทุกท่านเห็นว่าอย่างไร?”เหลียงคังจวิ้นเดินไปอยู่ตรงกลางตำหนักเลย เปิดฉากการประลองด้านบุ๋นรอบแรก ท้าทายผู้เข้าร่วมแข่งขันโดยตรง!ซ่า...ครั้นสิ้นเสียง สถานที่แห่งนั้นก็อึกทึกครึกโครม เหลียงคังจวิ้นที่ขับกลอนกับผู้คนบ่อย ๆ ไม่เพียงแต่ข่มทับเหล่ายอดฝีมือ ทั้งยังเอาชนะด้วยคะแนนขาดลอย ชื่อเสียงระบือไกล กลอนที่เขาแต่งหากไม่ใช่ผลงานโดดเด่นน่าทึ่งถึงที่สุด ก็เรียกได้ว่าเป็นความยากระดับนรกการที่คนสามารถแต่งกลอนต่อจากเขาได้จะเพียงพอพิสูจน์ภูมิลึกซึ้งและรากฐานหยั่งลึกของเขา น่าเสียดาย ด้านการแต่งกลอนนี้ แทบไม่มีผู้ใดต่อกลอนจากเหลียงคังจวิ้นได้เลย! “นี่เจ้าพูดเองนะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะขอคำชี้แน
“กับอีแค่กลอนกระจอก มีอะไรยากกัน?”ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าประหลาดใจ ระดับวรรณกรรมในสมัยโบราณมันแค่นี้เองเหรอะ? ด้วยคลังกลอนโบราณของเขา พอเทียบกับผู้มีการศึกษาที่ว่าเหล่านี้มิใช่ชนะขาดลอยหรือ?“สามหาว!!!”“โอหัง!!!”“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!!!”......คำพูดเดียวของฉินอวิ๋นฟานชักนำโทสะมวลชน องค์ชายรองเป็นผู้มากสามารถที่ส่วนรวมยอมรับ เขายังแต่งกลอนที่เข้าคู่กับสุดยอดกลอนของเหลียงคังจวิ้นไม่ได้เลย แล้วเจ้าเป็นแค่ตัวโง่งมเอาอะไรมาคุยโม้?ต่อให้เจ้าฉินอวิ๋นฟานจะเป็นปกติแล้ว แต่การสั่งสมความรู้ด้านวรรณกรรมหรือจะทำได้ในเวลาอันสั้น?“ฟานเอ๋อร์ กลอนวรรคนี้วิเศษล้ำลึกนัก มีระดับสูงมาก เจ้าแน่ใจหรือว่าต่อวรรคถัดไปได้?”ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วกับเรื่องนี้เล็กน้อย แม้เขาจะไม่มีพรสวรรค์สูงเด่นในด้านวรรณกรรม กลับพอเข้าใจบ้าง ด้วยความเข้าใจของเขาต่อกลอนวรรคนี้ มันมีความยอดเยี่ยมน่าอัศจรรย์จริง ๆ กระทั่งเรียกได้ว่าที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะต่อได้“ทูลไท่ซั่งหวง!”ก็ขณะที่ฉินอวิ๋นฟานเตรียมจะต่อวรรค เหลียงคังจวิ้นกลับแทรกขึ้นมา เขายิ้มพูดด้วยความหมายลึกซึ้ง “หลายปีมานี้มีใครไม่รู้บ้างว่ารัชทายาทไม
หลายวันมานี้ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้อยู่เฉย สืบเรื่องของเหลียงคังจวิ้นอย่างลับ ๆ คนผู้นี้สํามะเลเทเมา มักมั่วกามหลังดื่มเป็นประจำ ร่วมการชุมนุมต่าง ๆ กินหรูอยู่สบาย สุรุ่ยสุร่ายที่สุดแล้วเขายังถึงกับทำเรื่องใช้กำลังขืนใจสาวใช้ ข่มเหงผู้อ่อนแอรังแกหญิงสาวบ่อยครั้งทั้งยังไม่รับผิดชอบอะไรด้วย ขุนนางใหญ่โตข้างตัวจัดการเรื่องยุ่งยากพรรค์นี้ให้เขาโดยเฉพาะ แน่นอน เบื้องหลังต้องมีเงาของฉินอวิ๋นคังอยู่แล้วในยุคปัจจุบันคนประเภทนี้ก็คือคนเลวในคนเลว ทุกคนฆ่าได้หมด ซือชง[footnoteRef:1]ยังเที่ยวสู้เขาไม่ได้เลย [1: หวังซือชง นักธุรกิจหนุ่มและเน็ตไอดอล ทายาทคนเดียวของวั่นต๋ากรุ๊ป] “เฮอะ มีอะไรไม่กล้า? ถ้าวันนี้ข้าเหลียงคังจวิ้นยอมแพ้ ข้าก็คือเดรัจฉานไอ้ลูกเต่า!”ฉินอวิ๋นฟานกระตุ้นโทสะของเหลียงคังจวิ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว รับคำท้าของฉินอวิ๋นฟานทันที ในสายตาของเขา การที่ฉินอวิ๋นฟานกล้าท้าเขาก็คือรนหาที่ตาย!“แต่ในเมื่อรับคำท้าจากข้าแล้ว ก็ต้องมีบทลงโทษที่สมควรนะ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”เห็นเหลียงคังจวิ้นหลงกล ฉินอวิ๋นฟานดีใจยกใหญ่ จัดการผู้ชายเลวพรรค์นี้เขาไม่มีจิตเมตตาใจอ่อนหรอก ไม่สยบเขาให้หมอบราบคาบแก้