LOGINเสียงกระโดดเบา ๆ บนสแตนด์ชั่วคราว เสียงตะโกนจังหวะนับจากทีมลีดเดอร์ดังสลับกับเสียงนกหวีดของโค้ชบาสที่ยังสั่งให้ทั้งทีมวิ่งรอบสนามอย่างไม่มีหยุด
เสียงเป่านกหวีดของโค้ชบาสดังถี่ ๆ เป็นจังหวะ
“รอบสุดท้ายแล้ว! ขาสูง! อย่าลาก!”
ทีม R.C.U. Hawks วิ่งเป็นแถวเวียนรอบสนาม เหงื่อท่วมหลังแต่ยังไม่มีใครบ่นสักคำ—โดยเฉพาะคีตะที่ยังรักษาจังหวะวิ่งของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้า แต่สังเกตทุกอย่างรอบตัวเสมอ
อีกฟากหนึ่ง—บนแสตนด์เชียร์
ทีมเชียร์ลีดเดอร์ R.C.U. Crown ซ้อมเต้นกันอย่างกระตือรือร้น ท่าประสานของแต่ละคนเริ่มเข้าจังหวะมากขึ้น เสียงนับจังหวะจากหัวหน้าทีมดังขึ้น
“ห้า หก เจ็ด แปด! เตะ! หมุน! ชูมือ!”
เมษาอยู่ในแถวหน้า ท่าทางคล่องแคล่วเช่นเคย เธอเผลอยิ้มเล็กน้อยกับตัวเอง เพราะเมื่อครู่แอบเห็นคีตะวิ่งผ่านขอบสนาม—แม้เขาจะไม่ได้มองกลับมา แต่แค่นั้นก็ทำให้เธอใจฟูแล้ว
ทว่า...ในขณะที่เธอกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ —
“โอ๊ะ! ขอโทษทีเมษา~”
เสียงพร้อมกับแรงกระแทกจากด้านหลังดังขึ้น แรงชนแม้ไม่รุนแรงมากนัก แต่มากพอให้ร่างเล็กเสียหลักบนขั้นบันไดแคบ ๆ ของสแตนด์ที่ต่อชั่วคราว
เสียงกรีดร้องของบรรดารุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ดังขึ้นด้วยความตกใจ
เมษารู้ว่าแผ่นไม้ใต้เท้าไม่มั่นคง จึงพยายามบิดตัวในอากาศเพื่อเลี่ยงแรงกระแทกใส่จุดสำคัญ
‘ต้องหมุนตัว เพื่อลดแรงกระแทก’
แต่ไม่ทัน
“เมษา!!”
เสียงของเขาดังขึ้นจากด้านล่าง
ตุบ!
วงแขนแข็งแรงคว้ารับร่างของเธอไว้ได้ทันเวลา อ้อมกอดอบอุ่นและมั่นคงทำให้หัวใจเมษาเต้นระส่ำ
“พะ...พี่คีตะ?”
ดวงตาเธอเบิกกว้างอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างเผลอกำเสื้อของเขาไว้แน่น ร่างทั้งร่างแนบชิดกับอกแกร่งจนหัวใจของเธอเต้นแรงมาก
คีตะไม่ได้พูดอะไร สายตาคมกริบของเขาเหลือบมองขึ้นไปบนแสตนด์ แล้วเห็นร่างของมุกยืนอยู่ — พร้อมกับรอยยิ้มแห้ง ๆ และแววตาหวาดหวั่นเล็กน้อย
ก่อนเขาจะลดสายตากลับลงมามองคนในอ้อมแขน
“เธอเจ็บตรงไหนมั้ย?” น้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความร้อนรนที่ปิดไม่มิด
เมษาขยับตัวลงจากอ้อมแขนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ พยายามยืน แต่ทันทีที่เท้าขวาแตะพื้น—
“อ๊ะ...” เธอร้องเบา ๆ แล้วเซเล็กน้อย
คีตะคว้าแขนไว้ทันที
“ตรงไหน?”
“ข้อเท้า...ข้อเท้าพลิกค่ะ”
คิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่นทันที เขาอุ้มเธอขึ้น แล้วพาไปนั่งตรงม้านั่งข้างสนามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะย่อตัวลงต่อหน้าเธออย่างไม่แคร์สายตาใคร
เสียงกรี๊ดบนสแตนด์ดังเบา ๆ เมื่อเห็นการกระทำของชายหนุ่ม
“ถอดรองเท้า”
เขาพูดสั่ง มือใหญ่ค่อย ๆ แก้เชือกรองเท้าออกอย่างระมัดระวัง แล้วรูดถุงเท้าเบา ๆ ข้อเท้าแดงเล็กน้อย ยังไม่บวม
“โชคดีที่ไม่บวมมาก แต่ต้องประคบน้ำแข็งทันที”
“พี่คีตะ...” เมษากะพริบตาปริบ ๆ ขณะที่มองเขานั่งกับพื้น ประคองเท้าของเธออย่างระวัง
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด...แต่เพราะแววตาแบบนั้นของเขา
“เงียบ” เขาพูดเบา ๆ โดยไม่มองหน้าเธอ
คีตะนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้า คิ้วเข้มขมวดแน่นขณะมองข้อเท้าเล็กที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย มือใหญ่ไล้เบา ๆ เพื่อประเมินว่าเธอบวมตรงไหนบ้าง เมษานั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ...เพราะอยู่ใกล้เขาเกินไป และหัวใจก็เต้นแรงแทบจะหลุดออกมาด้านนอก
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นตามด้วยเสียงเรียก
“เมษา!”
พี่เชอรี่รีบวิ่งมาพร้อมเพื่อนอีกคนในทีมเชียร์ ทั้งคู่ย่อตัวลงข้าง ๆ อย่างร้อนรน
“เป็นไงบ้าง? เจ็บมากมั้ย?”
พี่เชอรี่ถามเสียงรัว แต่สายตากลับชำเลืองมองไปที่คีตะด้วยเล็กน้อย
คีตะเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมสบกับเชอรี่ตรง ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น
“ข้อเท้าพลิก ยังไม่บวม แต่ไม่ควรลงน้ำหนัก”
“...ต้องหยุดซ้อมใช่มั้ย?” เชอรี่ถามเสียงแผ่วลงนิดหน่อย
“ซ้อมดะ—” เมษากำลังอ้าปากจะตอบ แต่ต้องหุบปากทันทีเมื่อสายตาคมกริบตวัดมองเธอ
“ใช่” คีตะตอบสั้น ๆ แล้วหันกลับมารับถุงน้ำแข็งจากภูผาที่วิ่งไปหยิบมาให้
พี่เชอรี่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า
“อืม...ไม่เป็นไร ยังไงก็เหลือแค่รอบชิงชนะเลิศแล้ว”
“หายไว ๆ นะ เมษา” พี่เชอรี่บอก ก่อนเธอจะลุกขึ้นหันไปพูดกับเพื่อนอีกคน แล้วทั้งสองคนก็รีบเดินกลับไปยังทีมเชียร์ที่เริ่มหยุดซ้อมกันหมด
คีตะยังคงนั่งนิ่ง ก่อนจะเอาถุงน้ำแข็งแนบข้อเท้าให้เมษาอย่างเบามือ
“อย่าขยับ รอ 15 นาที เดี๋ยวพาไปห้องพยาบาล”
“แบบนี้หนูก็เต้นเชียร์พี่ไม่ได้น่ะสิ” เมษาหน้ามุ่ย พลางมองเท้าตัวเองอย่างขัดใจ
“ยังจะห่วงเชียร์อีกนะ” เสียงทุ้มต่ำตอบกลับ ดุเบา ๆ แต่แฝงความเอ็นดู
“...”
“ใครผลักเธอ?”
“คะ?” เมษาขมวดคิ้วกับคำถามนั้น
“ฉันเห็น” เขาพูดเรียบ ๆ ดวงตานิ่ง แต่แฝงความไม่พอใจลึก ๆ
เมษาเม้มปากแน่น ก่อนจะตอบ
“...หนูว่าพี่เขาคงไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
เขายังคงจ้องหน้าเธอ เหมือนจะอ่านความคิดทุกอย่างที่เธอพยายามปิดไว้ แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ พลางยกมือขึ้น ลูบศีรษะเธอเบา ๆ
“อย่าทำอะไรเกินตัวล่ะ”
มือใหญ่ลูบผ่านเส้นผมเธอด้วยความอ่อนโยนเพียงแวบเดียว ก่อนเขาจะลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วหันหลังเดินตรงไปยังโค้ชบาส
เสียงบทสนทนาเบา ๆ ดังขึ้น
“โค้ชครับ ผมขอกลับก่อน พาเมษาไปห้องพยาบาล”
โค้ชพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรมาก—เพราะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว
คีตะเดินกลับมา ก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“ปะ กลับกัน”
เธอกำลังจะลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็โน้มตัวลง แล้ว—
“ว้าย พี่คีตะ!!”
เมษาอุทานเสียงหลง เมื่อร่างของเธอถูกช้อนขึ้นในท่าเจ้าสาวแบบไม่ทันตั้งตัว
สองแขนโอบรอบคอเขาโดยอัตโนมัติ ใบหน้าแดงซ่านร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิด
“เดินไม่ได้ ก็อยู่เฉย ๆ”
คีตะบอกเสียงเรียบ ก่อนอุ้มเธอเดินออกจากสนามบาส ท่ามกลางเสียงฮือฮา และเสียงกรี๊ดระงมจากเหล่าเชียร์ลีดเดอร์ และทีมฝึกซ้อมที่มองตามอย่างตาค้าง
🌸🌸🌸
เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ดับลงหน้าบ้านใหญ่ คีตะดับมอเตอร์ไซค์แล้วลงจากรถ ก่อนจะหันไปพยุงเมษาที่ซ้อนท้ายอยู่ลงมาอย่างระวัง ร่างเล็กยังเกาะแขนเขาไว้แน่นเพราะเจ็บข้อเท้าเล็กน้อย
“เหยียบข้างซ้าย...เบา ๆ”
“ค่ะ…” เมษาพยักหน้า
คีตะเปิดประตูรั้ว เดินพาเธอเข้าไปในบ้าน ทันทีที่เปิดประตู—
“คีตะ ลูก…อ้าว หนูเมษา เป็นอะไรล่ะนั่น”
คุณอัญญาก้าวออกมาจากครัวด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นลูกชายพยุงเมษาเข้ามา
“ข้อเท้าแพลงนิดหน่อยค่ะ คุณน้า”
คุณอัญญารีบวางผ้ากันเปื้อนลงบนโต๊ะข้าง ๆ แล้วก้าวมาหาอย่างห่วงใยทันที
“ตายจริง…เจ็บมากมั้ยลูก?” น้ำเสียงแผ่วอ่อนโยน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
เมษาส่ายหน้ารัว ๆ
“ไม่มากค่ะ แค่นิดเดียวจริง ๆ ค่ะ”
คีตะที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับพูดแทรกขึ้นทันที น้ำเสียงทุ้มต่ำเรียบ ๆ แต่ชัดเจน
“ไม่ใช่นิดเดียว ต้องประคบเย็นทันที ถ้าปล่อยไว้จะบวม”
“อ้าว…พูดเหมือนหมอเลยนะเรา” คุณอัญญาหันไปมองลูกชายแล้วหัวเราะเบา ๆ แต่สายตาก็เต็มไปด้วยแววเอ็นดู ก่อนจะหันกลับมามองเมษาอีกครั้ง
“ไป ๆ ไปนั่งที่โซฟาก่อน”
คีตะไม่รอช้า พยุงร่างเล็กให้เดินช้า ๆ ไปยังโซฟาในห้องรับแขก มือหนาวางประคองแขนเล็กแน่น ราวกับกลัวเธอจะล้ม
เมษาหน้าแดงเล็กร้อนวูบ ใจสั่นเต้นระรัว
ใกล้เกินไปละค่า พี่คีตะ~ หนูจะเป็นลม
“เดี๋ยวแม่ไปหยิบน้ำแข็งให้”
คุณอัญญายิ้มอ่อนโยน แล้วเดินเข้าครัวไป
คีตะจัดการให้เมษานั่งลงเรียบร้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเธอ มือใหญ่จับข้อเท้าเล็กตรวจเช็กอย่างใจเย็น
“อึ่ก...” เมษาสะดุ้งเฮือก แต่กัดปากกลั้นเสียง ดวงตาคมของเขาเงยขึ้นมามองทันที แววตำหนิชัดเจน
“เห็นมั้ย แค่แตะนิดเดียวก็เจ็บ” น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ฟังแล้วใจสั่นกว่าโดนดุจริง ๆ
“มะ…ไม่เจ็บหรอกค่ะ หนูทนไหว” เธอส่ายหน้าแรง ๆ พยายามปฏิเสธ แต่เสียงสั่น
คีตะจ้องหน้าเธอ ดวงตาคมเหมือนอ่านทะลุความคิดทุกอย่าง เมษานั่งนิ่ง หายใจไม่ทั่วท้อง
ไม่นาน คุณอัญญาก็กลับมาพร้อมถุงน้ำแข็งพันผ้า ยื่นให้ลูกชาย
“ดูแลน้องดี ๆ นะ แม่ไปทำกับข้าวต่อ”
คีตะรับถุงน้ำแข็งมาก่อนจะเริ่มประคบให้ เขาทายาและพันข้อเท้าให้เรียบร้อย ขณะที่เมษานั่งซึม ใจเสียกับความคิดว่า— รอบชิงฯ เธอคงไม่ได้เต้นเชียร์เขาตามที่ตั้งใจ
คีตะเหลือบตามองหญิงสาวตัวเล็ก ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“รอบชิงฯ ไปนั่งเชียร์ตรงทีมก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกโค้ชให้”
เมษาตาโตวาววับทันที
“จริงเหรอคะ!!”
“อืม”
เมษาแทบจะเด้งขึ้นมาเต้นโคฟเวอร์ K-pop ให้ดูตรงนั้นเลย หัวใจเธอกรีดร้อง—กรี๊ดดด! อยากจัดคอนเสิร์ตขอบคุณพี่คีตะให้ลืมโลกไปเลยค่า!
สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์เมษายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแค่ช่วงนี้…ข้าวมันไก่ที่เคยกินแล้วฟินตอนดึก กลับกลายเป็นศัตรูของชีวิต ข้าวต้มปลาเจ้าประจำที่เคยคลั่งไคล้ ตอนนี้แค่ได้กลิ่นก็แทบอ้วกแต่สิ่งที่เธอรู้แน่ ๆ คือ…เธอกำลังจะมีลูก และ “คุณพ่อเด็ก” ก็คือสามีสุดหล่อผู้คลั่งรักที่เพิ่งรู้ข่าวนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว18.47 น.เสียงประตูคอนโดดัง “แกร๊ก”“เมียครับ!!! ลูกพี่กินอะไรได้บ้าง!! พี่ซื้อของมาเป็นสิบถุง!!!”คีตะ โชติธาดาคนเดิม เพิ่มเติมคือระดับความเห่อเกินหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ในมือเขาถือทั้งซุปปลาแบบออร์แกนิก ขิงแก่สดจากเชียงราย น้ำมะพร้าวไม่แช่เย็น ผ้าคลุมไหล่สำหรับหญิงตั้งครรภ์และ…หนังสือชื่อ ‘เข้าใจเมียท้องใน 60 นาที’ ที่เปิดอ่านค้างไว้ตรงหน้าแรก“พี่คีตะคะ…” เมษาถอนใจเฮือก“แค่หนูบอกว่าอาเจียนตอนเช้า พี่ก็ไปเหมาโซเชียลเหรอคะ?”“ก็…ก็พี่กลัวเมียเหนื่อยไงคะ แล้วก็ลูกพี่…ก็แสบตั้งแต่ยังไม่ออกมา!”คีตะวางของลง ก่อนจะพุ่งมาทรุดตัวนั่งข้างเธอบนโซฟา เอามือทาบท้องเธอเบา ๆ ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่เห็นพุงแม้แต่นิด“อยากให้พี่ทำอะไรมั้ยครับ? อยากกินอะไรเป็นพิเศษ? น้ำแข็งจากขั้วโลก? ท
3 ปีต่อมา…แม้กรุงเทพฯ ยังจมอยู่ในวังวนเดิม ๆ ของการจราจรที่เหมือนภาพซ้ำทุกเช้าเย็น แต่ชีวิตของคีตะเปลี่ยนไปไกลราวฟ้ากับเหวจากเมื่อสามปีก่อนจากอดีตหนุ่มวิศวกรรมเครื่องกลที่ชีวิตผูกติดกับเครื่องจักร น้ำมันเครื่อง และซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติวันนี้เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุดของสำนักงานใหญ่ อาริกาโตะ กรุ๊ป—บริษัทเทคโนโลยีระดับอินเตอร์ที่กำลังเติบโตเร็วเหมือนติดจรวดในมือของเขามีทั้งดีลระดับพันล้าน หุ้นใหญ่ในมือ และแผนระดมทุนรอบใหม่ที่เหล่านักลงทุนต่างเฝ้ารอแต่ในสมองของเขา...มีเพียงคำถามเดียวที่วนซ้ำอยู่ทุกวัน‘เมียกูกินข้าวยังวะ’ไม่ว่าในแต่ละวันจะมีตารางงานแน่นขนาดไหน ต่อให้เลขาฯ ต้องคุกเข่ากราบขอให้เลื่อนนัดด่วนกับนักลงทุนต่างชาติคีตะก็จะส่ายหน้า...แล้วพูดเสียงนิ่งว่า“ผมห้ามมีนัดหลังหกโมงเย็นเด็ดขาด”‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ประจำตัวผู้บริหารใหญ่นี้คือกฎเหล็กข้อเดียวที่ใครก็ห้ามล้ำเส้นเพราะนั่นคือเวลาที่เขาจะรีบกลับคอนโดหรูย่านสุขุมวิท...กลับไปหาเมียที่ทั้งน่ารัก แสบ และเป็นแม่บ้านที่เขาหลงรักยิ่งกว่ากำไรรายไตรมาสวันนี้ก็เช่นกัน...เสียง ‘ติ๊ด’ จากปร
เสียงแสงแดดกลางฤดูหนาวทาบทอผ่านสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัย R.C.U. กลิ่นดอกไม้ปนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางเสียงชัตเตอร์มือถือที่ดังระรัวจากบรรดาเพื่อน ญาติ พี่น้องที่แห่มาร่วมแสดงความยินดีในวันสำเร็จการศึกษาเมษาในชุดครุยปักตราประจำคณะเดินออกจากหอประชุม พร้อมรอยยิ้มสดใสทันทีที่เห็นคนสำคัญ“คุณแม่! คุณพ่อ!”เธอวิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ปาริฉัตรแน่น ส่วนท่านทูตดิลกก็ส่งยิ้มอย่างภูมิใจพลางเอื้อมมาลูบผมลูกสาวเบา ๆ“ลูกสาวพ่อเรียนจบแล้วนะ”“สวยที่สุดในรุ่นเลยค่ะ ลูกแม่!”ด้านหลังยังมีอีกสองคนที่ยิ้มอย่างภูมิใจไม่แพ้กัน — คุณธนา และคุณแม่อัญญาของคีตะ ทั้งคู่ยืนถือของขวัญกล่องเล็ก ๆ พร้อมดอกไม้ช่อโตที่เตรียมมาให้เธอเช่นกัน“ยินดีด้วยนะจ๊ะ หนูเมษา”“ขอบคุณค่ะ คุณอา คุณน้า” เมษายิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะรับของขวัญจากทั้งคู่“แล้ว...พี่คีตะล่ะคะ?” หญิงสาวหันมองไปรอบตัวทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนแอบอมยิ้ม“หาพี่เหรอ?”เสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาเมษาหันขวับไปทันทีคีตะมาในเสื้อเชิ้ตพอดีตัว กางเกงสแลค หล่อเนี้ยบจนทำเอาเมษาถึงกับตาพร่า แต่สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นกลับไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ —มันคือสายตาที่
“คิดอะไรอยู่ หืม~?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมอง แล้วต้องกลั้นหายใจเล็กน้อยคีตะในชุดลำลองเสื้อกล้ามสีเข้มกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ผมเปียกนิดหน่อยจากการอาบน้ำ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเย็น อีกข้างถือผ้าขนหนูเขาเดินเข้ามาหาช้า ๆ แล้วนั่งลงข้างเธอ พลางยื่นผ้ามาคลุมศีรษะเธอไว้เบา ๆ ก่อนวางแก้วไว้ข้างตัว“ผมยังไม่แห้งดีเลย เดี๋ยวไม่สบาย” เสียงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และค่อย ๆ เช็ดผมให้เธอ“อื้อออ~ ไม่ต้องเช็ดแรงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหัวหนูหายหมด” เมษาบ่นอุบ แต่เสียงกลับแผ่วลงเรื่อย ๆคีตะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดเช็ด แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมนิ่งลึกสะท้อนแสงจันทร์ และเธอรู้สึกได้ว่า ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว“พะ...พี่คีตะ...”“หืม?” คีตะเลื่อนมือมาจับปลายคางเธอเบา ๆ“คือ...” เมษาตาโต หน้าแดงซ่านไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากของเขาก็โน้มลงมาแตะกับริมฝีปากของเธอเบา ๆ จูบแรกนั้นนุ่มนวล...อบอุ่น...แฝงความทะนุถนอมแต่ในวินาทีถัดมา รสจูบนั้นกลับค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆปลายลิ้นร้อนแตะที่กลีบปากเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ดุนดันให้เธอเปิดรับสัมผัสที่เร่าร้อนยิ่งกว
หลังจากคีตะเรียนจบคุณพ่อธนาไม่รอช้า…กดดันให้ลูกชายคนเดียวเข้าไปช่วยงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวทันที“จะออกแบบเครื่องยนต์ หุ่นยนต์ หรืออะไร พ่อไม่ว่า แต่ช่วยทำโปรเจกต์กับแผนกเทคโนโลยีในเครือเราซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อน ได้มั้ยลูก!”เสียงของคุณพ่อยังดังก้องในหัวเขาแต่คีตะในเสื้อฮู้ดสีเทา กับกางเกงวอร์มเรียบ ๆ กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ยกโน้ตบุ๊กขึ้นบนตัก เปิดแบบจำลองหุ่นยนต์ต้นแบบที่เขาออกแบบเอง —โครงสร้างเครื่องกลซับซ้อนแต่สมบูรณ์แบบจนเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง‘ถ้ามีเวลาอีกซักหน่อย...โปรเจกต์นี้ต้องสำเร็จแน่’เขาคิดในใจ ก่อนเสียงใส ๆ ที่คุ้นเคยจะดังขึ้นจากประตู“พี่คีตะขา~ หนูเอาน้ำมะพร้าวมาฝาก~”เสียงหวานนั่นทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้น — และทันทีที่เห็นคนตรงหน้า ความเครียดทั้งวันก็ละลายหายไปในพริบตาเมษาในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า เดินยิ้มหวานถือแก้วที่มีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ กับถุงใส่ขนมที่เธอซื้อมาฝากตั้งแต่สอบปลายภาคเสร็จ พ่อและแม่ของเธอก็ต้องกลับไปประจำสถานทูตอังกฤษเหมือนเคย และเพราะไม่อยากให้เธออยู่บ้านคนเดียว — เมษาจึงกลับมาอยู่บ้านโชติธาดาอีกครั้งแล
วันเวลาผ่านไปจนเมษาและคีตะเข้าสู่ปิดเทอมอีกครั้ง และครั้งนี้พ่อและแม่ของเมษาลางานกลับมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกสาวที่เมืองไทย ทำให้เมษาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอชั่วคราวแต่เมื่อท่านทูตดิลกรู้ว่าคีตะกับเมษาคบกัน ท่านทูตก็เปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นคุณพ่อโหมดหวงลูกสาวทันทีวันนี้...คีตะมีภารกิจ เขาตั้งใจมาขออนุญาตท่านทูตดิลกเพื่อพาเมษาไปเที่ยวด้วยกัน สำหรับ ‘เดทแรก’ ของทั้งคู่ในฐานะ ‘แฟน’บรรยากาศบ้าน ‘ไทระ’ ในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่และกลิ่นชาเขียวจากสวนญี่ปุ่นที่อยู่ข้างตัวบ้าน แสงแดดอ่อนของช่วงบ่ายส่องลอดใบไผ่รำไร — สะท้อนลงบนกระดานหมากรุกไม้สักกลางโต๊ะหินทรงสี่เหลี่ยม“นั่งสิ”เสียงทุ้มทรงอำนาจแต่สุภาพของท่านทูตดิลกดังขึ้นชัดเจน ขณะเขานั่งไขว่ห้างใต้ร่มกันสาดผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับอย่างเรียบกริบวางไว้บนตัก ข้างตัวคือชาร้อนและคุกกี้จากลอนดอนที่ลูกสาวสุดรักสุดหวงจัดเตรียมไว้ให้คีตะในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบกับกางเกงสแล็กยืนอยู่ตรงหน้า — ข้างกายเขาคือเมษาที่ทำท่าจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกสายตาปรามเบา ๆ จากคุณแม่ปาริฉัตร ที่ยืนพิงประตูกอดอกราวกับกำลังดูซีรีส์เกาหลีด้วยสีหน้าสนุก







