เข้าสู่ระบบห้องทำงานส่วนตัวของท่านฑูต ณ สถานทูตไทย กรุงลอนดอน
ห้องทำงานหรูเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกากรุกกรักบนผนัง กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดจากปลายนิ้วของชายวัยกลางคนในชุดสูทเรียบเนี้ยบ
ท่านฑูตดิลก วัฒนสกุล นั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป ดวงตาคมดุดันภายใต้แว่นกรอบบาง ขมวดคิ้วมองหน้าจออย่างเคร่งเครียด
ประตูเปิดออกเบา ๆ
คุณปาริฉัตร ภรรยาของเขาในชุดผ้าฝ้ายเรียบหรู เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ สีหน้าไม่ต่างกัน
“พวกเขาส่งมาอีกแล้วเหรอคะ?”
เธอเอ่ยเบา ๆ ขณะวางแฟ้มลงบนโต๊ะ
ท่านฑูตดิลกพยักหน้า ก่อนหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ดู เป็นข้อความภาษาอังกฤษ พร้อมโลโก้ปลอมแปลงของกลุ่มหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่ง
“ ‘We will burn every flag. No diplomacy. No exceptions.’ ”
“ (เราจะเผาธงทุกผืน ไม่มีการทูต ไม่มีข้อแม้) ”
“พวกมันส่งไปให้สถานทูตทุกประเทศรอบยุโรปแล้ว ภายใต้ชื่อกลุ่ม ‘Black Dawn’ ”
ปาริฉัตรเม้มริมฝีปาก เธอเข้าใจความหมายของข้อความนั้นทันที ดวงตาสวยสะท้อนความไม่สบายใจอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่แค่ขู่แน่ ๆ …”
“พวกมันมีข้อมูลข้างในมากกว่าที่เราคิด”
“...มีรายชื่อครอบครัวของเจ้าหน้าที่แนบมาด้วยใช่มั้ย?”
ท่านฑูตไม่ตอบ แต่เลื่อนหน้าจอลงช้า ๆ
ชื่อของเธอ และ “Maysa Watanasukul” ขึ้นมาเด่นชัด พร้อมโลโก้สถานทูตไทยอยู่ด้านบน
ปาริฉัตรเบิกตาเล็กน้อย
“พวกมันรู้ว่าเมษาเป็นลูกเรา…”
เธอกัดริมฝีปากแน่น สีหน้ากลายเป็นแม่หมีทันที
“ฉันจะบินกลับไทยไปหาลูก”
“เราฝากลูกไว้กับตระกูลโชติธาดา พวกเขาดูแลได้แน่ แต่…ฉันจะไม่รอจนทุกอย่างสายเกินไป”
“คนพวกนี้…มันไม่ได้แค่เล่นสงครามข่าวสาร”
ท่านฑูตถอนหายใจยาว
“ถ้าเธอกลับไทยตอนนี้ เราจะเสี่ยงถูกจับตาทั้งครอบครัว—”
“ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย แต่มันจะกระทบถึงสถานทูตโดยตรง”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง
“ก็ไม่ต้องให้ฉันกลับในนาม ‘ภริยาท่านฑูต’ สิคะ”
“ฉันกลับในนาม ‘ลูกสาวตระกูลไทระ’ ก็ได้”
คำพูดนั้นทำเอาท่านฑูตนิ่งไปนิดหนึ่ง ดวงตาคมกร้าวสบกับภรรยาอย่างรู้ดีว่า...ถ้าตระกูลไทระต้องออกหน้า—พวกนั้นต้องเผาศัตรูจนทุกอย่างพังไม่มีเหลือ
“ฉัตร…”
“เธอเลิกเป็น ‘ไทระ’ ไปตั้งนานแล้ว”
“ฉันแค่เก็บดาบไว้ ไม่ได้ทิ้งมันนะคะ”
ท่านฑูตดิลกยังคงจ้องตาภรรยาเงียบ ๆ หลังประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากเธอ
รอยยิ้มบางปรากฏบนมุมปากของเขา ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปคว้ามือเรียวขึ้นมาช้า ๆ ก้มลง…จูบหลังมือเธออย่างแผ่วเบา
“ฉัตร…เมษาเป็นเด็กฉลาด”
“เธอรู้จักแยกแยะ และระวังตัวเก่งกว่าที่เราคิด”
“ที่สำคัญ—มีอคินอยู่ด้วย”
ปลายนิ้วของเขาลูบไล้หลังมือของเธอเบา ๆ พร้อมสายตาจริงจัง
“เราแจ้งอคินให้ระวังมากขึ้น…ตอนนี้รอดูสถานการณ์ไปก่อน”
“อย่าเพิ่งเปิดเกมรุก…เรายังไม่เห็นไพ่ตายของอีกฝ่าย”
ปาริฉัตรยังดูไม่คลายกังวลนัก แต่ความอบอุ่นจากสัมผัสของสามีก็ค่อย ๆ ปลอบโยนความตึงเครียดลง
“คุณพูดแบบนี้ทุกครั้ง…จนฉันเผลอใจอ่อนทุกทีเลยนะคะ”
เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย มือข้างที่ถูกกุมไว้ยกขึ้นลูบใบหน้าคมของเขาแผ่วเบา
“เพราะทุกครั้ง…ฉันพูดความจริง”
ท่านฑูตกระซิบ ก่อนจะโน้มตัวลง—กดจูบลงที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน แล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาที่พวงแก้ม ไล้ไปตามแนวคางมนอย่างแผ่วช้า
ดวงตาหวานของปาริฉัตรปรือเล็กน้อย ขณะปลายนิ้วเธอไล้ไปตามสาบเสื้อสูทของเขา
“คุณจะปลอบใจฉันแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะคะ…”
ท่านฑูตหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มเจือเสน่ห์คุ้นเคย ก่อนจะเลื่อนมือโอบเอวเธอเข้ามาแนบตัว—กลิ่นหอมจากผิวกายของหญิงสาวที่เขารักมาทั้งชีวิตยังคงทำให้ใจเต้นได้เหมือนวันแรก
“คืนนี้…เรายังมีเวลาอีกนิด”
“แต่พรุ่งนี้...ต้องประชุมแต่เช้าไม่ใช่หรือคะ?” เธอแกล้งถามเสียงแผ่ว
“ถ้าพรุ่งนี้เหนื่อย...งั้นวันนี้ให้ผมหายคิดถึงก่อนได้ไหมครับ?”
เขากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะพาเธอถอยหลังไปยังโซฟาเบดตัวยาวหลังห้อง เสียงหัวเราะเบา ๆ กับจูบอ่อนหวานเริ่มกลายเป็นจังหวะลมหายใจที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
แสงไฟนวลสีส้มบนโต๊ะทำงานสะท้อนเงาสองร่างที่โอบกอดกันแนบแน่น ค่ำคืนในลอนดอนยังคงเงียบ…แต่ภายในห้องนี้กลับเต็มไปด้วยไออุ่นของความรักและความห่วงใยที่ไม่มีวันจาง
🌸🌸🌸
หลังจากเหตุการณ์ ร่วง-แล้ว-ได้กอดพี่ (แถมได้ถูกอุ้มกลับบ้าน!) เมษาก็ลั้นลาราวกับคนเพิ่งถูกหวยสามงวดติด 😌
แต่ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าคือ…
คีตะเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์มอนสตาร์คู่ใจ เป็นรถหรูสัญชาติอิตาลี ‘Verrani’ สีดำด้าน เงาวับจนนึกว่ารถล่องหนจากเจมส์บอนด์
จริง ๆ แล้วคือ แม่ของพี่คีตะบอกว่าขี่บิ๊กไบค์อันตรายเกินไป…แต่เมษาชอบคิดว่าเปลี่ยนเพราะเธอ
ยิ่งคีตะทำแบบนี้ยิ่งทำให้เหล่าบรรดาแฟนคลับของเขายิ่งไม่พอใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มของแพรว
“น่าหมั่นไส้เป็นบ้า…”
แพรวกัดเล็บพลางมองผ่านกระจกตึกเรียนอย่างหัวเสีย สายตาเธอไม่ละไปจากภาพตรงหน้า—คีตะประคองเมษาลงจากรถ Verrani คันหรูอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่งต่อให้เพื่อนของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
“ดูสิ! ทำตัวติดกับพี่คีตะอยู่ได้ทุกวัน!”
“ให้ตายเหอะ กูอยากเอาแก้วปาใส่หน้า” แนนบ่นพลางเบะปาก
“เอาไงดี ตบมันเลยดีมั้ย?”
มุกที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบพูด
“ฉันแกล้งมันไปแล้วนะ แต่พี่คีดันโผล่มารับไว้ทันอีก”
“แกทำอะไรก็พลาดตลอดแหละ ยัยมุก”
แพรวปรายตามองอย่างหงุดหงิด สีหน้าชัดเจนว่าไม่พอใจทั้งสถานการณ์และทีมงานไร้ฝีมือ
“ตอนเย็นพี่คีตะต้องซ้อมบาสใช่ป่ะ?” แนนเสนอแผนอีกครั้ง
“เราล่อมันไปหลังสนามบาสมั้ย จังหวะดี ไม่มีคน”
แพรวเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง แม่ของเธอแยกทางกับพ่อตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อของเธอสปอยและเอาใจเธอมาก ไม่ว่าเธอจะทำอะไรผิดแค่ไหน บารมีของพ่อเธอก็คอยปกป้องตลอด ทำให้ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเธอ
แพรวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนแสยะยิ้มบาง ๆ แบบที่ไม่มีใครอยากเห็น
“เอาสิ...แค่ให้เจ็บพอจำได้ก็พอ เดี๋ยวฉันจะเป็นคน ‘เจอ’ มันนอนสลบเอง แล้วไปบอกพี่คีตะ”
“เนียนว่ะ…” แนนพยักหน้าชื่นชม
“ฉันจะทำเป็นตกใจ เสนอพาไปห้องพยาบาล แล้วอยู่เฝ้าให้...” แพรวกระตุกยิ้มมุมปาก
“รับรอง...พี่คีตะต้องเห็นใจและใจอ่อนกับฉัน”
“แล้วถ้าเพื่อนมันมาด้วยล่ะ?”
“ตบมันทั้งคู่” แพรวพูดอย่างเลือดเย็น
“มันจะได้เข้าใจซะทีว่า พี่คีตะ...ไม่ใช่ของพวกมัน”
สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์เมษายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแค่ช่วงนี้…ข้าวมันไก่ที่เคยกินแล้วฟินตอนดึก กลับกลายเป็นศัตรูของชีวิต ข้าวต้มปลาเจ้าประจำที่เคยคลั่งไคล้ ตอนนี้แค่ได้กลิ่นก็แทบอ้วกแต่สิ่งที่เธอรู้แน่ ๆ คือ…เธอกำลังจะมีลูก และ “คุณพ่อเด็ก” ก็คือสามีสุดหล่อผู้คลั่งรักที่เพิ่งรู้ข่าวนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว18.47 น.เสียงประตูคอนโดดัง “แกร๊ก”“เมียครับ!!! ลูกพี่กินอะไรได้บ้าง!! พี่ซื้อของมาเป็นสิบถุง!!!”คีตะ โชติธาดาคนเดิม เพิ่มเติมคือระดับความเห่อเกินหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ในมือเขาถือทั้งซุปปลาแบบออร์แกนิก ขิงแก่สดจากเชียงราย น้ำมะพร้าวไม่แช่เย็น ผ้าคลุมไหล่สำหรับหญิงตั้งครรภ์และ…หนังสือชื่อ ‘เข้าใจเมียท้องใน 60 นาที’ ที่เปิดอ่านค้างไว้ตรงหน้าแรก“พี่คีตะคะ…” เมษาถอนใจเฮือก“แค่หนูบอกว่าอาเจียนตอนเช้า พี่ก็ไปเหมาโซเชียลเหรอคะ?”“ก็…ก็พี่กลัวเมียเหนื่อยไงคะ แล้วก็ลูกพี่…ก็แสบตั้งแต่ยังไม่ออกมา!”คีตะวางของลง ก่อนจะพุ่งมาทรุดตัวนั่งข้างเธอบนโซฟา เอามือทาบท้องเธอเบา ๆ ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่เห็นพุงแม้แต่นิด“อยากให้พี่ทำอะไรมั้ยครับ? อยากกินอะไรเป็นพิเศษ? น้ำแข็งจากขั้วโลก? ท
3 ปีต่อมา…แม้กรุงเทพฯ ยังจมอยู่ในวังวนเดิม ๆ ของการจราจรที่เหมือนภาพซ้ำทุกเช้าเย็น แต่ชีวิตของคีตะเปลี่ยนไปไกลราวฟ้ากับเหวจากเมื่อสามปีก่อนจากอดีตหนุ่มวิศวกรรมเครื่องกลที่ชีวิตผูกติดกับเครื่องจักร น้ำมันเครื่อง และซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติวันนี้เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุดของสำนักงานใหญ่ อาริกาโตะ กรุ๊ป—บริษัทเทคโนโลยีระดับอินเตอร์ที่กำลังเติบโตเร็วเหมือนติดจรวดในมือของเขามีทั้งดีลระดับพันล้าน หุ้นใหญ่ในมือ และแผนระดมทุนรอบใหม่ที่เหล่านักลงทุนต่างเฝ้ารอแต่ในสมองของเขา...มีเพียงคำถามเดียวที่วนซ้ำอยู่ทุกวัน‘เมียกูกินข้าวยังวะ’ไม่ว่าในแต่ละวันจะมีตารางงานแน่นขนาดไหน ต่อให้เลขาฯ ต้องคุกเข่ากราบขอให้เลื่อนนัดด่วนกับนักลงทุนต่างชาติคีตะก็จะส่ายหน้า...แล้วพูดเสียงนิ่งว่า“ผมห้ามมีนัดหลังหกโมงเย็นเด็ดขาด”‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ประจำตัวผู้บริหารใหญ่นี้คือกฎเหล็กข้อเดียวที่ใครก็ห้ามล้ำเส้นเพราะนั่นคือเวลาที่เขาจะรีบกลับคอนโดหรูย่านสุขุมวิท...กลับไปหาเมียที่ทั้งน่ารัก แสบ และเป็นแม่บ้านที่เขาหลงรักยิ่งกว่ากำไรรายไตรมาสวันนี้ก็เช่นกัน...เสียง ‘ติ๊ด’ จากปร
เสียงแสงแดดกลางฤดูหนาวทาบทอผ่านสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัย R.C.U. กลิ่นดอกไม้ปนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางเสียงชัตเตอร์มือถือที่ดังระรัวจากบรรดาเพื่อน ญาติ พี่น้องที่แห่มาร่วมแสดงความยินดีในวันสำเร็จการศึกษาเมษาในชุดครุยปักตราประจำคณะเดินออกจากหอประชุม พร้อมรอยยิ้มสดใสทันทีที่เห็นคนสำคัญ“คุณแม่! คุณพ่อ!”เธอวิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ปาริฉัตรแน่น ส่วนท่านทูตดิลกก็ส่งยิ้มอย่างภูมิใจพลางเอื้อมมาลูบผมลูกสาวเบา ๆ“ลูกสาวพ่อเรียนจบแล้วนะ”“สวยที่สุดในรุ่นเลยค่ะ ลูกแม่!”ด้านหลังยังมีอีกสองคนที่ยิ้มอย่างภูมิใจไม่แพ้กัน — คุณธนา และคุณแม่อัญญาของคีตะ ทั้งคู่ยืนถือของขวัญกล่องเล็ก ๆ พร้อมดอกไม้ช่อโตที่เตรียมมาให้เธอเช่นกัน“ยินดีด้วยนะจ๊ะ หนูเมษา”“ขอบคุณค่ะ คุณอา คุณน้า” เมษายิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะรับของขวัญจากทั้งคู่“แล้ว...พี่คีตะล่ะคะ?” หญิงสาวหันมองไปรอบตัวทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนแอบอมยิ้ม“หาพี่เหรอ?”เสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาเมษาหันขวับไปทันทีคีตะมาในเสื้อเชิ้ตพอดีตัว กางเกงสแลค หล่อเนี้ยบจนทำเอาเมษาถึงกับตาพร่า แต่สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นกลับไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ —มันคือสายตาที่
“คิดอะไรอยู่ หืม~?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมอง แล้วต้องกลั้นหายใจเล็กน้อยคีตะในชุดลำลองเสื้อกล้ามสีเข้มกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ผมเปียกนิดหน่อยจากการอาบน้ำ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเย็น อีกข้างถือผ้าขนหนูเขาเดินเข้ามาหาช้า ๆ แล้วนั่งลงข้างเธอ พลางยื่นผ้ามาคลุมศีรษะเธอไว้เบา ๆ ก่อนวางแก้วไว้ข้างตัว“ผมยังไม่แห้งดีเลย เดี๋ยวไม่สบาย” เสียงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และค่อย ๆ เช็ดผมให้เธอ“อื้อออ~ ไม่ต้องเช็ดแรงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหัวหนูหายหมด” เมษาบ่นอุบ แต่เสียงกลับแผ่วลงเรื่อย ๆคีตะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดเช็ด แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมนิ่งลึกสะท้อนแสงจันทร์ และเธอรู้สึกได้ว่า ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว“พะ...พี่คีตะ...”“หืม?” คีตะเลื่อนมือมาจับปลายคางเธอเบา ๆ“คือ...” เมษาตาโต หน้าแดงซ่านไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากของเขาก็โน้มลงมาแตะกับริมฝีปากของเธอเบา ๆ จูบแรกนั้นนุ่มนวล...อบอุ่น...แฝงความทะนุถนอมแต่ในวินาทีถัดมา รสจูบนั้นกลับค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆปลายลิ้นร้อนแตะที่กลีบปากเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ดุนดันให้เธอเปิดรับสัมผัสที่เร่าร้อนยิ่งกว
หลังจากคีตะเรียนจบคุณพ่อธนาไม่รอช้า…กดดันให้ลูกชายคนเดียวเข้าไปช่วยงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวทันที“จะออกแบบเครื่องยนต์ หุ่นยนต์ หรืออะไร พ่อไม่ว่า แต่ช่วยทำโปรเจกต์กับแผนกเทคโนโลยีในเครือเราซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อน ได้มั้ยลูก!”เสียงของคุณพ่อยังดังก้องในหัวเขาแต่คีตะในเสื้อฮู้ดสีเทา กับกางเกงวอร์มเรียบ ๆ กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ยกโน้ตบุ๊กขึ้นบนตัก เปิดแบบจำลองหุ่นยนต์ต้นแบบที่เขาออกแบบเอง —โครงสร้างเครื่องกลซับซ้อนแต่สมบูรณ์แบบจนเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง‘ถ้ามีเวลาอีกซักหน่อย...โปรเจกต์นี้ต้องสำเร็จแน่’เขาคิดในใจ ก่อนเสียงใส ๆ ที่คุ้นเคยจะดังขึ้นจากประตู“พี่คีตะขา~ หนูเอาน้ำมะพร้าวมาฝาก~”เสียงหวานนั่นทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้น — และทันทีที่เห็นคนตรงหน้า ความเครียดทั้งวันก็ละลายหายไปในพริบตาเมษาในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า เดินยิ้มหวานถือแก้วที่มีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ กับถุงใส่ขนมที่เธอซื้อมาฝากตั้งแต่สอบปลายภาคเสร็จ พ่อและแม่ของเธอก็ต้องกลับไปประจำสถานทูตอังกฤษเหมือนเคย และเพราะไม่อยากให้เธออยู่บ้านคนเดียว — เมษาจึงกลับมาอยู่บ้านโชติธาดาอีกครั้งแล
วันเวลาผ่านไปจนเมษาและคีตะเข้าสู่ปิดเทอมอีกครั้ง และครั้งนี้พ่อและแม่ของเมษาลางานกลับมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกสาวที่เมืองไทย ทำให้เมษาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอชั่วคราวแต่เมื่อท่านทูตดิลกรู้ว่าคีตะกับเมษาคบกัน ท่านทูตก็เปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นคุณพ่อโหมดหวงลูกสาวทันทีวันนี้...คีตะมีภารกิจ เขาตั้งใจมาขออนุญาตท่านทูตดิลกเพื่อพาเมษาไปเที่ยวด้วยกัน สำหรับ ‘เดทแรก’ ของทั้งคู่ในฐานะ ‘แฟน’บรรยากาศบ้าน ‘ไทระ’ ในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่และกลิ่นชาเขียวจากสวนญี่ปุ่นที่อยู่ข้างตัวบ้าน แสงแดดอ่อนของช่วงบ่ายส่องลอดใบไผ่รำไร — สะท้อนลงบนกระดานหมากรุกไม้สักกลางโต๊ะหินทรงสี่เหลี่ยม“นั่งสิ”เสียงทุ้มทรงอำนาจแต่สุภาพของท่านทูตดิลกดังขึ้นชัดเจน ขณะเขานั่งไขว่ห้างใต้ร่มกันสาดผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับอย่างเรียบกริบวางไว้บนตัก ข้างตัวคือชาร้อนและคุกกี้จากลอนดอนที่ลูกสาวสุดรักสุดหวงจัดเตรียมไว้ให้คีตะในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบกับกางเกงสแล็กยืนอยู่ตรงหน้า — ข้างกายเขาคือเมษาที่ทำท่าจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกสายตาปรามเบา ๆ จากคุณแม่ปาริฉัตร ที่ยืนพิงประตูกอดอกราวกับกำลังดูซีรีส์เกาหลีด้วยสีหน้าสนุก







