ปลายรุ้งพานภวินท์ ไปหาอะไรกินตรงร้านรถเข็นขายอาหารริมฟุตบาทในตลาดโต้รุ่ง สองหนุ่มสาวจัดการกับก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่สั่งมาอย่างเอร็ดอร่อย
“ร้านนี้ฉันกินประจำ แซบไหม...”
ปลายรุ้งพูดไป มือก็หยิบทิชชู่มาซับเหงื่อที่ไหลซึมบริเวณจมูกโด่งเล็กไปพลาง สูดขี้มูกไปพลาง ปากอิ่มแดงเรื่อก็อ้าๆหุบๆมืออีกข้างโบกพัดไปมา เพราะความเผ็ดร้อนของอาหารรสจัด ยามนี้หญิงสาวดูร่าเริง ดวงตาทอประกายเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ ในฤดูร้อน
นภวินท์มองใบหน้าอ่อนใสกับท่าทางของเพื่อนสาวอย่างเอ็นดู สายตาแลเลยไปสำรวจทั่วร่างอย่างพินิจ เสื้อสายเดี่ยว เปลือยไหล่อวดผิวพรรณใสกระจ่างในวัยสาว พอๆกับเผยให้เห็นถึงเรือนร่างโปร่งบางแทบปลิวลมของคนสวม ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ทำให้คนนั่งตรงข้ามทำเสียงจิ๊กจั๊กในคอ
“มองอย่างกะไม่เคยเห็น ฉันก็พอมีของดีอวดชาวบ้านเขาเหมือนกันนาโว้ย...”
คนว่าแอ่นอกนิดๆ สะบัดหน้าเชิด พร้อมกับทำกะพริบตาถี่ๆ กิริยาแบบนี้เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นจากคนดู
“พอๆ เลิกเหอะมันไม่รุ่ง” นภวินท์ยกมือห้าม ขำจนน้ำหูน้ำตาไหล “คิดยังไงปลาย ถึงหัดแต่งหญิง เมื่อก่อนซกมกจะตาย หัวหูฟูดูไม่ได้”
ถ้าใครเคยเห็นสภาพเดิมของปลายรุ้งเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่หญิงสาวยังเป็นนักศึกษา คงพร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ไอ้คำว่าหัวหูฟู ที่นภวินท์บอกคงต้องเพิ่มคำว่า เขลอะ รวมเข้าไปด้วย สมัยเรียนนภวินท์เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของปลายรุ้ง ใกล้ชิดสนิทสนมจนถึงขั้นเข้านอกออกใน หอพักของหญิงสาวเป็นว่าเล่น จนคนสงสัยว่าเป็นแฟนกัน
เมื่อนภวินท์รู้เรื่องนี้ก็ร้องโวยวายลั่น ก่อนที่คนตั้งข้อสังเกตจะทันพูดจบประโยค
“โอ๊ย...ให้เป็นแฟนกับไอ้ปลาย กูยอมอมกางเกงลิงดีกว่า ผู้หญิงอะไรวะ ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ผมเผ้าฟูกระเซิงทั้งวัน ไม่รู้เคยหวีรึเปล่า หน้าก็มอมอย่างกับแมว”
“แต่ดูดีๆมันสวยนาเว้ย...” เพื่อนผู้หวังดียังยุส่ง
“สวยแต่ซกมกกูไม่เอา!”
เขายืนยันประโยคนี้เสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลังเพื่อนสาว ถ้าลับหลังปลอดภัย หากเมื่อใดเผลอปากบอนพูดให้ได้ยินจะจะ หูข้างใดข้างหนึ่ง ต้องโชคร้ายกลายเป็นที่รองรับฝ่ามือมหากาฬของเพื่อนสาวทันที
“ฉันซกมก ฉันสกปรกตรงหนาย... ถ้าฉันแต่งหญิงขึ้นมา พวกแกจะน้ำลายหก” หญิงสาวไม่ยอมรับความจริง แถมยังเชิดหน้ามอมๆของตัวเองขึ้นสู้เสียอีก
ตั้งแต่วันนั้นจนทั้งคู่จบการศึกษา นภวินท์ยังไม่เคยเห็นปลายรุ้งแต่งหญิงเต็มขั้น หรือแม้แต่นุ่งกระโปรงให้เขายลโฉมเต็มๆตาสักหน ครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการเห็นของแปลกมากกว่าจะตกตะลึงในรูปโฉม
“แต่งแบบนี้ เขาเรียกว่าแต่งตัวกระตุ้นยอดขายเว้ย...” ปลายรุ้งทอดมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมอย่างละเหี่ยใจ “นายคงไม่คิดว่าฉันจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้สิท่า”
หญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงคล้ายเยาะเย้ยตัวเอง พร้อมระบายลมหายใจแรงๆ นภวินท์กุมมือเพื่อนสาวไว้ รู้สึกเห็นใจปนสงสารอย่างบอกไม่ถูก มือเรียวบางสอดนิ้วประสานพร้อมบีบแน่นขึ้น
“ไม่มีเพื่อนคนไหน คิดบ้าๆอย่างนั้นกับเพื่อนหรอก” น้ำเสียงทอดยาว หากฟังนุ่มนวลนัก
“ขอบใจนะ...” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอิ่มเต็ม “คงจะมีแต่นายเท่านั้น ที่ยังอาลัยใยดีฉันอยู่ คนอื่นเขาเมินหน้าหนีกันหมด ช่างเถอะพูดไปเจ็บใจเปล่าๆ”
รอยเสียงในตอนท้ายขื่นจัด หากคนพูดยั้งไว้ทัน ไม่มีประโยคจะเอื้อนเอ่ยอะไร พูดไปก็ไม่ได้อะไร ไม่พูดก็ไม่เสียอะไร ปลายรุ้งชินแล้วกับการดิ้นรนด้วยตัวเอง
หวังพึ่งใครเขา เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ สู้อ้าปากงับลมเองจะดีกว่า...
“แม่ฉันบ่นหาเธอตลอด จนหูฉันชาไปหมดแล้ว” นภวินท์เอ่ยถึงมารดา
ปลายรุ้งสีหน้าสดใสขึ้น เมื่อได้ยิน “ป้ารจเป็นไงมั่ง นายดูแลแม่ดีหรือเปล่า” ตอนท้ายแกล้งแหย่
“แม่ทั้งคน ใครจะปล่อยให้ลำบากล่ะ ถ้าไม่เชื่อก็แวะไปดูได้เลย” คนพูดมองเพื่อนสาวดวงตาเปล่งประกายสุกใส ยามเอ่ยถึงมารดา
“นายอยากให้ฉันไปเยี่ยมแม่นายสิท่า บอกมาตรงๆก็ได้ ไม่ต้องลูกไม้” ปลายรุ้งรู้ทันความคิดของเพื่อนชาย
นภวินท์ยิ้มกว้าง หัวเราะเบาๆ “เออ... เข้าใจถูกต้อง ฉันอยากให้เธอกลับไปเยี่ยมแม่ฉันหน่อย ว่างหรือเปล่าล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้วไปด้วยกันไหม” เขาเอ่ยชวน
“ว่างตลอดแหละ แล้วนายพักที่ไหนเหรอ”
“ฉันพักที่โรงแรม... ใกล้นี้แหละ” เขาบอกชื่อโรงแรมขนาดกลาง ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนท่าแพให้เพื่อนสาวรู้
“อ๋อ... ฉันรู้จัก กินอิ่มหรือยัง ฉันจะไปส่ง”
นภวินท์ขยับลุกขึ้นแทนคำตอบ ปลายรุ้งลุกตามแล้วหยิบเงินส่งให้แม่ค้า ก่อนแตะแขนเพื่อนเดินนำมายังรถ ระหว่างทางสองหนุ่มสาวไม่ได้พูดคุยกันต่อ ต่างนิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเอง จนมาถึงโรงแรมที่พัก
“ถึงแล้ว...” เสียงใสๆร้องบอก ปลุกให้คนที่กำลังตาปรือ รู้สึกตัว
“ถึงแล้วเหรอ ขอบใจนะ”
นภวินท์ตบไหล่เล็กๆในทำนองขอบคุณ แล้วเปิดประตูลงไปจากรถ เขาหอบอุปกรณ์ถ่ายภาพของตัวเองเดินตรงไปยังลิฟต์ กำลังจะกดปุ่มปิดประตู
ทันใดนั้นเอง! ร่างเพรียวบางก็แทรกตัวเข้ามา พร้อมฉีกยิ้มกว้าง
“คืนนี้ขอฉันนอนด้วยคนสิ...”
“เฮ้ย! จะบ้าเหรอ ล้อกันเล่นหรือเปล่าวะ”
นภวินท์ร้องลั่น มองเพื่อนสาวอย่างตกใจ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“รังเกียจเหรอ”
ปลายรุ้งมองหน้าเพื่อนชายสบสายตาอีกฝ่ายไม่ยอมหลบ เมื่อเห็นใบหน้าแตกตื่น พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างเหมือนคนเห็นผี รอยยิ้มก็ปรากฏบนเรียวปากอิ่ม แววตาเจือรอยขบขันซ่อนไม่มิด
“กลัวฉันปล้ำนายหรือไง”
คำพูดนั้น ทำเอาคนฟังอ้าปากเหวอตาโตกว่าเดิม... กิริยานั้นเรียกเสียงหัวเราะดังลั่น
“ฮ่า... ฮ่า... ไม่นึกว่าไอ้เพลย์บอย ระดับอ๋องอย่างนาย จะกลัวฉันด้วย”
“บ้าเหรอวะ...”
นภวินท์หน้าแดง ไม่ใช่เพราะอายหากกำลังมีโมโหที่ถูกเพื่อนสาวหัวเราะเยาะ ดวงตาสีสนิมเหล็กจ้องคนที่กำลังหัวเราะเขม็ง อาการนั้นทำให้คนที่กำลังเมามันรีบหุบปากทันควัน
“ขอโทษนะ ฉันล้อเล่นน่ะ” ปลายรุ้งปรับน้ำเสียงให้จริงจังกว่าเมื่อครู่ “ฉันพักที่นี่เหมือนกัน อยู่ชั้นสี่ นายล่ะ”
“เล่นเอาตกใจ...”
นภวินท์ส่ายหน้าพร้อมกับ มองหน้าคนชอบแกล้งอำที่กำลังหัวเราะคิกๆ อย่างหมั่นไส้
“แหม... ดูทำหน้าตกใจ” ปลายรุ้งถอนหายใจยาว ดูออกว่าแกล้งทำ
“ฉันแค่ตั้งรับไม่ทันเว้ย ”
ชายหนุ่มแค่ตกใจในตอนแรก ที่จู่ๆเพื่อนสาวมาขอค้างด้วย ร่วมสองปีที่เขาไม่ได้ข่าวคราวของเธอเลย มาพบกันอีกครั้ง ในสภาพที่แปลกตานั่นอาจทำให้เขามึนงง
“ไอ้เราก็นึกว่า เพื่อนเราจะปิ๊งลุคใหม่ จนกลัวอดใจไม่อยู่” เจ้าหล่อนยังแกล้งหยอดไม่เลิก
นภวินท์นึกอยากประเคนมะเหงกลงบนศีรษะเล็กๆนี้สักที แต่ยั้งมือไว้ทัน สีหน้าบึ้งตึงคลายลง
“ให้ฉันนอนกับกระเทย ยังมีอารมณ์กว่าเยอะ” เขาแกล้งทำหน้าผะอืดผะอม
“ชิ... ฉันจะรอดู ว่านายจะมีเมียเป็นกระเทยหรือเปล่า”
ปลายรุ้งสวนกลับอีกฝ่ายทันควัน พร้อมกับเอื้อมมือไปกดปุ่มเลือกชั้น ยุติศึกน้ำลายเพียงแค่นั้น
ลิฟต์เคลื่อนตัวพาไปยังจุดหมาย...
“ฉันก็อยู่ชั้นนี้เหมือนกัน ห้องนี้แหละ แล้วห้องเธอล่ะ” นภวินท์บอก ขณะเดินออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังห้องพักของตัวเอง
“แหม... โชคชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ ห้องฉันอยู่ข้างห้องนายนี่เอง” คนพูดชี้มือไปที่ห้องข้างๆ
“เออ... โชคชะตา” นภวินท์เอ่ยอย่างปลงๆ
โชคชะตากำลังเล่นตลกร้ายกับเขาและเพื่อนสาวจริงๆด้วย ไม่เจอกันมาร่วมสองปี จู่ๆก็ได้มาเจอกัน ไม่ให้เรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว...
“ฉันขอไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วจะแวะมาคุยด้วย” ปลายรุ้งไขกุญแจห้องตัวเอง พาร่างบางๆเข้าไปภายใน “อย่ารีบนอนก่อนล่ะ ฉันมีเรื่องคุยกับนายเยอะเลย”
เจ้าหล่อนบอกก่อนจะปิดประตู เพื่อนข้างห้องอย่างนภวินท์พาตัวเองเข้ามาภายในห้องพัก ร่างสูงเพรียวนั่งแปะลงตรงที่โซฟายาวติดผนัง วางเป้กับกล้องคู่ใจบนโต๊ะ ก่อนเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวมาวางไว้บนเตียงเตรียมอาบน้ำ แต่เกิดเปลี่ยนใจขอเช็คภาพที่ถ่ายมาก่อน
“ตายยากจังวินท์ คิดถึงทีไร โทรมาทุกที” เธอรีบกดรับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไปก่อน “ไปไงวินท์ อื้อ... ใช่ปลายกับคุณเมฆกำลังจะไปที่บ้านพักที่จัน อะไรนะวินท์อยู่ที่นั่นเหรอ อีกสักชั่วโมงนะปลายกับคุณเมฆจะไปถึง อย่าแย่งกินกุ้งย่างหมดก่อนล่ะ”“นายวินท์ อยู่ที่รีสอร์ทเหรอ” ฆนากรถามคนที่เพิ่งกดวางสาย“ค่ะ บอกว่าพายายสิงห์ หลานเฮียเป๋งไปด้วย” ปลายรุ้งเล่าสิ่งที่ได้ยินให้สามีรับรู้ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม“ยายสิงห์ หลานเฮียเป๋งเป็นใครกัน” เขาขมวดคิ้ว แปลกใจชื่อประหลาดนั่นปลายรุ้งหัวเราะขำ ใครได้ยินชื่อเล่นของสิงหกัลยา เป็นต้องทำหน้าแบบนี้ทุกคน ผู้หญิงในประเทศไทยที่ชื่อสิงห์ จะมีสักกี่คน“เธอชื่อสิงหกัลยาค่ะ เป็นรุ่นน้องของปลายกับวินท์ที่มหาลัย ปลายเป็นพี่รหัสของยายสิงห์ เฮียเป๋งเจ้านายของวินท์เป็นน้าชายของยายสิงห์ นี่คงโดนเฮียเป๋งบังคับให้พายายสิงห์มาเที่ยวด้วยแหงๆ”“และคุณสิงห์ที่ปลายว่าเนี่ย หน้าตาเป็นยังไงสวยมั้ย”“สวยสิคะ ยายสิงห์แกเป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี่ ขาวสูงหุ่นนางแบบเชียวแหละ เสียอย่าง...” ปลายรุ้งยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของสิงหกัลยา“เสียอะไร นิสัยหรือว่าอะไร” ฆนากรซักไซร้ เขาช
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ รับรองสิ้นปีเฮียแจกโบนัสไม่อั้น” เปรมศักดิ์ตบไหล่ช่างภาพหนุ่มแรง สีหน้าสดชื่นขึ้นทันตาเห็น“แล้วจะให้ใครไปเป็นล่ามให้ผม บอกก่อนนะว่าผมได้แค่ภาษาอังกฤษ ภาษาสเปนอิตาลี่เนี่ยผมไม่รู้สักคำ” นภวินท์ยังกังวลใจ“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมผู้ช่วยให้แกแล้ว รับรองมีเซอร์ไพรซ์” เปรมศักดิ์หลิ่วตาให้ เขาหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาใครบางคน“เออ... ไอ้วินท์มันรับปากแล้ว ไอ้ช่วงมันขาหักไปไม่ได้ เป็นไอ้วินท์ทำแทน รีบมารายงานตัวเลยนะ ไอ้วินท์มันอยู่ที่นี่แล้ว จะได้เตรียมแผนงานกันล่วงหน้า มาเลย มาเร็วๆ” พูดจบก็วางหู“ใครเหรอพี่ ที่หามาเป็นผู้ช่วยผม ที่สำนักพิมพ์เราไม่เห็นมีใครเก่งภาษาสเปนกับอิตาลี่สักคน” นภวินท์อยากรู้เหลือเกิน ว่าผู้ช่วยเขาเป็นใคร“น่าเดี๋ยว มาถึงแกก็รู้เอง” เปรมศักดิ์เอ่ยยิ้มๆราวครึ่งชั่วโมง ประตูห้องของบรรณาธิการฝ่ายบริหารก็ถูกเคาะ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตคนเคาะก็เปิดประตูเข้ามา นภวินท์หันไปมองพร้อมกับลุ้นตัวโก่ง คนที่เดินเข้ามาส่งยิ้มมาแต่ไกล“ดีจ้า น้าเป๋ง เฮียวินท์” เสียงใสแจ้ว ราวกับระฆังแตก ทักทายคนในห้องร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าลวดลายแบบยิปซี มีเ
“อย่าคิดอะไรแบบนั้นอีกนะ คนดี”เขาแย้มริมฝีปากมอบรอยยิ้มแสนอบอุ่น ดวงตาคมทอประกายอ่อนหวาน ขณะก้มลงแตะริมฝีปากบนหน้าผากเนียน บนเปลือกตาทั้งสอง บนจมูกโด่งเล็กนั้น ก่อนจะกดริมฝีปากบนเรียวปากนุ่มหนักๆ“ปลาย... คุณคือผู้หญิงคนแรก คนเดียวในชีวิตผม”ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่ม เอ่ยช้าและชัดเจน คลื่นความอบอุ่นไหลรินสู่หัวใจคนฟัง ปลายรุ้งหลับตาลงปล่อยให้ตัวเองซึมซับทุกถ้อยคำนั้นไว้ในหัวใจ ไม่มีคำว่ารักสักคำสิ่งที่สัมผัสนั้นมากกว่าคำว่ารักหญิงสาวแทบไม่รู้ตัวว่าร่างของตัวเอง ถูกเขาโอบประคองพามาถึงระเบียงริมน้ำบ้านของป้ารจตั้งแต่เมื่อไหร่“คุณพาปลายมาที่นี่ทำไมคะ ดึกแล้ว” น้ำเสียงของเธอช่างแผ่วพร่า เหลือเกินเมื่อเอ่ยถามเขาฆนากรยิ้มละมุน เขาประคองร่างบางให้นั่งบนผ้านวมหนาที่ปูไว้บนพื้นไม้ ดวงไฟสีนวลถูกเปิดไว้เพียงดวงเดียว บรรยากาศยามนี้เงียบสงบเย็นสบาย ท้องฟ้ากระจ่างนวลตาด้วยแสงจันทรา สายลมพัดพาความสดชื่นของแม่น้ำมากระทบกายแผ่วๆ สองร่างทอดกายนอนเคียงกัน ศีรษะเล็กหนุนท่อนแขนแข็งแรงของคนตัวโตต่างหมอน“เวลาผมเหงาหรือคิดอะไรไม่ออก ผมจะหอบผ้านวมมานอนดูดาว ดูดวงจันทร์แบบนี้” มือหนากุมมือเรียวไว้ในอุ้งมืออุ่น
“มีอะไรก็ผัดๆรวมกันมาเถอะ ฉันหิวแล้วนะ” ปลายรุ้งพูดแก้เก้อมือบางจับหน้าอกข้างซ้ายตัวเองที่กำลังเต้นรัวแรงด้วยความตกใจ ทำไมเธอต้องใจสั่นแบบนี้ด้วยนะ หญิงสาวมองร่างสูงใหญ่ ที่กำลังหั่นผัก เตรียมทำอาหารให้เธอด้วยสายตาไม่เข้าใจ เธอไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับนภวินท์มาก่อน เขาเคยจับมือโอบไหล่หลายครั้ง ทุกครั้งไม่เคยรู้สึกแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปลายรุ้งหาคำตอบให้ตัวเองไม่พบ“เสร็จแล้ว ข้าวผัดไส้กรอกของเชฟกระทะเหล็ก”ข้าวผัดไส้กรอกหอมน่าอร่อยถูกวางตรงหน้า ปลายรุ้งมองคนทำที่ภูมิใจนำเสนออาหารของตน ก่อนจะหยิบช้อนมาตักเข้าปาก ตาโตๆของจิตรกรสาวโตกว่าเดิม เมื่อพบว่ามันอร่อยเหลือเชื่อ รีบตักอีกคำเข้าปาก จากนั้นก็ไม่สนใจสายตาที่จ้องมองอีก“อร่อยใช่ไหม”ดวงตาคมจ้องหน้าเธอนิ่งริมฝีปากหยักโค้งเจือสีแดงสดขยับแย้ม ก่อนที่มือหนาจะยื่นมาแตะมุมปากหญิงสาว หยิบเม็ดข้าวที่ติดออกมาส่งเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย“อื้อ... อร่อยจริงๆด้วย”ปลายรุ้งอ้าปากค้าง มองคนที่กำลังกินข้าวด้วยความตกใจ หน้าร้อนผ่าวกับการกระทำของอีกฝ่ายคนบ้าอะไรกินข้าวติดปากคนอื่นได้ด้วย“นี่น้ำเดี๋ยวสำลักตาย ขี้เกียจผายปอด”เขาหัวเราะเบาๆ
“ฉันมีอะไรจะบอกนายแผนสักอย่าง”เฟอร์นันโดขยับเข้าไปใกล้นายแผน เขาก้มศีรษะป้องปากกระซิบบางอย่างที่หูของอีกฝ่าย บอดี้การ์ดของภัทรมือสั่นระริก หันมามองหน้าคนพูดก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แววตาอ่อนแสงลง“ไอ้สุริยะ ฉันไม่จำเป็นต้องฆ่าคนที่ตายแล้วอย่างแก ให้มือฉันต้องเปื้อนเลือดสกปรก แกกำลังจะได้รับกรรมของแกแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”ร่างใหญ่ตัวของแผนขยับออกห่าง พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะบาดหัวใจคนฟังเหลือเกิน จนทนไม่ไหว“แกหัวเราะอะไรกัน นี่แกไม่ฆ่าฉันแล้วใช่ไหม”“ฉันไม่ฆ่าแกหรอก ถ้าแกตายแกจะไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ของการตายทั้งเป็น”นายแผนหยุดหัวเราะ ดวงตาดำใหญ่จ้องหน้าเขาด้วยแววตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยประโยค ที่ทำให้สุริยะต้องช็อคตาตั้ง“แกจำผู้หญิงสวยๆ ชุดแดง ที่งานเลี้ยงของคุณเฟอร์นันโดได้ไหม เธอเป็นเอดส์!”“แกพูดบ้าอะไร ฉันไม่เชื่อแกหรอก ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเอดส์ แต่ฉันไม่เคยนอนกับผู้หญิงโดยไม่ป้องกัน” เขาค้านเสียงหลง“หึ... ป้องกันเหรอ คืนนั้นแกเมา แกลืมป้องกัน แกกำลังจะตายไอ้สุริยะ ตายด้วยความมักมากในกามของแกไงล่ะ” นายแผนตอกย้ำอีกครั้งสุริยะทบทวนความทรงจำก่อนจะใจหายวาบชาไปทั้งตัว คืนน
นภวินท์ยิ้มบางๆ ตบบ่าพี่ชายแรงๆ “อย่าคิดมากสิ ยายปลายน่ะขี้เหงา อีกไม่เกินอาทิตย์ ต้องรีบแล่นกลับมาหาพวกเราแน่” เขามั่นใจเหลือเกิน“นายเข้าใจปลายดีนี่ สมแล้วที่ปลายรักนาย”ฆนากรมองหน้าน้องชายด้วยแววตาเศร้า ชายหนุ่มเฝ้ามองปลายรุ้งกับนภวินท์ อย่างเงียบๆ ตั้งแต่กีรดารินทร์จากไป ปลายรุ้งพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับนภวินท์ จนไม่สนใจเขาเลย เขาพยายามจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าปลายรุ้งรักเขา แต่ท่าทีที่จิตกรสาวปฏิบัติต่อนภวินท์ ทำให้ฆนากรต้องถอยกลับมาอยู่ในมุมมืดของตัวเอง พ่อกับแม่และน้องชายกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ฆนากรกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอากาศที่ไม่มีใครสนใจ แม่เอาใจใส่ดูแลพ่อที่ไม่ค่อยสบาย ส่วนปลายรุ้งขลุกอยู่กับนภวินท์แทบเป็นเงาของกันและกัน ตัวเขาต้องรับภาระดูแลบริษัทแทนบิดา เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงาน เมื่อมีเวลาส่วนตัวเขาอยากใช้มันกับปลายรุ้ง แต่หญิงสาวกลับออกเดินทางท่องเที่ยว โดยไม่บอกลาเขาสักคำ เหมือนเขาไม่ใช่คนที่เธอเห็นความสำคัญอีก“ใช่ ฉันกับปลายเรารักกัน เรารักกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่นายจะได้รู้จักกับเธอ”นภวินท์มองอาการคอแข็งของพี่ชายอย่างขบขัน ฆนากรไม่เคยเปลี่ยนนิสัยชอบคิดเองเออเ