“ไปกินข้าวกันมั้ย” นภวินท์หันมาสบตาเพื่อน แววตาฉายรอยอาทร ทอดเสียงอ่อนลง “มีเรื่องคุยกับเธอเยอะเลย”
ปลายรุ้งส่ายหน้า “ฉันเพิ่งตั้งแผง เอ้ย...เพิ่งจัดแสดงงาน รอขายรูปได้อีกสักสองสามรูปก่อนได้มั้ย” เธอมีข้อแม้
นภวินท์ถอนใจยาว เขาเริ่มต้นเก็บภาพจากอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าศาลากลางหลังเก่า ผู้คนที่มาเยือนเมืองเชียงใหม่ต่างมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
ร้านรวงที่อยู่โดยรอบลานกว้างด้านหน้าอนุสาวรีย์คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว พ่อค้าแม่ขาย นำสินค้าของตนออกมาวางแผงเรียงรายตลอดแนวทางเดิน ริมฟุตบาททั้งสองฝั่งเปิดให้บริการนวดฝ่าเท้าและนวดแผนไทย จากชมรมต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่ มีนักท่องเที่ยวที่เมื่อยล้าจากการเดินชมของต่างมาแวะใช้บริการไม่ขาดสาย
ชายหนุ่มเก็บภาพบรรยากาศตลอดทางเดินเส้นนั้นมาเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางเป็นศูนย์รวมของศิลปินหลากหลายประเภท เช่นนักร้องเปิดหมวก นักดนตรี บรรเลงเพลงเป็นวงบ้างฉายเดี่ยวบ้าง เสียงเพลงหลากหลายดังผสมกัน จนยากที่จะจับจังหวะได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงกีตาร์ของนักร้องพเนจรผู้ยืนดีดกีตาร์โปร่ง ครวญเพลงที่ตัวเองแต่งเองแต่ค่ายเพลงไม่รับไปจัดทำ หรือจะเป็นเพลงจากเครื่องเสียงที่ประโคมเปิดกันดังลั่นถนน จากร้านขายซีดี รวมไปถึงเสียงเพลงบรรเลงดนตรีพื้นเมืองจากวงดนตรีรุ่นเยาว์ ที่นั่งปูเสื่อกลางถนนเล่นอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตลอดวัน ด้านหน้าวางกล่องรับบริจาค เขียนป้ายแปะว่า “เชิญร่วมสมทบทุนการศึกษา”
ภาพบรรยากาศยามค่ำคืนถูกถ่ายไว้เป็นระยะ ช่างภาพหนุ่มกวาดเลนส์หามุมภาพสวยๆ เขาตั้งใจจะเก็บชีวิตและบรรยากาศให้ออกมาสวยประทับใจคนดู เขาปรับสภาพกล้องให้เหมาะสม เลือกถ่ายเฉพาะจุดสำคัญเน้นบรรยากาศเป็นหลัก พร้อมกับเดินหามุมสวยไปเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดพักหาของกินรองท้อง ทว่าเสียงใสๆที่ดังเจื้อยแจ้วทำให้เขาต้องหันไปมอง ไม่นึกว่าเจ้าของเสียงนั้น คือ ‘ปลายรุ้ง’
นภวินท์ขยับเข้ามายืนข้างๆเพื่อนสาวส่งยิ้มกวนๆให้ “ฉันจะช่วยเธอขายเอง รับรองขายดีเป็นเททิ้งแน่” เขาบอกพลางป้องปากตะโกนแข่งเสียงรอบข้างดังลั่น
“ซื้อภาพแถมคนขายคร้าบ! ”
หมัดน้อยๆทุบกลางหลังพ่อค้ามือใหม่เต็มแรง
“จะบ้าเหรอ...ใครเขาจะเอาของแถมบ้าๆแบบนั้น อย่างนายยกให้ฟรียังคิดแล้วคิดอีก”
นภวินท์ยักคิ้วแผล็บ ยิ้มกว้าง “เอาน่า...เรียกร้องความสนใจไว้ก่อน”
กว่าจะขายภาพตามเป้าที่จิตรกรสาวตั้งไว้ ช่างภาพหนุ่มคอแทบแห้งเป็นผง วิธีการเรียกร้องความสนใจของเขาไร้ผล ลูกค้าที่เข้ามาซื้อภาพ ก็มาตอนเขาหยุดแหกปากทั้งนั้น ปลายรุ้งหัวเราะขำเพื่อนชาย ที่ทำหน้ามุ่ยอย่างกับอมยาขมไว้ในปาก
“นายจบสื่อสาร ไม่ได้จบบริหารธุรกิจ รู้ตัวซะมั่ง” คนพูดได้ทีแขวะเพื่อนเล่น
นภวินท์นิ่วหน้า “ทีเธอจบวิจิตรศิลป์ ยังมาเป็นแม่ค้าได้เลย” เขาเถียง
ปลายรุ้งยิ้มขำ “ฉันมันปรับตัวเก่ง เหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสีไง เก็บของเหอะ วันนี้ยอดขายทะลุเป้าแล้ว” พูดไป เจ้าตัวก็เก็บของใส่กล่องพลาสติกใบโตไปพลาง
นภวินท์ช่วยเพื่อนสาวเก็บของจนเสร็จ ก่อนจะตั้งท่ายกกล่องใบนั้นเอง แต่โดนเบรกก่อน
“ฉันมีรถเข็น เดี๋ยวฉันไปเอามา นายยกไม่ไหวหรอกมันหนัก”
ปลายรุ้งหายไปครู่ใหญ่ ก่อนกลับมาพร้อมรถเข็นขนาดเล็กคันหนึ่ง นภวินท์จัดการยกกล่องพลาสติกใส่ให้ แล้วปล่อยให้เจ้าของเข็นไปเอง ตัวเขาหอบอุปกรณ์ถ่ายภาพเดินตามต้อยๆ
“เธอผอมไปเยอะนะ เมื่อกี้ตอนกอดฉันกระดูกแทบทิ่มคอ”
ปลายรุ้งยิ้มขำ “ฉันไม่ได้สุขสบายเหมือนนายนี่ จะได้นั่งกินนอนกิน” เธอย้อน
นภวินท์เบ้ปาก “สบายกะผีอะไร เป็นช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยว วันๆเดินทางไปทั่ว ยังดีที่ไม่ไส้แห้ง” ช่างภาพไส้พองขยับกล้องในมือเล่น
“ก็ยังดีที่มีงานทำ ไม่ใช่ตะลุยฝุ่นแบบฉัน”
“เธอหายหน้าไปนานเลยนะปลาย จนฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอเธอแล้ว”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ “ฉันไปอยู่เมืองนอกมา ฉันส่งโปสการ์ดให้นายกับป้ารจ ไม่ได้รับหรือไง” ปลายรุ้งตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“ได้สิ... แค่อยากรู้น่ะ ว่าไปทำไม เมืองไทยก็มีที่ทำมาหากิน” นภวินท์ถามเสียงอ่อน
“ไปหาประสบการณ์ไง” ปลายรุ้งตอบด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้น
“แล้วได้ประสบการณ์อะไรมามั่งล่ะ ทำไมถึงมีสภาพทุเรศทุรังแบบนี้” คนถามอดคันปากไม่ไหว ก็สภาพของเพื่อนสาว มันบ่งชี้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย
จิตรกรสาวยักไหล่ ถอนหายใจยาวอีกครั้งก่อนเล่าให้ฟังว่า
“ฉันตะลุยไปทั่วทั้ง ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี่ จนรองเท้าสึกไปหลายคู่ วาดภาพขายข้างถนนบ้าง รับจ้างเขาบ้าง แต่มันไม่เวิร์ค ก่อนบินกลับมานี่ฉันเพิ่งถูกไอ้เจ้าของแกลลอรี่ที่อิตาลี่มันโกง ฉันเลยซัดมันแล้วเผ่นกลับมานี่แหละ ไม่ตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว” เสียงรำพึงรำพันแผ่วโหย
ประสบการณ์ของปลายรุ้ง กลายเป็นประสบเกินเสียอย่างนั้น หญิงสาวยังแค้นเจ้าโรมาโน่ไอ้อิตาเลี่ยนหัวเถิกไม่หาย หนอย... หลอกให้เธอเขียนภาพให้ แล้วเอาชื่อของตัวเองไปติดบอกว่าเป็นผลงานของตัวเองอย่างหน้าด้านๆ มือบางกำแน่นอย่างแค้นจัด
“อย่าคิดมากเลยปลาย เรื่องมันแล้วไปแล้ว” น้ำเสียงของคนพูดนุ่มนวล ปลุกปลอบในที
คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนฟัง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรผิดพลาด หรือมีสภาพย่ำแย่เพียงใด นภวินท์ไม่เคยซ้ำเติมเธอเลยสักครั้ง เขาเป็นเพื่อนแท้ในยามยากเสมอมา ปลายรุ้งอารมณ์ดีขึ้น ความขุ่นมัวในหัวใจไปล่ปลิวหายไปกับสายลม หญิงสาวเดินนำเพื่อนชายอย่างไม่รีบเร่ง ไปตามทางเดินที่ทอดยาว คล้ายไม่สิ้นสุดนั้น
“รถเธอจอดตรงไหนเนี่ย... ทำไมไม่ถึงสักที”
เมื่อผ่านไปหลายนาที มีเสียงบ่นลอยมาด้านหลัง ทางเดินค่อนข้างไกลห่างจากถนนคนเดินหลายร้อยเมตร คนเดินตามเริ่มรู้สึกเมื่อย จนอดไม่ไหว
ปลายรุ้งยิ้มขำ หันไปตอบว่า
“เดินอีกนิดเดียว ฉันฝากเขาไว้ที่วัด จอดมั่วเดี๋ยวรถหาย”
เมื่อนภวินท์เห็นรถที่เจ้าของกลัวหายนักหนา ถึงกับพูดอะไรไม่ออก รถของเขาที่ว่าเก่าแล้ว มาจอดข้างๆรถของเพื่อนสาว ชายหนุ่มคิดว่ามันดูหรูขึ้นมาทันตาเห็น รถแวนสีเลือดหมูคันนี้ เก่าจนสีกะเทาะ เห็นรอยสนิมจับขอบประตูเขลอะ
“รถคันนี้นะ... รถเธอ” เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
ปลายรุ้งพยักหน้ารับ หยิบกุญแจในกระเป๋ามากดรีโมทเปิดประตูรถ นภวินท์แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สภาพขนาดนี้ยังติดสัญญาณกันขโมยอีก ขโมยหน้าไหนจะอาจหาญขโมยรถคันนี้ ถ้ากล้าคงต้องฉีดยากันบาดทะยักไว้ล่วงหน้า
หญิงสาวเปิดประตูท้ายรถ ยัดกล่องพลาสติกเข้าไป ข้าวของภายในกองระเกะระกะ หล่นกระจายลงมา เจ้าหล่อนหยิบโยนที่เดิมอย่างไม่สนใจ ก่อนปิดประตูรถ
“ไปขึ้นรถเดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
ปลายรุ้งตบกระเป๋าตังค์ปุๆ ยืนยัน พร้อมลากแขนคนยืนบื้อใบ้ให้ขึ้นรถ นภวินท์ทำหน้ายู่ พร้อมโบกมือไปมาแถวๆจมูก ราวกับได้กลิ่นตุๆโชยมา
“รถหรือว่ารังหนูวะ รกชิบ”
“ฉันมีปัญญาซื้อได้แค่นี้แหละ จะไปไม่ไป!” เจ้าของรถเท้าสะเอว สะบัดค้อนให้คนปากเปาะไปทีหนึ่ง น้ำเสียงนั้นเคืองจัดทีเดียว “หนอย...มาดูถูกป้ากุหลาบของฉัน”
นภวินท์หัวเราะลั่น มองท่าทางของเพื่อนสาวอย่างชอบใจ
“ฮ่า...ฮ่า...เจ้าแม่กาลีลงแล้วเว้ย ! น่าฉันล้อเล่นน่า รถเธอรกน้อยกว่ารถฉันอีก แถมยังห้อม... หอมด้วย” เขาแกล้งยื่นหน้าไปสูดกลิ่นด้านใน ทำท่าชื่นใจให้ดู
“ชิ...ทำตลกนะยะ” ปลายรุ้งแยกเขี้ยวใส่ นิ้วชี้เรียวสวยจิ้มแปะตรงหน้าผากคนพูด เจ้าของนิ้วออกแรงจิ้มจนหน้าของอีกฝ่ายหงาย “ไม่ขำว้อย...ขอร้อง”
“แค่นี้ทำโมโห ปะฉันหิวแล้ว จะพาไปเลี้ยงที่ไหนก็ไป ตั้งแต่เช้าไม่ได้กินข้าวสักเม็ดเลย” นภวินท์ลูบรอยนิ้วป้อยๆ ทำเสียงน่าสงสาร ตาระห้อย
“จริงอ่ะ... แล้วก็ไม่บอก จะได้หาอะไรให้กินก่อน”
ปลายรุ้งเลิกเล่น เมื่อเห็นอาการของเพื่อนชาย สีหน้าเปลี่ยนมาจริงจังขณะสตาร์ทเครื่องนำรถเคลื่อนออก นภวินท์อมยิ้มชอบใจ เขาไม่ได้ตั้งใจโกหกเพื่อนสาวสักนิด แค่บอกไม่หมดว่าข้าวน่ะไม่ได้กินสักเม็ด กินแต่ก๋วยเตี๋ยวแค่นั้นเอง
หลังจากรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณนั้นแล้ว ชายคนหนึ่งที่ยืนหลบมุมอยู่หลังรถยนต์ในมุมมืดก้าวออกมา สายตามองตามท้ายรถที่แล่นห่างออกไป ในมือของเขามีกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กอันหนึ่ง เขาหย่อนกล้องใส่กระเป๋า ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทร
“จรัลตามต่อทีนะ รถแวนสีน้ำตาล เออ... คันนั้นแหละ เก็บภาพมาให้ด้วย ระวังอย่าให้ฝ่ายนั้นรู้ตัว ฉันจะไปคุยกับลูกค้าก่อน” เขากดปุ่มวางสาย แล้วขึ้นรถที่จอดอยู่ขับออกไป
“ตายยากจังวินท์ คิดถึงทีไร โทรมาทุกที” เธอรีบกดรับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไปก่อน “ไปไงวินท์ อื้อ... ใช่ปลายกับคุณเมฆกำลังจะไปที่บ้านพักที่จัน อะไรนะวินท์อยู่ที่นั่นเหรอ อีกสักชั่วโมงนะปลายกับคุณเมฆจะไปถึง อย่าแย่งกินกุ้งย่างหมดก่อนล่ะ”“นายวินท์ อยู่ที่รีสอร์ทเหรอ” ฆนากรถามคนที่เพิ่งกดวางสาย“ค่ะ บอกว่าพายายสิงห์ หลานเฮียเป๋งไปด้วย” ปลายรุ้งเล่าสิ่งที่ได้ยินให้สามีรับรู้ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม“ยายสิงห์ หลานเฮียเป๋งเป็นใครกัน” เขาขมวดคิ้ว แปลกใจชื่อประหลาดนั่นปลายรุ้งหัวเราะขำ ใครได้ยินชื่อเล่นของสิงหกัลยา เป็นต้องทำหน้าแบบนี้ทุกคน ผู้หญิงในประเทศไทยที่ชื่อสิงห์ จะมีสักกี่คน“เธอชื่อสิงหกัลยาค่ะ เป็นรุ่นน้องของปลายกับวินท์ที่มหาลัย ปลายเป็นพี่รหัสของยายสิงห์ เฮียเป๋งเจ้านายของวินท์เป็นน้าชายของยายสิงห์ นี่คงโดนเฮียเป๋งบังคับให้พายายสิงห์มาเที่ยวด้วยแหงๆ”“และคุณสิงห์ที่ปลายว่าเนี่ย หน้าตาเป็นยังไงสวยมั้ย”“สวยสิคะ ยายสิงห์แกเป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี่ ขาวสูงหุ่นนางแบบเชียวแหละ เสียอย่าง...” ปลายรุ้งยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของสิงหกัลยา“เสียอะไร นิสัยหรือว่าอะไร” ฆนากรซักไซร้ เขาช
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ รับรองสิ้นปีเฮียแจกโบนัสไม่อั้น” เปรมศักดิ์ตบไหล่ช่างภาพหนุ่มแรง สีหน้าสดชื่นขึ้นทันตาเห็น“แล้วจะให้ใครไปเป็นล่ามให้ผม บอกก่อนนะว่าผมได้แค่ภาษาอังกฤษ ภาษาสเปนอิตาลี่เนี่ยผมไม่รู้สักคำ” นภวินท์ยังกังวลใจ“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมผู้ช่วยให้แกแล้ว รับรองมีเซอร์ไพรซ์” เปรมศักดิ์หลิ่วตาให้ เขาหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาใครบางคน“เออ... ไอ้วินท์มันรับปากแล้ว ไอ้ช่วงมันขาหักไปไม่ได้ เป็นไอ้วินท์ทำแทน รีบมารายงานตัวเลยนะ ไอ้วินท์มันอยู่ที่นี่แล้ว จะได้เตรียมแผนงานกันล่วงหน้า มาเลย มาเร็วๆ” พูดจบก็วางหู“ใครเหรอพี่ ที่หามาเป็นผู้ช่วยผม ที่สำนักพิมพ์เราไม่เห็นมีใครเก่งภาษาสเปนกับอิตาลี่สักคน” นภวินท์อยากรู้เหลือเกิน ว่าผู้ช่วยเขาเป็นใคร“น่าเดี๋ยว มาถึงแกก็รู้เอง” เปรมศักดิ์เอ่ยยิ้มๆราวครึ่งชั่วโมง ประตูห้องของบรรณาธิการฝ่ายบริหารก็ถูกเคาะ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตคนเคาะก็เปิดประตูเข้ามา นภวินท์หันไปมองพร้อมกับลุ้นตัวโก่ง คนที่เดินเข้ามาส่งยิ้มมาแต่ไกล“ดีจ้า น้าเป๋ง เฮียวินท์” เสียงใสแจ้ว ราวกับระฆังแตก ทักทายคนในห้องร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าลวดลายแบบยิปซี มีเ
“อย่าคิดอะไรแบบนั้นอีกนะ คนดี”เขาแย้มริมฝีปากมอบรอยยิ้มแสนอบอุ่น ดวงตาคมทอประกายอ่อนหวาน ขณะก้มลงแตะริมฝีปากบนหน้าผากเนียน บนเปลือกตาทั้งสอง บนจมูกโด่งเล็กนั้น ก่อนจะกดริมฝีปากบนเรียวปากนุ่มหนักๆ“ปลาย... คุณคือผู้หญิงคนแรก คนเดียวในชีวิตผม”ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่ม เอ่ยช้าและชัดเจน คลื่นความอบอุ่นไหลรินสู่หัวใจคนฟัง ปลายรุ้งหลับตาลงปล่อยให้ตัวเองซึมซับทุกถ้อยคำนั้นไว้ในหัวใจ ไม่มีคำว่ารักสักคำสิ่งที่สัมผัสนั้นมากกว่าคำว่ารักหญิงสาวแทบไม่รู้ตัวว่าร่างของตัวเอง ถูกเขาโอบประคองพามาถึงระเบียงริมน้ำบ้านของป้ารจตั้งแต่เมื่อไหร่“คุณพาปลายมาที่นี่ทำไมคะ ดึกแล้ว” น้ำเสียงของเธอช่างแผ่วพร่า เหลือเกินเมื่อเอ่ยถามเขาฆนากรยิ้มละมุน เขาประคองร่างบางให้นั่งบนผ้านวมหนาที่ปูไว้บนพื้นไม้ ดวงไฟสีนวลถูกเปิดไว้เพียงดวงเดียว บรรยากาศยามนี้เงียบสงบเย็นสบาย ท้องฟ้ากระจ่างนวลตาด้วยแสงจันทรา สายลมพัดพาความสดชื่นของแม่น้ำมากระทบกายแผ่วๆ สองร่างทอดกายนอนเคียงกัน ศีรษะเล็กหนุนท่อนแขนแข็งแรงของคนตัวโตต่างหมอน“เวลาผมเหงาหรือคิดอะไรไม่ออก ผมจะหอบผ้านวมมานอนดูดาว ดูดวงจันทร์แบบนี้” มือหนากุมมือเรียวไว้ในอุ้งมืออุ่น
“มีอะไรก็ผัดๆรวมกันมาเถอะ ฉันหิวแล้วนะ” ปลายรุ้งพูดแก้เก้อมือบางจับหน้าอกข้างซ้ายตัวเองที่กำลังเต้นรัวแรงด้วยความตกใจ ทำไมเธอต้องใจสั่นแบบนี้ด้วยนะ หญิงสาวมองร่างสูงใหญ่ ที่กำลังหั่นผัก เตรียมทำอาหารให้เธอด้วยสายตาไม่เข้าใจ เธอไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับนภวินท์มาก่อน เขาเคยจับมือโอบไหล่หลายครั้ง ทุกครั้งไม่เคยรู้สึกแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปลายรุ้งหาคำตอบให้ตัวเองไม่พบ“เสร็จแล้ว ข้าวผัดไส้กรอกของเชฟกระทะเหล็ก”ข้าวผัดไส้กรอกหอมน่าอร่อยถูกวางตรงหน้า ปลายรุ้งมองคนทำที่ภูมิใจนำเสนออาหารของตน ก่อนจะหยิบช้อนมาตักเข้าปาก ตาโตๆของจิตรกรสาวโตกว่าเดิม เมื่อพบว่ามันอร่อยเหลือเชื่อ รีบตักอีกคำเข้าปาก จากนั้นก็ไม่สนใจสายตาที่จ้องมองอีก“อร่อยใช่ไหม”ดวงตาคมจ้องหน้าเธอนิ่งริมฝีปากหยักโค้งเจือสีแดงสดขยับแย้ม ก่อนที่มือหนาจะยื่นมาแตะมุมปากหญิงสาว หยิบเม็ดข้าวที่ติดออกมาส่งเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย“อื้อ... อร่อยจริงๆด้วย”ปลายรุ้งอ้าปากค้าง มองคนที่กำลังกินข้าวด้วยความตกใจ หน้าร้อนผ่าวกับการกระทำของอีกฝ่ายคนบ้าอะไรกินข้าวติดปากคนอื่นได้ด้วย“นี่น้ำเดี๋ยวสำลักตาย ขี้เกียจผายปอด”เขาหัวเราะเบาๆ
“ฉันมีอะไรจะบอกนายแผนสักอย่าง”เฟอร์นันโดขยับเข้าไปใกล้นายแผน เขาก้มศีรษะป้องปากกระซิบบางอย่างที่หูของอีกฝ่าย บอดี้การ์ดของภัทรมือสั่นระริก หันมามองหน้าคนพูดก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แววตาอ่อนแสงลง“ไอ้สุริยะ ฉันไม่จำเป็นต้องฆ่าคนที่ตายแล้วอย่างแก ให้มือฉันต้องเปื้อนเลือดสกปรก แกกำลังจะได้รับกรรมของแกแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”ร่างใหญ่ตัวของแผนขยับออกห่าง พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะบาดหัวใจคนฟังเหลือเกิน จนทนไม่ไหว“แกหัวเราะอะไรกัน นี่แกไม่ฆ่าฉันแล้วใช่ไหม”“ฉันไม่ฆ่าแกหรอก ถ้าแกตายแกจะไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ของการตายทั้งเป็น”นายแผนหยุดหัวเราะ ดวงตาดำใหญ่จ้องหน้าเขาด้วยแววตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยประโยค ที่ทำให้สุริยะต้องช็อคตาตั้ง“แกจำผู้หญิงสวยๆ ชุดแดง ที่งานเลี้ยงของคุณเฟอร์นันโดได้ไหม เธอเป็นเอดส์!”“แกพูดบ้าอะไร ฉันไม่เชื่อแกหรอก ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเอดส์ แต่ฉันไม่เคยนอนกับผู้หญิงโดยไม่ป้องกัน” เขาค้านเสียงหลง“หึ... ป้องกันเหรอ คืนนั้นแกเมา แกลืมป้องกัน แกกำลังจะตายไอ้สุริยะ ตายด้วยความมักมากในกามของแกไงล่ะ” นายแผนตอกย้ำอีกครั้งสุริยะทบทวนความทรงจำก่อนจะใจหายวาบชาไปทั้งตัว คืนน
นภวินท์ยิ้มบางๆ ตบบ่าพี่ชายแรงๆ “อย่าคิดมากสิ ยายปลายน่ะขี้เหงา อีกไม่เกินอาทิตย์ ต้องรีบแล่นกลับมาหาพวกเราแน่” เขามั่นใจเหลือเกิน“นายเข้าใจปลายดีนี่ สมแล้วที่ปลายรักนาย”ฆนากรมองหน้าน้องชายด้วยแววตาเศร้า ชายหนุ่มเฝ้ามองปลายรุ้งกับนภวินท์ อย่างเงียบๆ ตั้งแต่กีรดารินทร์จากไป ปลายรุ้งพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับนภวินท์ จนไม่สนใจเขาเลย เขาพยายามจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าปลายรุ้งรักเขา แต่ท่าทีที่จิตกรสาวปฏิบัติต่อนภวินท์ ทำให้ฆนากรต้องถอยกลับมาอยู่ในมุมมืดของตัวเอง พ่อกับแม่และน้องชายกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ฆนากรกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอากาศที่ไม่มีใครสนใจ แม่เอาใจใส่ดูแลพ่อที่ไม่ค่อยสบาย ส่วนปลายรุ้งขลุกอยู่กับนภวินท์แทบเป็นเงาของกันและกัน ตัวเขาต้องรับภาระดูแลบริษัทแทนบิดา เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงาน เมื่อมีเวลาส่วนตัวเขาอยากใช้มันกับปลายรุ้ง แต่หญิงสาวกลับออกเดินทางท่องเที่ยว โดยไม่บอกลาเขาสักคำ เหมือนเขาไม่ใช่คนที่เธอเห็นความสำคัญอีก“ใช่ ฉันกับปลายเรารักกัน เรารักกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่นายจะได้รู้จักกับเธอ”นภวินท์มองอาการคอแข็งของพี่ชายอย่างขบขัน ฆนากรไม่เคยเปลี่ยนนิสัยชอบคิดเองเออเ