เสียงล้อรถบดลงบนถนนกรวดหน้าคฤหาสน์อัครเดชากุลดังขึ้น ก่อนที่รถยนต์สีดำสนิทจะจอดลงอย่างสมบูรณ์ ธาริน อัครวรเดช หรือ ธาร เปิดประตูรถก้าวลงมาอย่างสง่างาม รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องสะท้อนกับความเงียบสงัดของคฤหาสน์หลังใหญ่ นึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยมีบ้านแบบเดียวกันนี้และมีครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเธอ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความทรงจำที่เจ็บปวด
“คุณหนูธารินกลับมาแล้วหรือคะ”
ป้าละม่อม แม่บ้านเก่าแก่ของครอบครัวรีบออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าตื่นเต้นปนดีใจ เธอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบ ๆ บ้านหลังนี้ตกแต่งใกล้เคียงกับบรรยากาศของบ้านหลังเดิมทำให้ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมากระทบกับจิตใจของเธอ แต่ทุกอย่างในความรู้สึกของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“พี่ชายล่ะ?” ธารินถามเสียงเรียบ ขณะที่เดินตรงเข้าไปด้านใน
“คุณธีรภัทรอยู่ในห้องทำงานค่ะ กำลังรอคุณหนูอยู่”
ธารินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานของพี่ชาย ประตูไม้หนาหนักถูกผลักออก เผยให้เห็นธีรภัทรที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาคมเข้มฉายแววเหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งอำนาจ
“ธาร กลับมาแล้วสินะ” เขาพูดเสียงเรียบ
“ค่ะ และฉันกลับมาเพื่อช่วยพี่ทำในสิ่งที่ควรจะทำให้จบ” เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม
“ฉันหวังว่าพี่จะยังไม่ลืมว่าพวกมันทำอะไรกับครอบครัวเรา”
ธีรภัทรขบกรามแน่น ความเจ็บปวดและความแค้นที่เขาพยายามกดเอาไว้ในใจยังคงเด่นชัด ครอบครัวของพิมพ์ดาวเป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศ พ่อของเขาต้องจบชีวิตลง แม่ของเขาป่วยหนัก และตัวเขาต้องดิ้นรนสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่จากศูนย์
ส่วนธารินเองก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็น "ลูกสาวคนล้มละลาย" เธอถูกเหยียดหยามและโดนดูถูกจากสังคมชั้นสูงที่เคยยกย่องตระกูลของพวกเขา
“พี่จำได้” เขาตอบเสียงเรียบ “แต่เรื่องนี้พี่จะเป็นคนจัดการเอง”
“แต่พี่กำลังอ่อนข้อให้ยัยพิมพ์ดาว!” ธารินเสียงแข็งขึ้น ดวงตาของเธอฉายแววไม่พอใจ
“พี่เริ่มใจอ่อนแล้วใช่ไหม?”
ธีรภัทรถอนหายใจหนักหน่วง จริงอยู่ที่เขาเริ่มรู้สึกซับซ้อนกับพิมพ์ดาว ผู้หญิงที่เขาเคยตั้งใจให้เป็นเพียงเครื่องมือในการแก้แค้น แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้กัน ทำให้เขาเริ่มเห็นเธอในมุมอื่นที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น...เขายังละทิ้งแผนการไม่ได้
“พี่ไม่ได้อ่อนข้อ” เขาตอบกลับไปเสียงเย็นชา
“แต่พี่ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ผิดพลาด พิมพ์ดาวยังต้องเจ็บปวด แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน”
ธารินกัดฟันแน่น เธอไม่ชอบเลยที่เห็นพี่ชายของเธอเป็นแบบนี้
“ฉันไม่เข้าใจพี่เลย ทำไมต้องอ้อมค้อมขนาดนี้! ยัยผู้หญิงคนนั้นต้องเจอเหมือนกับที่ฉันเคยเจอ!”
ธีรภัทรมองน้องสาวของเขานิ่ง ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้าเธอ วางมือบนไหล่บางของเธอ
“ธาร เราสูญเสียมามากพอแล้ว พี่รู้ว่ามันยาก แต่เราต้องควบคุมเกมนี้ให้ได้”
ธารินมองพี่ชายของเธอ ก่อนจะเบือนหน้าหนี เธอไม่ชอบเลยที่พี่ชายของเธอดูอ่อนโยนต่อศัตรูแบบนี้ แต่ในเมื่อเขายังยึดมั่นในแผนการ เธอคงต้องรอดูต่อไป
“ฉันจะเชื่อพี่...แต่ถ้าพี่ปล่อยให้ยัยผู้หญิงคนนั้นได้มีความสุข ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด” เธอเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน
“และอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
เธอหันหลังเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ธีรภัทรยืนอยู่เพียงลำพัง ดวงตาของเขามีแต่ความเคร่งเครียดและลังเลใจระหว่างแผนการที่เขายึดถือมาโดยตลอด กับความรู้สึกที่เริ่มสั่นคลอนเพราะพิมพ์ดาว
สามวันต่อมา......
งานเลี้ยงต้อนรับธารินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายในโรงแรมหรู แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงสังคมชั้นสูง ทุกอย่างถูกจัดเตรียมอย่างหรูหราไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟระยิบระยับจากแชนเดอเลียร์ หรือเสียงเพลงคลอเบา ๆ ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูเลิศหรูมากยิ่งขึ้น
พิมพ์ดาวในชุดเดรสเรียบหรูยืนเคียงข้างธีรภัทร แม้เธอจะไม่ได้เต็มใจนัก แต่ในฐานะภรรยา เธอก็ต้องมาร่วมงานตามหน้าที่ คำซุบซิบจากแขกในงานเริ่มดังขึ้นทันทีที่เธอปรากฏตัว สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เธอด้วยความดูถูก
"นี่หรือภรรยาของคุณธีรภัทร?"
"ได้ยินว่าถูกจับแต่งงานกันล่ะสิ ดูท่าจะไม่ใช่ความเต็มใจสักเท่าไหร่"
"ก็แน่ล่ะ ใครจะอยากรับผู้หญิงที่เป็นภาระกันล่ะ ต้องให้เงินใช้หนี้ให้กับครอบครัวของเธอตั้ง 100 ล้าน"
คำพูดเหล่านั้นกรีดลึกเข้าไปในใจพิมพ์ดาว เธอพยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่มือกลับกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ธีรภัทรยืนอยู่ข้างเธอ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย สีหน้าของเขาเรียบเฉยเหมือนไม่ได้รับรู้ถึงคำพูดเหล่านั้น
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและดูแคลน
"พวกคุณก็อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิคะ" ธารินเดินเข้ามาในวงสนทนา ดวงตาของเธอเปล่งประกายเจ้าเล่ห์
"ถึงยังไงพี่สะใภ้ของฉันก็เป็นภรรยาของพี่ชายฉันแล้ว เรื่องถูกบังคับหรือเปล่าไม่สำคัญหรอกค่ะ จริงไหมคะ พิมพ์ดาว?"
พิมพ์ดาวเงยหน้าขึ้นมองธาริน หญิงสาวร่างเพรียวในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มส่งรอยยิ้มเยาะให้เธอ สายตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่เธอไม่เข้าใจ
"ฉันไม่เข้าใจว่าคุณต้องการจะพูดอะไร" พิมพ์ดาวตอบเสียงเรียบ
"อ้าว ไม่เข้าใจเหรอ?" ธารินหัวเราะเบา ๆ
"หรือจริง ๆ แล้วเธอแค่แกล้งโง่? ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่อยากบอกว่า... เธอควรจะรู้ตัวนะ ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ในฐานะอะไร อย่าได้คิดว่าจะมีสิทธิ์มาอยู่ในครอบครัวของพวกเราอย่างแท้จริง เพราะยังไงซะ... เธอก็คือลูกของคนทรยศอยู่ดี"
พิมพ์ดาวนิ่งงันไปกับคำพูดนั้น คำว่า "ลูกของคนทรยศ" ก้องอยู่ในหัวของเธอ เธอไม่เข้าใจว่าธารินหมายถึงอะไร ทำไมเธอถึงถูกเรียกแบบนั้น?
แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร ธารินก็หันไปพูดคุยกับแขกคนอื่น ๆ ราวกับว่าเธอไม่มีค่าแม้แต่จะได้รับคำอธิบาย ปล่อยให้พิมพ์ดาวยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังกับความสงสัยและความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นในใจ
เสียงซุบซิบของแขกในงานยังคงดังแว่วอยู่รอบตัวพิมพ์ดาว แม้เธอจะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ทุกคำพูดเสียดสีและสายตาที่มองมาด้วยความเหยียดหยามก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พิมพ์ดาวกลับมาถึงห้องนอนของตัวเองในคฤหาสน์ของธีรภัทรด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอยังคงได้ยินเสียงของธารินสะท้อนอยู่ในหัว "ลูกของคนทรยศ" คำพูดนั้นติดอยู่ในใจเธอจนทำให้เธออดสงสัยไม่ได้
เธอพยายามทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา พ่อของเธอเคยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเธอไม่เคยมีปัญหากับใคร แล้วเหตุใดกัน ธารินถึงเกลียดเธอถึงเพียงนี้?
พิมพ์ดาวตัดสินใจว่าจะต้องหาคำตอบ เธอเริ่มสังเกตพฤติกรรมของคนในบ้าน ธารินแทบไม่เคยมองหน้าเธอตรง ๆ นอกจากเวลาจะพูดประชดประชัน ป้าละม่อมแม่บ้านเก่าแก่แม้จะไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ แต่ก็มองเธอด้วยแววตาเย็นชา ส่วนธีรภัทร... แม้จะไม่ได้แสดงออกชัดเจน แต่บางครั้งแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างในใจตัวเอง
เธอรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นข้อตกลงที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันจะนำมาซึ่งความเกลียดชังมากขนาดนี้
ในคืนเดียวกันนั้นเอง พิมพ์ดาวแอบไปที่ห้องหนังสือของคฤหาสน์ เธอไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไร แต่เธอเชื่อว่าที่นี่อาจมีคำตอบที่เธอต้องการ
เธอเริ่มค้นหาสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับอดีตของครอบครัวธีรภัทร หนังสือพิมพ์เก่า ๆ ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก เธอเปิดมันออกมาดูอย่างตั้งใจ และทันใดนั้นเอง เธอก็เจอบทความเก่าชิ้นหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง
"อัครวรเดชกรุ๊ปล้มละลาย หลังจากถูกคู่ค้าหักหลัง สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด"
มือของพิมพ์ดาวสั่นเล็กน้อยเมื่ออ่านถึงตรงนี้ เธอไม่แน่ใจว่าข่าวนี้เกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่ แต่เธอรู้สึกได้ว่ามันอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาความเกลียดชังที่เธอได้รับ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตู เธอรีบเก็บหนังสือพิมพ์และทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประตูเปิดออก และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือธีรภัทร
"เธอมาทำอะไรที่นี่?" เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย
พิมพ์ดาวเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้จะหวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ถอยอีกต่อไป
"ฉันแค่อยากรู้... ว่าทำไมทุกคนในบ้านนี้ถึงเกลียดฉันนัก"
พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า "ฉัน… ฉันพร้อมแล้ว ที่จะให้โอกาสคุณอีกครั้ง"ธีรภัทรเบิกตากว้าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า เขายกมือขึ้นกุมมือของพิมพ์ดาวแน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด"ขอบคุณนะพิมพ์ดาว… ขอบคุณที่ยอมให้โอกาสผม…"ปริญมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน"ผมยินดีกับพวกคุณทั้งสองคนจริง ๆ" ปริญพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหาธีรภัทรธีรภัทรลุกขึ้นยืนหันไปมองปริญ ปริญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขอให้รู้ไว้ ถ้านายทำให้พิมพ์ดาวเสียใจแม้แต่นิดเดียว… ฉันจะกลับมา และพาพิมพ์ดาวกับลูกหนีไปจากนายทันที"ธีรภัทรมองสบตาปริญด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าตอบ"ฉันสัญญา… ฉันจะไม่มีวันทำให้พิมพ์ดาวเสียใจอีก"ปริญยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตบไหล่ธีรภัทรเบา ๆทันใดนั้น…"แด๊ดดี้! แม่!"เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นก่อนที่พัตเตอร์จะวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เด็กน้อยวิ่งตรงมาหาธีรภัทรกับพิมพ์ดาว ก่อนจะกระโดดกอดพวกเข
ปริญยืนมองหลังของธีรภัทรที่เดินจากไปจนลับสายตา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลื่นความรู้สึกบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในอก เขารู้ดีว่าธีรภัทรรักพิมพ์ดาวมากแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นคำพูดที่มาจากหัวใจอย่างแท้จริงปริญก้มมองเครื่องอัดเสียงในมือ ก่อนจะกำมันไว้แน่น และตัดสินใจเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เขาสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพิมพ์ดาวทันทีบรรยากาศในบ้านของพิมพ์ดาวเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ปริญนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น โดยมีพิมพ์ดาว พ่อ แม่ และน้องชายของเธอนั่งอยู่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด"ปริญ... มีอะไรเหรอ?" พิมพ์ดาวถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสงสัยปริญสบตากับเธอ ก่อนจะยกเครื่องอัดเสียงขึ้นมา"ฉันอยากให้พวกเธอได้ยินสิ่งนี้" เขาพูดช้า ๆ ก่อนจะเปิดเครื่องอัดเสียงทันทีที่เสียงของธีรภัทรดังขึ้น ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง"ผมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น..."ดวงตาของพิมพ์ดาวเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงเม
เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงล้อแตะกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้พิมพ์ดาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าเกทขาเข้าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพ่อ แม่ และน้องชายที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต พิมพ์ดาวรีบสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะโผเข้าสวมกอดมารดาแน่น ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างตื้นตัน“คุณแม่... คุณพ่อ...” พิมพ์ดาวน้ำตาคลอเบ้า“แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” น้ำเสียงอบอุ่นของมารดาทำให้พิมพ์ดาวกอดท่านแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปกอดบิดา และสุดท้ายคือ ภัทร น้องชายที่ยืนกอดอก มองพี่สาวด้วยสีหน้ากึ่งดีใจ กึ่งเคืองขุ่น“กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ” พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่คุณหญิงจินดาและเจ้าสัวพิชิตพยักหน้า แม้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านทั้งสองจะดูขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ จะได้ดูแลพิมพ์ดาวกับหลานให้ดี ๆ เสียที” เจ้าสัวพิชิตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แววตาเย็นชานั้นทำให้พิมพ์ดาวรู้ดีว่าเขายังไม่ให้อภัยธีรภัทร
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านสีขาวภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบอย่างน่าประหลาด พิมพ์ดาวนั่งเฝ้าธีรภัทรอยู่ข้างเตียง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทเธอวางมือลงเบา ๆ บนหลังมือของเขา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาแบบนี้"อืม..."เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากริมฝีปากของธีรภัทร ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะขยับเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของพิมพ์ดาว"พิมพ์..." เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างชัดเจน "เธอกับลูก... ปลอดภัยใช่มั้ย?"พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ความเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่มีต่อเธอและพัตเตอร์ ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว"พวกเราปลอดภัย..." เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เขา "คุณน่ะสิ เป็นยังไงบ้าง?"ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ แม้ใบหน
วันต่อมา – หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์ในช่วงเย็น ขณะที่ธีรภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใส่สูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่พัตเตอร์กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามเด็กเล่น"ขอบคุณนะคะ ที่มารับพัตเตอร์ด้วยกันทุกวัน" พิมพ์ดาวพูดเบา ๆธีรภัทรหันไปมองเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก "ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมาอยู่กับพวกคุณ"พิมพ์ดาวหลุบตาลง เธอรู้สึกว่าธีรภัทรกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เธอเปิดใจ แต่เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อใจเขาเต็มร้อยทันใดนั้น…"พิมพ์ดาว!!"เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น ทำให้พิมพ์ดาวและธีรภัทรหันไปมองทันทีร่างของกานต์รวีในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อพุ่งตรงเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ในมือของเธอมีมีดคมกริบเล่มหนึ่ง"กานต์รวี!" ธีรภัทรร้องเสียงดัง ขณะที่กานต์รวีพุ่งเข้าหาพิมพ์ดาวด้วยความเร็ว"แกต้องตาย!!"พิมพ์ดาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น เธอได้แต่มองปลายมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างตกตะ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบผ่านม่านสีขาวในห้องนอนของคอนโดฯ หรูใจกลางเมือง พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่เสียงนกร้องแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง ร่างบางขยับกายเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงของพัตเตอร์ที่ตะโกนเรียกเธอ"มามี๊~ ตื่นได้แล้วครับ!"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มือเรียวเสยผมยาวสลวยของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป"มามี๊ตื่นแล้วครับลูก เดี๋ยวมามี๊จะออกไปเดี๋ยวนี้"พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องนอนก็พบกับพัตเตอร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้อง ในชุดนักเรียนที่ถูกแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือเล็ก ๆ ถือกล่องนมไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดขาเธอแน่น"พัตเตอร์ตื่นเช้าจังเลยค่ะ" พิมพ์ดาวลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเขา"พัตเตอร์ไม่ได้ตื่นเองนะครับ" เด็กชายเงยหน้ามองเธอ ดวงตากลมโตใสซื่อเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา"แด๊ดดี้โทรปลุกพัตเตอร์เองต่างหาก!"พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า 'แด๊ดดี้'"คุณธีรภัทรจะมาเหรอคะ?" เธอถามด้วยความสงสัยพัตเตอร์พยักหน้าแรง