"ความรักของเธอเคยเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับเขามันเป็นเพียงหมากในเกมแค้น... เธอทุ่มเททั้งหัวใจ แต่เขากลับเหยียบมันลงไปโดยไม่ลังเล" สามปีผ่านไป... ผู้หญิงที่เคยอ่อนแอได้กลับมาอย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับอำนาจที่ทำให้เธอเป็นฝ่ายเลือก "เธอเป็นของฉัน..." "ของคุณ? ฉันเคยเป็น แต่ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวฉันอีกแล้ว" เขาเคยเป็นคนทำลายเธอ แต่วันนี้... เขาจะต้องเป็นฝ่ายถูกทำลายบ้าง!
View Moreเสียงล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์อย่างนุ่มนวล ปลุกธีรภัทรให้ตื่นจากภวังค์ของความคิด ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบ นั่งอยู่ชั้นเฟิร์สคลาส ดวงตาคมกริบจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ภาพของเมืองกรุงเทพฯ ที่เขาจากไปหลายปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยครับ คุณธีรภัทร”
เสียงพนักงานต้อนรับเอื้อนเอ่ยอย่างสุภาพ ขณะที่เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น จัดเสื้อสูทให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวลงจากเครื่องบิน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะนายธีร์ ” เขาพึมพำกับตัวเอง แสยะยิ้มบางๆ ที่ซ่อนความหมายบางอย่าง
ธีรภัทร อัครเดชากุล หรือ ธีร์ เจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ เขาคือลูกชายคนโตของท่านอรรถพล อัครวรเดช อดีตเจ้าของ อัครวรเดชกรุ๊ป กลุ่มธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เคยรุ่งเรือง กับ คุณหญิงมณีรัตน์ อัครวรเดช ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ สูงโปร่ง สมาร์ท และเต็มไปด้วยบารมี เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยเสน่ห์แฝงอำนาจ ดวงตาสีนิลนั้นแสนเย็นชา สายตาไม่บ่งบอกอะไรเมื่อมองไปยังผู้คน ทำให้เกิดความน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
ห้องประชุม บริษัท อัครเดชากุล กรุ๊ป
บรรยากาศภายในห้องประชุมตึงเครียด เหล่าผู้บริหารนั่งเรียงกันเป็นระเบียบ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ประตู เมื่อร่างสูงของธีรภัทรก้าวเข้ามา ชุดสูทสีดำของเขาสะท้อนถึงอำนาจและความเฉียบขาด ดวงตาสีนิลกวาดมองรอบห้องอย่างสุขุม
“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ/ครับ คุณธีร์” ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกัน
ธีรภัทรพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประธาน ดวงตาเรียบนิ่งแต่ทรงอำนาจ
“สถานการณ์ที่บริษัทเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงทุ้มดังกังวานดังขึ้น ไม่บ่งบอกอารมณ์ว่าตอนนี้ผู้พูดรู้สึกยังไง
“ทุกอย่างปกติดีค่ะ” เลขานุการสาวยื่นเอกสารให้เขา
ธีรภัทรเปิดดู ก่อนเงยหน้าขึ้น “ยอดขายหล่ะ”
“ยอดขายและผลกำไรของไตรมาสนี้ถือว่าเป็นยอดขายและผลกำไรของบริษัทสูงสุดเท่าที่เคยมีมาเลยครับ กลยุทธของคุณธีร์ ยอดเยี่ยมมากครับ” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายรีบรายงานทันที พร้อมกับประจบเอาใจ
ธีรภัทรยิ้มมุมปาก “งั้นแปลว่าถ้าผมไม่คิดแคมเปญให้เอง บริษัทก็คงขายไม่ได้ใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้น บริษัทคงไม่ต้องจ้างตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายสินะ?”
ชายวัยกลางคนหน้าซีดเผือด “ผะ ผมขอโทษครับ ผมจะเร่งเสนอแคมเปญใหม่โดยเร็วที่สุด” พูดจบก็หลบตาอันเฉียบคมของคนตรงหน้าทันที
ธีรภัทรพยักหน้าอย่างพอใจ การประชุมดำเนินต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงโดยแต่ละฝ่ายรายงานความคืบหน้าของผลประกอบการและการดำเนินงาน เมื่อเสร็จสิ้น เขาก้าวกลับไปที่ห้องทำงานส่วนตัว
“รายงานสถานการณ์ของตระกูลวรากร”
เลขาหญิงสาวยื่นเอกสารให้เขา “ตอนนี้ตระกูลวรากร กำลังเผชิญวิกฤติทางการเงินอย่างหนัก หนี้สินพอกพูน และธุรกิจของพวกเขากำลังล้มละลาย”
ธีรภัทรกระตุกยิ้มเย้ยหยัน สายตาเต็มไปด้วยความสะใจ
“ดี ติดต่อประธานบริษัทของพวกเขา บอกว่าผมอยากนัดทานข้าว”
“ได้ค่ะ แต่วันนี้คุณธีร์เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เอาเป็นพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ดีมั้ยค่ะ”
“เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ผมอยากช่วยเขาเต็มทีแล้ว” ธีร์ยิ้มเหยียดออกมากับคำพูดตัวเองอีกครั้ง
คฤหาสน์วรากร
พิมพ์ดาว วรากร หรือ ดาว หญิงสาววัยยี่สิบห้าปี ลูกสาวคนเดียวของตระกูลวรากร ซึ่งมี เจ้าสัวพิชิต วรากร นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมชื่อดัง เคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศ เป็นหัวเรือใหญ่ โดยมี คุณหญิงจินดา วรากร เป็นคู่ชีวิต
หญิงสาวมีรูปร่างเพรียวระหง ใบหน้าสวยหวานคมคาย ผิวขาวเนียนละเอียด แต่ตอนนี้เส้นผมยาวสลวยสีดำขลับที่เคยเปล่งประกาย กลับดูหม่นหมองลงไปตามสภาพจิตใจ
ดวงตากลมโตของเธอที่เคยสดใส บัดนี้เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เธอเติบโตมาอย่างสุขสบายในฐานะคุณหนูของบ้าน แต่เมื่อธุรกิจของครอบครัวเริ่มทรุดตัวลง เธอกลับต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย
พิมพ์ดาวนั่งอยู่ในห้องรับแขกของคฤหาสน์วรากร ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นพ่อกับแม่กำลังพูดคุยกับทนายความเกี่ยวกับหนี้สินที่พวกเขาไม่มีปัญญาจ่าย
“มันต้องมีทางออกสิคะพ่อ” เธอพูดเสียงสั่น
“ไม่มีแล้วลูก” พ่อของเธอถอนหายใจหนัก
“ตอนนี้เหลือแค่ทางเดียว…ถ้ามีใครสักคนเสนอความช่วยเหลือมา เราอาจจะต้องรับมัน”
หัวใจของพิมพ์ดาวห่อเหี่ยวอย่างแรง เธอเข้าใจแน่นอนว่าการที่ “ใครสักคน” จะยื่นมือมาช่วยเหลือนั้น ต้องมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างแน่นอน
“แล้วถ้าข้อเสนอนั้นมันเป็นข้อเสนอที่มากเกินไปหล่ะค่ะ”
“ยังไงตอนนี้พวกเราก็ต้องรับไว้”
หญิงสาวทำได้เพียงเม้มปากนั่งก้มหน้ามองไปที่มือตัวเองที่กำลังกำชายกระโปรงตัวเองแน่น
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ของเลขาเจ้าสัวดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ ได้ค่ะ ดิฉันจะเรียนท่านให้นะคะ”
“เจ้าสัวคะ ประธานบริษัท อัครเดชากุล กรุ๊ป ต้องการนัดทานข้าวเย็นนี้ค่ะ”
เจ้าสัวพิชิตนิ่งไป ราวกับจมดิ่งสู่ความคิดบางอย่าง “อัครเดชากุล... อัครวรเดช...” เขาพึมพำแผ่วเบา
“คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่า” คุณหญิงจินดาสะกิดเรียกเจ้าสัวเมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบรับว่าจะไปทานข้าวกับประธานคนนั้นหรือเปล่า
“เขาได้บอกมั้ยว่ามีธุระอะไร” เสียงของเจ้าสัวเข้มขึ้นพร้อมกับความคิดที่กำลังคิดมากขึ้น
“เขาแจ้งว่าเขาพร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตระกูลวรากร แต่เขาต้องการคุยรายละเอียดพร้อมยื่นข้อเสนอกับท่านค่ะ”
เจ้าสัวหันไปมองคุณหญิงจินดาและลูกสาวพิมพ์ดาวสักพัก จากนั้นก็หันมาพยักหน้าให้เลขา
“ได้ ผมจะไปพบเขาเย็นนี้ คุณแจ้งสถานที่และเวลาให้กับคนขับรถผมด้วย”
“พิมพ์ไปกับพ่อมั้ยลูก” เจ้าสัวหันมาทำเสียงอ่อนโยนกับลูกสาวคนโต
“ได้ค่ะ พ่อ งั้นดาวขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
เจ้าสัวพยักหน้า เมื่อพิมพ์ดาวเดินออกไป คุณหญิงรีบเดินเข้ามาหาสามีตัวเองทันที
“คุณคิดอะไรอยู่ถึงจะพาหนูดาวไปด้วย”
“ผมจำเป็นจริง ๆ แต่ยังไงผมก็จะไม่ให้ลูกของเราไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแน่นอน”
“โธ่ คุณคะ เราต้องทำอย่างนี้จริง ๆ เหรอ” คุณหญิงร้องไห้ออกมาโดยที่เจ้าสัวไม่ได้ตอบกลับใด ๆ ซึ่งถือเป็นการยอมรับไปในตัว
เย็นวันนั้น พิมพ์ดาวตามคุณพ่อไปที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง โดยคนของประธานบริษัท อัครเดชากุล กรุ๊ป ได้ให้คนจองห้องส่วนตัวไว้เรียบร้อย
ร้านอาหารหรู
ธีรภัทรนั่งรอตระกูลวรากรอย่างใจเย็น แววตาเรียบนิ่งราวกับน้ำแข็ง เมื่อประตูห้องเปิดออก พิมพ์ดาวและเจ้าสัวพิชิตเดินเข้ามาด้วยท่าทีลังเล
“นั่งสิครับ” เขากล่าวเรียบๆ ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นต้อนรับ
“เอ่อ... คุณธีรภัทร อัครเดชากุล?” เจ้าสัวถามอย่างไม่แน่ใจ
“ใช่ครับ ผมธีรภัทร อัครเดชากุล ประธานบริษัท อัครเดชากุล กรุ๊ป ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ เจ้าสัวพิชิต และคุณพิมพ์ดาว วรากร” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
พิมพ์ดาวได้ยินก็ขมวดคิ้ว เธอแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักชายหนุ่มคนนี้มาก่อนแน่ ๆ แล้วเขารู้จักเธอได้ยังไง
“เอ่อ เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือค่ะ”
“ทำไมถามอย่างนั้นหล่ะ ยัยดาว” เจ้าสัวเอ็ดหญิงสาวเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาก็ไม่รู้จักชายหนุ่มตรงหน้า แต่เวลานี้ถ้าอีกฝ่ายอยากทำให้ทั้งสองเหมือนคุ้นเคยกันยิ่งเป็นเรื่องดีในการเจรจา
ธีรภัทรยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา “อาจจะไม่... แต่วันนี้คุณจะได้รู้จักผมดีขึ้น”
เธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ
พิมพ์ดาวเม้มปากแน่นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ธีรภัทรจ้องมองเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“เอาหล่ะ เรามาคุยเรื่องข้อเสนอกันดีกว่านะครับ”
“คุณมีเงื่อนไขอะไร” เจ้าสัวถามเสียงเคร่ง
ธีรภัทรเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างชัดเจน
“ผมจะช่วยเหลือวิกฤติทางการเงินครั้งนี้ของตระกูลวรากร แลกกับการที่คุณพิมพ์ดาว วรากรต้องแต่งงานกับผมเป็นเวลา 1 ปี”
พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า "ฉัน… ฉันพร้อมแล้ว ที่จะให้โอกาสคุณอีกครั้ง"ธีรภัทรเบิกตากว้าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า เขายกมือขึ้นกุมมือของพิมพ์ดาวแน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด"ขอบคุณนะพิมพ์ดาว… ขอบคุณที่ยอมให้โอกาสผม…"ปริญมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน"ผมยินดีกับพวกคุณทั้งสองคนจริง ๆ" ปริญพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหาธีรภัทรธีรภัทรลุกขึ้นยืนหันไปมองปริญ ปริญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขอให้รู้ไว้ ถ้านายทำให้พิมพ์ดาวเสียใจแม้แต่นิดเดียว… ฉันจะกลับมา และพาพิมพ์ดาวกับลูกหนีไปจากนายทันที"ธีรภัทรมองสบตาปริญด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าตอบ"ฉันสัญญา… ฉันจะไม่มีวันทำให้พิมพ์ดาวเสียใจอีก"ปริญยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตบไหล่ธีรภัทรเบา ๆทันใดนั้น…"แด๊ดดี้! แม่!"เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นก่อนที่พัตเตอร์จะวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เด็กน้อยวิ่งตรงมาหาธีรภัทรกับพิมพ์ดาว ก่อนจะกระโดดกอดพวกเข
ปริญยืนมองหลังของธีรภัทรที่เดินจากไปจนลับสายตา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลื่นความรู้สึกบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในอก เขารู้ดีว่าธีรภัทรรักพิมพ์ดาวมากแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นคำพูดที่มาจากหัวใจอย่างแท้จริงปริญก้มมองเครื่องอัดเสียงในมือ ก่อนจะกำมันไว้แน่น และตัดสินใจเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เขาสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพิมพ์ดาวทันทีบรรยากาศในบ้านของพิมพ์ดาวเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ปริญนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น โดยมีพิมพ์ดาว พ่อ แม่ และน้องชายของเธอนั่งอยู่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด"ปริญ... มีอะไรเหรอ?" พิมพ์ดาวถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสงสัยปริญสบตากับเธอ ก่อนจะยกเครื่องอัดเสียงขึ้นมา"ฉันอยากให้พวกเธอได้ยินสิ่งนี้" เขาพูดช้า ๆ ก่อนจะเปิดเครื่องอัดเสียงทันทีที่เสียงของธีรภัทรดังขึ้น ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง"ผมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น..."ดวงตาของพิมพ์ดาวเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงเม
เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงล้อแตะกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้พิมพ์ดาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าเกทขาเข้าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพ่อ แม่ และน้องชายที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต พิมพ์ดาวรีบสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะโผเข้าสวมกอดมารดาแน่น ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างตื้นตัน“คุณแม่... คุณพ่อ...” พิมพ์ดาวน้ำตาคลอเบ้า“แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” น้ำเสียงอบอุ่นของมารดาทำให้พิมพ์ดาวกอดท่านแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปกอดบิดา และสุดท้ายคือ ภัทร น้องชายที่ยืนกอดอก มองพี่สาวด้วยสีหน้ากึ่งดีใจ กึ่งเคืองขุ่น“กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ” พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่คุณหญิงจินดาและเจ้าสัวพิชิตพยักหน้า แม้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านทั้งสองจะดูขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ จะได้ดูแลพิมพ์ดาวกับหลานให้ดี ๆ เสียที” เจ้าสัวพิชิตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แววตาเย็นชานั้นทำให้พิมพ์ดาวรู้ดีว่าเขายังไม่ให้อภัยธีรภัทร
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านสีขาวภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบอย่างน่าประหลาด พิมพ์ดาวนั่งเฝ้าธีรภัทรอยู่ข้างเตียง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทเธอวางมือลงเบา ๆ บนหลังมือของเขา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาแบบนี้"อืม..."เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากริมฝีปากของธีรภัทร ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะขยับเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของพิมพ์ดาว"พิมพ์..." เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างชัดเจน "เธอกับลูก... ปลอดภัยใช่มั้ย?"พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ความเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่มีต่อเธอและพัตเตอร์ ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว"พวกเราปลอดภัย..." เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เขา "คุณน่ะสิ เป็นยังไงบ้าง?"ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ แม้ใบหน
วันต่อมา – หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์ในช่วงเย็น ขณะที่ธีรภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใส่สูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่พัตเตอร์กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามเด็กเล่น"ขอบคุณนะคะ ที่มารับพัตเตอร์ด้วยกันทุกวัน" พิมพ์ดาวพูดเบา ๆธีรภัทรหันไปมองเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก "ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมาอยู่กับพวกคุณ"พิมพ์ดาวหลุบตาลง เธอรู้สึกว่าธีรภัทรกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เธอเปิดใจ แต่เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อใจเขาเต็มร้อยทันใดนั้น…"พิมพ์ดาว!!"เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น ทำให้พิมพ์ดาวและธีรภัทรหันไปมองทันทีร่างของกานต์รวีในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อพุ่งตรงเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ในมือของเธอมีมีดคมกริบเล่มหนึ่ง"กานต์รวี!" ธีรภัทรร้องเสียงดัง ขณะที่กานต์รวีพุ่งเข้าหาพิมพ์ดาวด้วยความเร็ว"แกต้องตาย!!"พิมพ์ดาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น เธอได้แต่มองปลายมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างตกตะ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบผ่านม่านสีขาวในห้องนอนของคอนโดฯ หรูใจกลางเมือง พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่เสียงนกร้องแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง ร่างบางขยับกายเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงของพัตเตอร์ที่ตะโกนเรียกเธอ"มามี๊~ ตื่นได้แล้วครับ!"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มือเรียวเสยผมยาวสลวยของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป"มามี๊ตื่นแล้วครับลูก เดี๋ยวมามี๊จะออกไปเดี๋ยวนี้"พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องนอนก็พบกับพัตเตอร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้อง ในชุดนักเรียนที่ถูกแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือเล็ก ๆ ถือกล่องนมไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดขาเธอแน่น"พัตเตอร์ตื่นเช้าจังเลยค่ะ" พิมพ์ดาวลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเขา"พัตเตอร์ไม่ได้ตื่นเองนะครับ" เด็กชายเงยหน้ามองเธอ ดวงตากลมโตใสซื่อเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา"แด๊ดดี้โทรปลุกพัตเตอร์เองต่างหาก!"พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า 'แด๊ดดี้'"คุณธีรภัทรจะมาเหรอคะ?" เธอถามด้วยความสงสัยพัตเตอร์พยักหน้าแรง
หลังจากเหตุการณ์เปิดโปงอนุชิตในคืนนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ในใจของพิมพ์ดาวกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์ ร่องรอยบาดแผลในอดีตยังคงทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจของเธอ…พิมพ์ดาวนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างของคอนโดหรูในกรุงเทพฯ สายลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามาเบา ๆ เสียงเรียกเข้าสายดังขึ้น พิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกดรับสาย"พ่อคะ..." น้ำเสียงของพิมพ์ดาวแผ่วเบาแต่มั่นคง"ดาวลูก…" เสียงของเจ้าสัวพิชิตปลายสายเต็มไปด้วยความกังวล"ทุกอย่างจบลงแล้วค่ะพ่อ อนุชิตได้รับผลกรรมของเขาแล้ว พ่อพ้นมลทินแล้วนะคะ"เจ้าสัวพิชิตนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เสียงถอนหายใจของพ่อทำให้พิมพ์ดาวรู้สึกถึงน้ำหนักที่ผ่อนคลายลงในใจ"ดีแล้ว… พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อจะกลับไปปรึกษาแม่กับน้องชาย แล้วพวกเราจะกลับไปอยู่ที่ประเทศไทยด้วยกัน"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ แม้จะมีน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาเธอทอแสงแห่งความหวัง แต่มันก็ยังไม่อาจลบเลือนบาดแผลในใจได้ง่าย ๆในขณะที่พิมพ์ดาวกำลังเตรียมตัวเพื่อพาครอบครัวกลับมาที่
เสียงในห้องจัดเลี้ยงเงียบสนิทไปชั่วขณะหลังจากคำประกาศของธีรภัทรดังก้องไปทั่วทั้งงาน น้ำเสียงของเขามั่นคง หนักแน่น และเต็มไปด้วยความจริงใจ“ฉันรักพิมพ์ดาว และจะไม่มีวันยอมรับใครเป็นภรรยา นอกจากเธอเท่านั้น”ทุกสายตาหันมาที่พิมพ์ดาว ซึ่งยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่น ราวกับยังประมวลผลไม่ทันกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกานต์รวีหน้าถอดสี น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างแทบจะไร้เรี่ยวแรง เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พลางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ไม่นะ... ธีร์ต้องล้อฉันเล่นใช่ไหม?” น้ำเสียงของกานต์รวีสั่นไหว ร่างของเธอสั่นสะท้าน ขณะเดินตรงไปหาธีรภัทรด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“ทำไมธีร์ถึงพูดแบบนี้? ธีร์รักฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”ธีรภัทรหันมามองกานต์รวี ดวงตาคมกริบของเขาเย็นชาและว่างเปล่า ราวกับปราศจากความรู้สึกใด ๆ“ฉันไม่เคยรักเธอ” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเย็นเยียบจนทำให้หัวใจของกานต์รวีแทบแตกสลาย“ไม่จริง!” กาน
เสียงเพลงคลาสสิกบรรเลงคลอเบา ๆ ภายในงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ของโรงแรมระดับห้าดาว แขกผู้มีเกียรติในชุดราตรีและสูทเรียบหรูต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น ธีรภัทรยืนสง่างามในชุดสูทสีดำสนิท เขาถือแก้วไวน์แดงในมือ สายตาของเขามองตรงไปยังพิมพ์ดาวที่กำลังยืนอยู่มุมห้อง ข้าง ๆ เธอมีปริญคอยประกบอยู่ไม่ห่าง ทำให้สีหน้าของธีรภัทรดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้นกานต์รวียืนเคียงข้างธีรภัทร เธอสวมชุดราตรีสีแดงสดที่เน้นทรวดทรงอย่างลงตัว ใบหน้าสวยหวานประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าในแววตามีประกายแห่งความมุ่งมั่นซ่อนอยู่"ธีร์คะ..." กานต์รวีเอ่ยเสียงหวานพร้อมเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของธีรภัทรเบา ๆ"วันนี้คุณหล่อมากเลยนะคะ"ธีรภัทรปรายตามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนออกจากมือของกานต์รวีอย่างแผ่วเบา"ขอบคุณ" น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่พิมพ์ดาวไม่วางตากานต์รวีเม้มปากแน่น หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่สบายใจ เธอรู้ว่าธีรภัทรยอมให้เธออยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เคยแสดงความสนใจในตัวเธอจริง ๆ เลย มันเหมือนกับว่าเขากำลังรออะไรบางอย่าง หรื
Comments