ซู่ ~~“ฮึก...ฮึก...ฮือออออ ~~”สายฝนที่โปรยปรายลงมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่อาบแก้ม ความเปียกปอนที่ซัดเข้ามากะทันหัน เสมือนว่าเบื้องบนต้องการตอกย้ำความบัดซบที่เกิดขึ้นในตอนนี้“ฮือออออ ~~” น้ำตาที่หลั่งออกมาไม่หยุดผสานเข้ากับเม็ดฝนที่สาดเข้าใบหน้าเนียนจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือเม็ดฝน อันไหนคือหยดน้ำตาสองขาที่พาก้าวเดินไปช้า ๆ อย่างไร้จุดหมายกลางสายฝนความหนาวที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาตามผิวหนัง แต่ว่าความรู้สึกนั้นก็ไม่หนาวเท่ากับใจที่รู้สึกอยู่ตอนนี้“ทำไมมันเจ็บแบบนี้ล่ะ...ฮึก...ฮึก” เสียงพึมพำกับตัวเองแม้จะไม่ดังเพราะมีเสียงฝนกลบ แต่ชัดเจนมากพอเพราะรับรู้ได้จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นร่างที่เดินไปอย่างคนที่ไร้วิญญาณ อาการเหม่อลอยโดยที่สายตาถอดมองเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่า สติที่ไร้ซึ่งสัมปชัญญะจนไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะเดินชนใครบางคนเข้าอย่างจังปึก...“อะ...ขะ...ขอโทษค่ะ”ฉันเอ่ยคำขอโทษอย่างเลื่อนลอยในขณะที่ตัวเองเสยืนไม่ได้หลักหลังจากเดินชนร่างกำยำเข้าอย่างจัง อีกทั้งอาการปวดหัวที่จู่ ๆ ก็พลันกำเริบขึ้นมายิ่งส่งให้ร่างบางออกอาการโงนเงนและในขณะที่ฉันเองก็ไม่ทันได้มองว่าตัวเองเดินชนใคร เสียงเ
ไหล่ที่สั่นไหวเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดของคนตรงหน้าอีกทั้งความจริงที่ไม่อาจกังขาได้ ทำให้ฉันได้แต่พยายามกลั้นรู้สึกปวดร้าวเอาไว้ แม้ว่าในใจมันอยากจะคร่ำครวญร้องขอความเมตตาจากคนตรงหน้าก็ตามก่อนที่ร่างบางจะฝืนกลืนความขมขื่นที่มีลงคอไป และเมื่อตัวเองได้สงบจิตสงบใจแล้วเรียวปากสวยก็ค่อย ๆ ขยับปากพูดปฏิเสธความจริงถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้ชายที่เป็นลูกชายของคนตรงหน้าออกไป“ท่านคงเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ...คือดิฉันกับท่านประธานเราเป็นแค่...จะ...เจ้...า...”และในขณะที่ฉันยังไม่ทันได้ผู้จบประโยค...“ไม่ต้องมาพูดปฏิเสธหรอกฉันเข้าใจดีว่าผู้ชายมันต้องมีเรื่องแบบนี้กันอยู่แล้ว อีกอย่างดูแล้วเธอเองก็ตรงสเปกลูกชายฉันอยู่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่แปลกที่เขาจะคว้าเอาเธอไปนอนด้วย เพียงแต่ฉันยอมใจเขาเลยนะที่เขาเก็บเธอให้พ้นหูพ้นตาฉันได้นานขนาดนี้...หึ...นี่ถ้าไม่เป็นเพราะฉันได้รูปมาก่อนแล้วละก็...ไม่รู้ว่าเรื่องของเธอจะถูกเก็บงำเอาไว้นานแค่ไหน” หญิงสูงวัยพูดดักคอไม่รอให้ฉันพูดจบ ก่อนที่เธอจะหยิบยกแก้วชาขึ้นมาจิบพลาง ๆ ด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไรจากนั้นผู้หญิงสูงวัยตรงหน้าก็ไม่รอให้ฉันได
นับตั้งแต่ที่ฉันได้รับสายโทรศัพท์ของผู้มีอำนาจสายนั้นแล้ว ความรู้สึกว้าวุ่นในใจก็พลันบังเกิดขึ้นไม่หยุด ฉันที่กระสับกระส่ายอยู่ข้างในแต่ข้างนอกกลับต้องทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน...กาลเวลาที่ช่างผ่านไปเนิ่นนานเหมือนเฉกเช่นกับความทุกข์ของคนเราที่มักจะกัดกินช่วงเวลาให้ยาวนานกว่าจะผ่านพ้นไป กระทั่งเมื่อหน้าปัดนาฬิกาได้บอกเวลาว่าบัดนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องไปขึ้นเคียงให้ใครบางคนเชือดแล้ว ฉันก็ได้รีบเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวที่จะออกไปทันทีเพียงแต่ว่า...ในขณะที่ฉันกำลังลุกขึ้นเดินไปยังหน้าประตูอยู่นั้น เสียงเรียกอันทรงพลังก็ได้ดังขึ้นหลังจากฉันที่เพิ่งจะเดินไปยังไม่ถึงประตูห้องทำงาน“จะรีบไปไหน วันนี้กลับรถคันเดียวกับผมแล้วกันนะ”ชายหนุ่มที่พูดขึ้นมาอย่างไม่ต้องการให้ฉันได้เอ่ยปากปฏิเสธ และในจังหวะที่ฉันเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรเพื่อหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างจู่ ๆ พี่ปราบก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรายงานถึงเรื่องราวบางอย่างที่ฉันรู้ดีว่ามันได้ถูกจัดฉากเอาไว้แล้ว“นายครับ ท่านผู้หญิงโทรมาหาผมบอกให้นายปลดบล็อกด้วยครับ ท่านมีเรื่องจะคุยกับนายครับ” พี่ปราบพู
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปรับความรู้สึกผิดที่อยู่ภายใน ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดประโยคที่เขาคิดว่าดีแล้วออกมา“ผมอยากขอโทษที่ผมรุนแรงกับคุณก่อนหน้านี้ มันเป็นเพราะว่าผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของของผม และผมก็ไม่ชอบให้คุณไม่สนิทสนมกับใครหน้าไหนทั้งนั้น โดยเฉพาะ...ผู้ชาย...”คำตอบที่ชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าตนเองได้กลั่นกรองมาอย่างดีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการขอความเมตตาจากหญิงสาวว่าอย่าได้โกรธเคืองเขาอีกเลย แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือคำตอบของเขานั้นเปรียบดั่งฟางเส้นสุดท้ายในใจของหญิงสาวไปแล้ว(...หึ...ที่แท้ก็ขอโทษเรื่องนี้เองงั้นเหรอ สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเบี่ยงประเด็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นงั้นซินะ...เจ็บจัง...) คำพูดที่ผุดขึ้นตัดพ้อในใจ ยามคิดไปถึงสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ เพราะถ้าหากเขาเลือกที่จะขอโทษฉันถึงเรื่องที่เขาบอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแม่ของเขาแทนที่จะเอ่ยอ้างเปลี่ยนเป็นเรื่องนี้...ความรู้สึกแย่ ๆ ที่มีอาจจะไม่ดำดิ่งลงไปมากกว่านี้...หรือถ้าหากเขาอธิบายหรือพูดเพียงแค่ว่าเขาจำเป็นต้องบอกออกไปแบบนั้นเพราะสถานะทางสังคมที่เขาจำต้องรักษามันเอาไว้ เพราะถ้าหากเขาจริงใ
ความเยือกเย็นฉายขึ้นบนดวงหน้าสง่างาม พร้อมกันกับที่ตัวเธอนั้นได้ยกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูรูปถ่ายที่ถูกส่งมาให้ดูอีกครั้ง มันเป็นภาพที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมชิดเชื้อกันระหว่างชายหญิงคู่หนึ่ง โดยที่รูปเหล่านั้นตัวเธอได้มาจากหญิงสาวที่เธอหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ และในภาพนั้น...ผู้ชายที่อยู่ในภาพจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทายาทของตระกูลเพียงคนเดียว ที่เธออุตส่าห์เฝ้าประคบประหงมทะนุถนอมให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาจนมาได้ไกลถึงตำแหน่งนี้ได้อย่างไร้ข้อกังขา แม้ว่าวาสนาอันแสนอาภัพของลูกชายเธอที่ต้องมาสูญเสียผู้เป็นบิดาไปก่อนวัยอันควร แต่เธอก็ยังพยายามที่จะฝ่าฟันช่วงชิงสิ่งที่ควรจะต้องเป็นของลูกชายเอามาจนได้ ดังนั้นไม่ว่ายังไงเธอเองจะไม่มีวันยอมให้อนาคตของลูกชายเธอต้องสั่นคลอนเด็ดขาดโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของลูกชายเธอด้วยแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะต้องเป็นเหมือนกับรากฐานและกองกำลังสนับสนุนให้กับลูกชายของเธอได้ยืนหยัดอย่างมั่นคง และด้วยคุณสมบัติที่เธอคาดหวังเอาไว้ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ในภาพเดียวกันกับลูกชายของเธออย่างแน่นอน ด้วยสถา
ฉันยังคงยืนนิ่งฟังบทสนทนาที่อยู่ด้านนอกต่อ หลังจากที่คนด้านนอกได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาให้กับผู้เป็นมารดาของเขาได้ฟัง ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นมากินระยะเวลาเท่า ๆ กับความคิดในหัวของฉัน ก่อนที่ฝ่ายมารดาของเขานั้นจะยังคงไม่ยินยอมและพยายามต้อนคนด้านนอกให้จนมุม...“...หึ...เจ้านายกับลูกน้องยังงั้นหรอ แกคิดว่าแม่โง่ขนาดนั้นเลยหรือไง” เสียงทรงพลังเอ่ยย้ำอย่างต้องการที่จะรู้ความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ พร้อมกับจ้องมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองเขม็ง“ก็ถ้าหากแม่มีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมาถามเอาความจริงกับผมหรอกครับ ในเมื่อผมพูดอะไรไปแม่ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดี”ก่อนที่เสียงเยียบเย็นเฉยชาจะส่งไปหาผู้เป็นมารดาอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เพราะเขานั่นก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหากเขายังไม่ยกผู้หญิงที่เขาซ่อนเอาไว้ภายใต้การคุ้มครองของตัวเองให้ขึ้นมามีสถานะแล้วล่ะก็ แม่ของเขาก็จะไม่มีทางมาระรานหรือวุ่นวายไปมากกว่านี้ เพียงแต่ว่า...เขาที่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมครั้งนี้แม่ของเขาถึงกับออกตัวแรงแซงโค้งมาวีนเขาถึงที่ทำงานได้และในระหว่างที่เขากำลังสงสัยพฤติกรรมของผู้เป็นมารดา คำถามที่จู่ ๆ ก็โ