เจตสุวีย์โทรหาน้องสาวเพื่อบอกว่าได้เจอไอรดาและสามีแล้ว
“เขาดูแย่กว่าที่คิดไว้มาก ดูซีดเซียว เหนื่อยหอบ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มีแค่น้องอายอยู่เฝ้ากับพยาบาลอีกคนเท่านั้น ฝากบอกป๊ากับม๊าด้วยนะ”
“จูนจะโทรหาอาย ลองถามว่าตกลงป่วยเป็นอะไร แต่ต้องรอตอนดึกถึงจะเป็นช่วงเช้าที่นั่น พี่โจ..โอเคนะพี่?”
“พี่ไม่เข้าใจตัวเอง..พี่เคยคิดว่าทำไมต้องมีผู้ชายคนนี้มาขวางทาง แต่พอเห็นเขาวันนี้ กลับรู้สึกเห็นใจ กลัวน้องอายจะเสียใจ”
จูนยิ้มกับตัวเองเมื่อได้ยินแบบนั้น
“รักแท้คือการเสียสละไงพี่โจ เมื่อเราเห็นคนที่รักมีความสุข ถึงจะไม่ได้ครอบครองก็เถอะ”
“สละอะไรล่ะ แอบปลอมเป็นจูนไปคุยทุกวันนี่จะเรียกว่าชู้แล้ว พี่ยังเคยคิดเลยว่า คงสวมรอยคุยแบบนี้จนแก่ไปพร้อมกับพวกเขาแน่ๆ”
“ตลกน่า ไม่คิดจะมองสาวอื่นเลยรึ?”
“แค่คนเดียวพอ”
วันต่อมาเจตสุวีย์ไปที่ Enterprise Rent-A-Car ในช่วงเช้าเพื่อเช่ารถยนต์หนึ่งอาทิตย์ ก่อนจะตรงไปที่ Supermarket ชื่อ Safeway เพื่อเลือกซื้อผลไม้ไปฝากไอรดาและแมทธิว จนกระทั่งจูนได้โทรเข้ามาพอดี
“พี่โจ ข่าวไม่ค่อยดี อายบอกว่าสามีปอดอักเสบเฉียบพลันและติดเชื้อจากไวรัส เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด ท่าทางจะหนักต้องอยู่โรงพยาบาลไปเรื่อยๆ เพราะไม่มียารักษาแบบจำเพาะ อายร้องไห้ตลอดทุกครั้งที่โทรคุยกัน จูนอาจจะไปพร้อมป๊ากับม๊านะ อีกสองวัน”
เขาวางสายจากน้องสาวด้วยคิ้วที่ขมวด พลางคิดว่า ถ้าเกิดเขาเป็นแมทธิวจะทำยังไง? มันไม่ง่ายเลยกับการที่พึ่งได้มีชีวิตคู่ มีลูกที่น่ารัก ชีวิตกำลังมีความสุข แต่ต้องมาป่วยหนักขนาดนี้
เจตสุวีย์ไปเคาะประตูและมีผู้หญิงฝรั่งวัยกลางคนมาเปิดให้ คือแม่ของแมทธิว
เขากล่าวสวัสดีพ่อแม่ของแมทธิวและมอบผลไม้ชุดใหญ่ให้ แต่พอเห็นลูกชายของไอรดา เจตสุวีย์จ้องมองอย่างถูกชะตา จึงเดินเข้าไปนั่งลงกล่าวทักทาย จนไอรดาที่เห็นแบบนั้นจึงรีบลุกจากเก้าอี้มาอุ้มลูกชายเอาไว้ แล้วกลับไปนั่งข้างเตียงใกล้กับแมทธิวแทน ทำเอาเจตสุวีย์ยิ้มเก้อแต่ก็ไม่พูดอะไร จึงเปลี่ยนไปแนะนำตัวกับพ่อแม่ของแมทธิวแทน
“ครอบครัวผมสนิทกับครอบครัวของไอรดา เพราะเราทำธุรกิจร่วมกัน ก็เลยมาเยี่ยม”
“แค่เคยทำ”
แมทธิวพูดสวนก่อนจะไอขึ้นมาอีก ไอรดารีบเอามือลูบหน้าอกสามีเบาๆ หน้าตาเธอดูไม่ค่อยสบายใจ
เจตสุวีย์ยิ้มบางๆ ให้กับสิ่งที่แมทธิวพูดโดยไม่ตอบโต้อะไร แล้วเริ่มพูดเรื่องสัพเพเหระแทน
“เขาว่ากันว่าลูกชายหน้าเหมือนแม่จะดี มาร์ตินเหมือนหนูมาก น่ารักจริงๆ”
“มาร์ตินเหมือนแมทธิวมากกว่า ชอบทำอะไรคล้ายๆ กัน เขาติดพ่อมาก”
ไอรดาพูดเพื่อตอกย้ำว่านี่คือลูกของสามีเธอ ด้วยหน้าตาที่ดื้อดึงดูเอาเรื่องใส่เขา
“ที่รัก..คุณจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านใช่มั้ย? ก็ไปกับพ่อแม่ผมก็ได้ แล้วพักที่บ้านคืนหนึ่ง เพราะขับรถไปกลับตั้งสี่ชั่วโมง ผมอยู่คนเดียวได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาหาอีกที”
เธอมองสามีด้วยสีหน้างงๆ ขมวดคิ้วเชิงคำถาม
“เสื้อผ้าไม่พอเตรียมมาแค่สองสามวัน แต่ฉันไปซื้อเอาใหม่แถวนี้ก็ได้ ไม่กลับหรอก ให้พ่อแม่คุณนั่นแหละกลับไปพักที่บ้านเรา อาจให้เอามาร์ตินไปด้วย เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยไม่ได้ เสื้อผ้าแต่ละคนก็เตรียมมานอนที่โรงแรมไม่พอ”
“ผมมีเพื่อนอยู่ด้วยแล้ว นั่นไงล่ะ…คุณคงอยู่เป็นเพื่อนผมได้ใช่มั้ย?”
แมทธิวบอกภรรยา แล้วถามเจตสุวีย์ต่อ แต่ไอรดารีบท้วงทันที
“เขาแค่มาเยี่ยมเดี๋ยวก็ไปแล้ว นี่มันหน้าที่ฉัน เขาเป็นแค่คนอื่น”
เจตสุวีย์ยิ้มอ่อน เลิกคิ้วให้แมทธิวในความดื้อของเธอ เขาเองก็อยากอยู่เพื่อคุยกับสามีของเธออยู่เหมือนกัน
“เชื่อผมเถอะ ที่รัก ไปนอนพักผ่อนสักคืนจะได้มีแรงมาอยู่กับผม แค่ผมไม่สบายคนเดียวก็พอแล้ว”
“ฉันอยู่บ้านไม่ได้..อย่าให้ฉันต้องไปเลย ขอโทษที่ขอไม่ทำตามที่คุณพูด”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา..แบบส่วนตัว”
พ่อแม่ของแมทธิวไม่เข้าใจความหมายที่ลูกชายพูด แต่ก็เคารพความต้องการของเขา จึงชวนให้ไอรดากลับบ้านพักผ่อนและอยู่กับมาร์ตินสักหน่อยก็ยังดี
ไอรดามองที่เจตสุวีย์ด้วยความไม่พอใจ เพราะกลัวที่พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันคืนนี้ เธอรู้ว่าแมทธิวเกลียดเขามาก และอาการจะยิ่งแย่ถ้าปล่อยให้อยู่กันสองคน
“ให้พี่ช่วยหนูดูแลลูกให้เอามั้ย? อุ้มตลอดแบบนั้นคงเหนื่อย”
“ลูกฉัน ฉันดูแลได้”
ไอรดาใช้สรรพนามที่ห่างเหินเพราะเธอไม่พอใจที่เขามาป้วนเปี้ยนถึงที่นี่ในยามที่สามีป่วย
ในช่วงบ่ายอากงและอาม่าที่บินมาจากไต้หวันก็มาถึงสนามบินซานฟรานซิสโกและรีบบึ่งมาหาหลานชายเพียงคนเดียวทันที อาม่าที่น้ำตาคลอสวมกอดไอรดาอย่างสนิทสนมก่อนจะเข้าไปสวมกอดหลานชายสุดที่รักบนเตียง
เจตสุวีย์ที่ออกไปในตอนเที่ยงและกลับมาในช่วงที่อากงและอาม่าของแมทธิวมาพอดี เขาเห็นทุกคนมัวคุยกัน ส่วนเขาเป็นแค่ส่วนเกินในห้องนี้ แต่เพราะใจเขาที่ต้องการจะอยู่ ถึงต้องเป็นอากาศธาตุ นั่นไม่สำคัญเท่ากับการได้อยู่ใกล้เธอเท่านั้น
มาร์ตินที่เดินมาใกล้ๆ เขาที่ยืนหลบมุมใกล้ประตู เจตสุวีย์ก้มลงไปอุ้มขึ้นมา พยายามสังเกตอะไรก็ได้ที่จะเข้าข้างตัวเองว่าเป็นลูกเขา แต่มาร์ตินนั้นคล้ายไอรดามาก นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกชะตาในทันที
แต่เขาไม่สน..ถ้าเขารักแม่ของเด็ก เขาก็รักลูกของเธอด้วยอยู่แล้ว..
หางตาเธอเห็นที่เจตสุวีย์อุ้มมาร์ตินและคุยเล่นกันเงียบๆ ใกล้ประตู ทำให้เธอจะออกจากวงสนทนา แมทธิวรีบคว้ามือเธอไว้แล้วส่ายหน้า จนไอรดาทำหน้าใส่เขาเชิงคำถามว่าทำไม?
เจตสุวีย์อุ้มมาร์ตินเดินผ่านหลังทุกคนออกไปที่ระเบียงห้องด้านนอก โดยที่ไอรดาทำได้แค่มองตามเหมือนเสือที่หวงลูก เขาคุยหยอกล้อกับมาร์ติน ทำเหมือนกับเป็นพ่อลูกกัน
“คนนั้นคือใครเหรอ?”
อาม่าได้ถามขึ้นมาเพราะพึ่งสังเกตเห็น
“ครอบครัวเขาสนิทกับครอบครัวไอรดา แต่เขามาที่นี่ก่อน ส่วนคนอื่นๆ กำลังตามมา”
แมทธิวตอบแทนภรรยา พลางหอบหายใจไปด้วย
เจตสุวีย์อยู่ได้สักพักหนึ่ง เลยเอามาร์ตินมาคืนให้ไอรดา
“แมทธิว..ตอนเย็นผมจะมาอีกครั้ง ตอนนี้คุณจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้า ผมจะกลับโรงแรมก่อนเพื่อดูอีเมลงาน อาจจะพักนิดหน่อยด้วย..แล้วเจอกัน”
เขาบอกลาทุกคนและมองไอรดาที่ไม่ยอมมองเขาเลย ก่อนจะก้มหน้าเดินกลับออกไป
พ่อของแมทธิวที่เห็นสายตาของเจตสุวีย์ที่มองลูกสะใภ้ มันทำให้เขาจำได้ถึงเรื่องหนึ่งว่า ลูกสะใภ้เคยเจอหุ้นส่วนลอยแพและขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เนื่องจากบีบให้เธอเลือกเขามากกว่าแมทธิว จนลูกชายต้องมาปรึกษาครอบครัวเรื่องที่ต้องหาเงินก้อนใหญ่มาซื้อหุ้นของเขาที่มีถึง 55 % ประกอบกับตอนเขามาเยี่ยมแมทธิวยังแนะนำตัวว่า ครอบครัวเคยทำธุรกิจกับครอบครัวของไอรดา
“แมทธิว ผู้ชายคนนี้คือคนที่หักหลังภรรยาของลูกใช่ไหม?”
ไอรดาได้แต่นิ่ง อุ้มลูกไปนั่งเงียบๆ ที่โซฟา แมทธิวพยักหน้ารับ
“เขาก็ได้รับผลกระทบ เพราะผมเสนอหุ้นของเขาให้คุณแพทริคที่ใช้ชื่อภรรยาที่เป็นคนไทยเข้าคุมกิจการถึงรอดมาได้ ส่วนธุรกิจที่เขาทำก็พังป่นปี้ เสียเครดิตและชื่อเสียงต่อลูกค้าไปเยอะในตอนนั้น คุณแพทริครู้เรื่องราวความเป็นมาอย่างดี และจัดการให้บทเรียนกับเขาแทนพวกเราแล้ว”
“แล้วที่เขามาเยี่ยมลูก ต้องการอะไร?”
แม่ของแมทธิวถามขึ้นมา เธอเข้าใจว่าเจตสุวีย์มีปัญหากับไอรดาโดยตรงไม่ใช่ลูกชายของเธอที่เป็นเพียงคนที่เข้ามาช่วยในสถานการณ์ที่แย่ๆ เท่านั้น
“เขาคงเห็นว่าภรรยาผมจะตัวคนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาละมั้ง แต่เมื่อคืนเขาลงเครื่องแล้วตรงมาที่นี่เพื่อมาขอโทษพวกเราทั้งคู่”
“จะไม่เกิดอะไรทั้งนั้นและฉันจะมีคุณเสมอ เขาขอโทษแล้วก็จบกันไป อีกไม่กี่วันคุณจะดีขึ้น..เรากลับบ้านกันนะ”
ไอรดาพูดขึ้นและส่งยิ้มให้สามี สายตาที่มีแต่ความเป็นห่วงนั้น ลึกๆ คือความกังวล
พ่อแม่ของแมทธิวให้อากงและอาม่าอยู่ที่โรงแรมที่พวกเขาเปิดห้องไว้แล้วหลายวัน ส่วนพวกเขาจะพาไอรดาและมาร์ตินขับรถกลับบ้านที่ Carmel-by-the-sea ในตอนห้าโมงเย็น
“ที่รัก ฉันกับลูกถึงบ้านแล้วจะวิดีโอคอลหาคุณ น่าจะถึงประมาณทุ่มนึง แล้วคุณต้องพักผ่อน ไม่ต้องคุยกับเขานานนัก”
“โอเค ผมรู้ Sweetie”
ไอรดาก้มลงจูบแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะเดินอุ้มลูกชาย เดินออกไปพร้อมกับพ่อแม่ของเขา
แต่เมื่อลงมาถึงทางเดิน ก็เจอเจตสุวีย์ที่กำลังเดินสวนมาจากไกลๆ จนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขามองไอรดามาตั้งแต่อยู่ห่างๆ จนเดินมาใกล้และหยุดยืนรอเธอ
“น้องอาย”
พ่อของแมทธิวเปิดฉากพูดขึ้นทันที ไอรดายืนอุ้มลูกไม่มองเขา หลบอยู่ข้างหลังพ่อแม่ของแมทธิว
“ผมหวังว่าคุณจะไม่รบกวนลูกชายผมนานนัก เพราะเขาต้องพักผ่อน”
“คนที่อยากคุยคือเขา..ไม่ใช่ผม และเชื่อเถอะ ผมอยากให้แมทธิวหายดีไม่ต่างกับทุกคน ผมพูดจากใจจริง เพราะผมห่วงภรรยาและลูกของเขา”
“เราต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกัน สำหรับผม..การที่ผู้ชายข่มเหงผู้หญิงทุกทางที่ทำได้ มันไม่ใช่ความรัก มันก็แค่ความเห็นแก่ตัวและอยากเอาชนะเท่านั้น แต่เอาเถอะ..การที่คุณบินมาขอโทษ ทั้งที่มีเวลาตั้งนานแต่ไม่ทำ กลับพึ่งมาตอนเขาไม่สบาย เจตนามันชัดเจนไปหน่อย”
เจตสุวีย์เข้าใจที่คนเป็นพ่อย่อมปกป้องลูก แต่ก็เช่นกัน เขาจะไม่ยอมให้ใครมาบอกว่าไม่รักเธอ เพียงเพราะเคยทำอะไรโง่ๆ มาก่อน
“ผมคงไม่สามารถทำให้ใครเชื่ออะไรได้..นั่นก็ไม่เป็นไร ผมรู้ใจตัวเองดี นั่นก็พอแล้ว คุณอาจจะตัดสินคนอื่นจากบรรทัดฐานของคุณ ลูกชายคุณเป็นคนดี ไม่เช่นนั้นไอรดาคงไม่เลือกฝากชีวิตไว้กับเขา แต่คุณรู้อะไรมั้ย? ..ถึงผมจะเคยทำอะไรสิ้นคิด แต่รับรองได้ว่าความรักที่ผมมีมันมากพอและไม่น้อยกว่าใครแน่นอน”
พ่อของแมทธิวรับรู้ได้ทันทีว่าเจตสุวีย์รู้สึกยังไงกับลูกสะใภ้ เพราะเขาพึ่งยอมรับออกมาจากปากตัวเอง
“คุณพ่อ เราไปกันเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยกับเขา”
ไอรดาไม่รอคำตอบก่อนจะอุ้มมาร์ตินเดินนำไปที่จอดรถยนต์ เจตสุวีย์มองตามเธออย่างไม่ลดละและไม่ปิดบังใครทั้งนั้น
ไหนๆ ก็เลวในสายตาใครๆ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแอบอะไร…
เขามองเธอจนลับตา ก่อนจะหันหลังไปหาแมทธิวที่ห้องพักผู้ป่วย
เสียงเคาะประตูสองครั้งเบาๆ เจตสุวีย์เข้ามาโดยที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วเพราะคิดว่าน่าจะคุยนาน เขาดึงเก้าอี้มานั่งด้านข้างเตียงห่างจากแมทธิวประมาณหนึ่ง มองดูชายที่ยังหนุ่มยังแน่นแต่ต้องเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง ใส่เครื่องพยุงเพื่อช่วยหายใจ
“ผมมารบกวนเวลามื้อเย็นหรือเปล่า? พยาบาลนำอาหารมาให้คุณหรือยัง?”
“นั่นไง มื้อเย็นผม”
แมทธิวชี้ไปยังสายที่ต่อตรงไปที่หลอดเลือดดำของเขา เจตสุวีย์ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ได้รู้สึกดีที่เห็นสามีของไอรดาเป็นแบบนี้ จริงอยู่ที่เขาเคยคิดเล่นๆ ว่าทำไมโลกนี้มีเขาต้องมีแมทธิว แล้วยังคิดว่าขอให้ซาตานนำเธอมาคืนให้เขา
“ผมอายุแค่ 38 ปี ไม่คิดว่าพูดแค่นี้ยังเหนื่อยหอบขนาดนี้ ว่าแต่คุณทานมื้อเย็นมาหรือยังล่ะ เพราะคุยกันอาจใช้เวลาประมาณหนึ่ง คุณจะไปหาอะไรกินก่อนก็ได้”
“รองท้องมาจากที่โรงแรมนิดหน่อยแล้ว เชิญคุณพูดได้ แต่ถ้าเหนื่อยก็พูดช้าๆ แล้วพักบ้าง ผมอยู่กับคุณได้ทั้งคืน ไม่ต้องห่วง”
แมทธิวขอให้พยาบาลคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ออกไปข้างนอกสักพัก เพื่อจะได้พูดคุยเรื่องสำคัญแบบส่วนตัวกับเจตสุวีย์
เจตสุวีย์เดินไปบ้านแม่และไปถามถึงซินแสประจำครอบครัว“ม๊า โจอยากให้ซินแสมาที่บ้านหน่อยน่ะครับ มาวันนี้ก็ได้ โจยอมจ่ายแพงหน่อย”มาดามจันจิราทำหน้าแปลกใจที่ปกติเจตสุวีย์ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เขามักพูดว่ามันไร้สาระ “มีอะไรเหรอโจ? มีสิ่งเร้นลับหรือยังไงลูก”“แค่สงสัยอะไรนิดหน่อยครับม๊า เจไม่ค่อยชอบโจเลยอ่ะ ชอบหงุดหงิดใส่ แล้วเป็นกับโจแค่คนเดียวด้วยนะ”“เอ่อ…หรือตอนหนูอายท้อง โจชอบเถียงกับน้องหรือเปล่า? เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย ม๊าก็เดามั่ว”อีกชั่วโมงต่อมา ซินแสได้มาที่บ้าน ทำเอาไอรดาแปลกใจ แต่ก็คิดว่าคงมาดูฮวงจุ้ยบ้านซินแสที่ได้รับข้อมูลมา ก็ขอวันเดือนปี เวลาตกฟากของลูกชายจากไอรดา จากนั้นซินแสขอรูปของแมทธิวจากโทรศัพท์ของเจตสุวีย์ไปดูอีกครั้ง โดยมองที่รูปสลับกับเด็กน้อยที่นั่งบนตักแม่ “แววตาเหมือนกันมาก” พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปแมทธิวไปที่เด็กน้อย “มีความสุขที่อยู่กับผู้หญิงคนนี้สินะ ถึงได้กลับมาอีกครั้ง”ไอรดาที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับเบิกตากว้าง มองที่เจตสุวีย์ที่ยิ้มมุมปากเล็กๆ “หมายความว่ายังไงคะ?”“คุณผู้หญิงสังเกตพฤติกรรมลูก มีอะไรที่คล้ายคนในรูปบ้างมั้ย? หรือทำไมเด็กถึงไม่ค่อยเข้ากั
เจตสุวีย์ประคบประหงมภรรยายิ่งกว่าไข่ในหินและดูแลไม่ให้คลาดสายตา จวบจนวันแต่งงานที่อเมริกาก็มาถึง รอบนี้คุณปู่คุณย่าของเธอได้มีโอกาสบินไปร่วมงานนี้ด้วยบ้านกิตติโสภณได้ทุ่มเต็มที่ให้กับงานนี้ ทั้งดอกไม้เต็มพื้นที่ ของชำร่วย อาหาร คนเสิร์ฟคอยบริการทั่วทั้งงาน งานมาในธีมสากลแบบฝรั่ง มีบุคคลสำคัญในแวดวงธุรกิจทั้งของเจตสุวีย์และพ่อก็พร้อมใจกันมาร่วมงานแต่งครั้งแรกของพวกเขาเพื่อนของเจตสุวีย์และไอรดาได้มาร่วมด้วยในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว ทุกคนบินมาร่วมงานกันอย่างชื่นมื่น โดยมีครอบครัวสมิธที่มาร่วมงานด้วยยกเว้นพ่อแม่ของแมทธิว ซึ่งพวกเขาแค่กล่าวคำอวยพรให้เท่านั้น มีเพียงอากงและอาม่าจากไต้หวันที่ยังเอ็นดูบินมาร่วมงานตามคำเชิญ“พวกเขาคงไม่พอใจที่แมทธิวจากไปได้แค่หนึ่งปี หนูก็แต่งงานใหม่” ไอรดากล่าวกับเจตสุวีย์ด้วยสีหน้าที่เศร้า“พี่จะพาหนูกับมาร์ตินไปเที่ยวหาพวกเขาบ่อยๆ คนที่พวกเขาไม่ชอบคือพี่ ไม่ใช่หนู”หลังจากปาร์ตี้สละโสด พวกเขาก็พามาร์ตินไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ของแมทธิว ก่อนจะบินไปโมนาโกเพื่อขึ้นเรือสำราญสำหรับฮันนีมูนสามประเทศมี DM เข้ามาที่ไอจีของไอรดาในคืนวันแรกที่อยู่บนเรือ เธ
ธนัชชาและแฟนหนุ่มนั่งกับพื้นประจันหน้ากับเจตสุวีย์ คนหนึ่งหน้าตาวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกคนก็มองหน้าเขาด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ“อยากได้เงินหรือความช่วยเหลืออะไรมั้ย? นัชชาให้คุณเท่าไหร่? ผมให้ได้มากกว่านะ ออกคุกมาคุณก็มีเงินใช้สบายๆ ขอแค่ยอมพูดความจริง”เจตสุวีย์ชอบใช้เงินจบปัญหา นี่คือสไตล์ของเขาเวลาต้องการความรวดเร็วและสะดวก“หนูจะแจ้งความกลับ ที่กักขังหน่วงเหนี่ยว ติดสินบนให้คนอื่นใส่ร้ายหนู”“ไม่ต้องห่วง เพราะจบจากการสนทนาอันน่ารังเกียจกับคุณ ผมจะส่งคุณให้ตำรวจพอดี เชิญแจ้งได้เท่าที่พอใจ ผมสนใจอย่างเดียวเกี่ยวกับคุณ..คือเรื่องแม่ ถ้าท่านรู้ว่าคุณใช้เงินของผมมาทำร้ายผม รู้ว่าลูกสาวคนเดียวจะต้องเข้าคุก ท่านจะเสียใจแค่ไหน”พอพูดถึงแม่ของเธอ ธนัชชาออกอาการทันที ป่านนี้แม่คงจะเป็นห่วงและตามหาเธอ ทั้งที่เธออยู่แค่ตรงกันข้ามในบ้านหลังนี้เท่านั้น แฟนของธนัชชาจึงรีบพูดขอความเห็นใจ “ตอนนี้พวกคุณก็ปลอดภัยดี ให้อภัยพวกเราได้มั้ยครับ ผมกับนัชชาจะไม่ทำผิดแบบนี้อีก” พูดจบก็ยกมือไหว้เจตสุวีย์ ธนัชชาที่ได้ยินแบบนั้นก็หันไปถลึงตาใส่ทันที “ผมรอดมาก็จริง แต่คนที่พวกคุณเกือบทำให้ตายคือ
ไอรดาที่เสิร์ฟความรักให้สามีเต็มที่ เธอเพลียหลับไปจากการเจออะไรมาทั้งวันและคืนนี้อีกค่อนคืน เจตสุวีย์จึงปล่อยให้ภรรยาพักผ่อน เขาออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเพื่อไม่ให้รบกวนเธอ “พรุ่งนี้ออกมาตอนเช้านะ จะได้มาถึงนี่สักเที่ยง แล้วจะส่งพิกัดให้”เขาติดต่อกับกลุ่มที่จับตัวธนัชชาและแฟนหนุ่ม สั่งให้ขังไว้ในห้อง โดยไม่ต้องมัดหรือบังคับทำร้ายพวกเขา เช้าวันต่อมาตำรวจได้แจ้งว่าพบเบาะแสจากร้านขายโทรศัพท์มือถือที่หนองคายว่ามีคนนำโทรศัพท์มาขายให้โดยน่าจะขโมยมาเพราะไม่สามารถปลดล็อกหน้าจอได้จำนวนสองเครื่อง จึงไม่รับซื้อแต่ได้ภาพหน้าตาของผู้ต้องหาจากกล้องวงจรปิดในร้านแทน หนึ่งในสี่ผู้ต้องหาที่ลูกน้องของเจตสุวีย์จับได้ถูกส่งตัวให้ตำรวจ ได้ให้ปากคำว่ารับจ้างงานมาจากผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นิรมล พอตำรวจเช็กจากเบอร์โทรศัพท์ก็ปรากฏว่าลงทะเบียนเป็นชื่อแฟนเก่าของธนัชชา เจตสุวีย์กลับถึงบ้านพร้อมไอรดา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปที่บ้านพ่อแม่ของเขา ก็เจอทุกคนอยู่พร้อมหน้า ไอรดารีบเข้าไปกอดลูกชายที่จูนอุ้มอยู่ ส่วนมาดามจันจิราที่น้ำตาซึมก็รีบเข้าไปกอดลูกชาย“ปลอดภัยนะอาย ทุกคนพากันกังวลไม่ได้หลับไม่นอนที่เธอกับพี่
“นายครับ ผมจะเข้าไปก่อนนะ นายตามผมไปเอานายหญิงมา รีบหนีไปก่อนแล้วค่อยเจอกันทีหลัง ผมจะคุ้มกันให้ ตำรวจกำลังมาทางนี้แล้ว แต่เราไม่มีเวลาพอ”“อีกสองคนอยู่ในนั้นน่าจะมีปืน ต้องอย่าให้มันจับไอรดาไปเป็นตัวประกันได้ เราจะลำบาก”“คุณโจ…คุณสิทธิศักดิ์ชุบเลี้ยงผมมา ท่านขอให้ดูแลคุณ ผมจะทำสุดความสามารถ ยังไงลูกเมียผมก็จะไม่ลำบาก”“ไม่..”เจตสุวีย์พูดได้เท่านั้น ลูกน้องเขาเดินย่องและเล็งปืนอย่างระมัดระวัง พลางยิงขู่ อีกมือก็ทำสัญญาณให้ไอรดาที่ค่อยๆคลานมาลุกวิ่ง เขากระหน่ำยิงขู่ไปสามสี่นัดเพื่อซื้อเวลาให้เจตสุวีย์เข้าไปหาเธอแล้วจับมือดึงให้ลุกขึ้นวิ่ง จนรถกระบะมีรอยพรุนของกระสุนที่หมดลง รถอาวดี้ที่ติดหล่มในนาไปแล้ว ทำให้เจตสุวีย์ที่มือถือปืนข้างหนึ่งและจูงเธอวิ่งหลบไปด้านหลังรถเพื่อใช้เป็นที่กำบังในตอนที่หนี มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด “ที่รัก วิ่งนะ อย่าหยุด”ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว พวกเขาวิ่งสลับกับเดินผ่านต้นไม้ทึบๆ จนแน่ใจว่าพ้นอันตรายแล้วจึงให้เธอนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเจตสุวีย์ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเธอ เสื้อเชิ้ตขาวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อและเปื้อนดินนิดหน่อย กระดุมที่หลุดลุ่ยเผยให้เห็
ขณะที่เจตสุวีย์กำลังยืนอยู่นอกรถที่ปั๊มน้ำมัน ตอนนี้ลูกน้องอยู่กับเขาสามคน เขาจึงสั่งให้หนึ่งคน ขับรถของไอรดากลับบ้านและคอยดูแลป้ารินและมาร์ติน “นายครับๆ พวกเราทุกคนพก GPS ขนาดเล็กติดตัวเสมอ เราเช็กจากเขาดูว่าอยู่ที่ไหนได้นี่ครับ ตอนนายให้พวกเราพกไว้ทุกคนนายมีข้อมูลเข้าถึง GPS ของพวกเราทุกคนได้นะ”เจตสุวีย์ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขามัวจะคลุ้มคลั่งที่ภรรยาหายจนลืมคิดไป เมื่อเขาเปิดแอปพลิเคชันในโทรศัพท์ขึ้นมาก็ตาวาวทันที จึงรีบโทรบอกพ่อของเขาว่า GPS ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเคลื่อนไปในความเร็วที่รู้ได้ทันทีว่ายังอยู่ในรถ เขาดื่มเกลือแร่ที่ซื้อจากในร้านสะดวกซื้อแล้วรีบขับรถออกตามไปทันที “โทรไปเบอร์พ่อผมให้หน่อย บอกว่าเราอยู่เส้นทางไหน”ขับรถไล่ตามกันไปอยู่สองชั่วโมงครึ่ง สัญญาณนั้นขับผ่านอุทยานเขาใหญ่ แล้วจอดที่ร้านอาหารหนึ่งไม่ไกลจากโรงไฟฟ้าลำตะคลอง ส่วนเจตสุวีย์ที่ขับรถเร็วเพราะใจเขาอยากตามไปให้ใกล้ที่สุด ซึ่งตอนนี้เขาขับผ่านโรงพยาบาลแก่งคอยแล้ว ห่างจากสัญญาณไปอีกแค่ 74 กม.“นายครับ พวกมันหยุดพักแต่อยู่บนทางหลัก ผมส่งข้อความถึงคุณสิทธิศักดิ์แล้ว”จูนที่โทรมาว่าไม่เจอ User และ Password ที่จะ