‘เรือนช่อบุปผา’ เป็นเรือนพักและสถานที่รับแขกสำหรับดาวเด่นของหอวสันต์สีชาด เมื่อก่อนมีเพียงนางผู้เดียวที่พักอยู่เรือนนี้ แต่นานวันเมื่อนางไม่ยอมพลีกายรับแขกเสียที แม่เล้าจึงได้แต่ยกยอคณิกานางอื่นที่หน้าตางดงามยั่วยวน จนทำให้หอนางโลมมีดาวเด่นที่พักอยู่ในเรือนช่อบุปผาถึงสามนางในตอนนี้
มู่ชิงตานก้าวขาออกไปรอยังโถงของเรือนช่อบุปผา ฉูหนิวตระเตรียมสถานที่ไว้อย่างเรียบร้อย กู่เจิงถูกวางไว้บนโต๊ะยาวเพื่อสำหรับให้นางบรรเลงดนตรี
ขณะนี้แขกเหรื่อที่เป็นบุรุษยศใหญ่จากเมืองหลวงทยอยเข้ามามากมาย รวมแล้วสิบกว่าคนได้ แค่เห็นจำนวนคน ฉูหนิวก็ถอนหายใจเหนื่อยแทนนายหญิงของนางแล้ว
“นั่นแม่นางชิงตาน ดาวเด่นอันดับหนึ่งของหอวสันต์สีชาด” ใต้เท้าผู้หนึ่งเอ่ยกับบุรุษรอบข้างเขา
สายตาทั้งหมดล้วนตกมาอยู่ที่สตรีร่างงามนางนี้ ก่อนจะมีเสียงกระซิบกระซาบตามมาอีกระลอก
“งามนัก...”
มู่ชิงตานไม่ได้สนใจ สองเท้าเล็กเรียวก้าวขึ้นไปนั่งบนผ้าที่ยัดนุ่นไว้อย่างช้าๆ ก่อนจะยกสองมือขาวนวลเริ่มบรรเลงบนสายกู่เจิงแผ่วเบา เสียงดนตรีอันไพเราะดังขึ้นมากึกก้องทั่วทั้งห้องโถงของเรือน
สาวงามดาวเด่นอีกสองนาง ย่างเข้ามาช้าๆ พร้อมกับร่ายรำอ่อนโยนราวผีเสื้อสองตัวกำลังโผบินสวนกันไปมา ทำให้ผู้พบเห็นเป็นภาพที่งดงามยากจะลืมเลือน
“สองนางนี้เป็นดาวเด่นที่เพิ่งได้เข้าเรือนบุปผาไม่นานมานี้เจ้าค่ะ นางทั้งสองคนถูกบุรุษเลือกและชื่นชมรองมาจากมู่ชิงตาน นามว่า หมิงสุ่ย กับ หวางฮุ่ย” แม่เล้าม่อหรันเอ่ยบอกแก่ใต้เท้าทั้งหลาย
‘อัครเสนาบดีเมิ่ง’ เป็นคนใหญ่คนโตในวังหลวง จึงนั่งอยู่โต๊ะตัวหน้า ใกล้กับมู่ชิงตานที่สุด แต่เขาประเมินระยะแล้วแม้จะพูดสิ่งใดนางไม่มีทางได้ยินแน่
“ที่ข้ามาพบพวกท่านครานี้เพียงแต่จะมาหารือกันเท่านั้น” อัครเสนาบดีเมิ่งเอ่ยขึ้นหลังแม่เล้าเดินออกไปแล้ว “ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์เราจะรอช้าไม่ได้”
แคว้นฝูหยวนยามนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงยศศักดิ์ครั้งใหญ่ อดีตองค์ฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่มีกบฏในรั้ววังหลวง เหล่าพี่น้องต่างรักใคร่ปรองดอง
องค์ฮ่องเต้ประทานยศศักดิ์ให้แก่องค์ชายทุกพระองค์ องค์ชายใหญ่ฝูอี้เจิ้ง ได้รับพระราชทานนามเป็น จิ้นอ๋อง องค์ชายรองฝูอี้เฮยจิ่น แต่งตั้งเป็น อู๋อ๋อง องค์ชายสามฝูอี้หรงจวิ้น ได้รับพระราชทานยศศักดิ์ใหญ่หลวง ฮ่องเต้เลื่อนขั้นให้ครองยศเป็น ชินอ๋อง องค์ชายสี่ฝูอี้ไจ่เยี่ย ได้รับพระราชทานเป็น เยวี่ยอ๋อง และองค์ชายห้าฝูอี้หย่ง ได้รับศักดิ์เป็น ซ่งอ๋อง
“นายท่านใหญ่ หากเราลงมือยามนี้มันจะโจ่งแจ้งเกินไป เราไม่ได้มีกำลังหนุนพอด้วยซ้ำที่จะไป เอ่อ...กบฏ” ใต้เท้าท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปแจ้งแก่ ‘นายท่านใหญ่’ หรือ อัครเสนาบดีเมิ่ง
“ยามนั้นแคว้นซูวางยาพิษอดีตฮ่องเต้ แทนที่พวกเจ้าจะรีบลงมือแต่กลับไม่ได้เรื่อง!” อัครเสนาบดีเมิ่งเอ่ยอย่างโมโห “หนำซ้ำฮ่องเต้องค์ใหม่นี้จะระแวงข้ากว่าตาแก่นั่นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
อัครเสนบาดีผู้นี้เดิมทีเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่แล้ว แม้จะได้ยศศักดิ์ใหญ่โต แต่เขากลับไม่พอใจ อยากจะไต่ขึ้นไปเหนือปวงชน
เขาปรารถนาจะเป็นผู้ครองแคว้น!
“นายท่านใหญ่ ท่านก็รู้ว่าเหล่าท่านอ๋องกับองค์ฮ่องเต้ไม่มีผู้ใดแตกหักกันเลยสักนิด มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราที่จะดึงฝั่งใดฝั่งหนึ่งมาเป็นพวก กำลังเราก็สู้พวกเขาไม่ได้” บุรุษอีกคนหนึ่งเอ่ย
“ยามนั้นที่ท่านส่งเสริมแคว้นซูเพื่อวางยาพิษอดีตฮ่องเต้อยู่เบื้องหลัง แม้พวกท่านอ๋องจะสืบความมาถึงท่านไม่ได้ แต่พวกเราก็ยังไม่ควรประมาทในตอนนี้นะนายท่านใหญ่” ใต้เท้าอีกคนหนึ่งเอ่ยเตือนสติ
“รอไม่ได้แล้ว! ข้าจัดหาทหารฝีมือดีไว้หนึ่งแสนนาย ยามนี้ฝึกอยู่ห้องลับใต้ดินของจวนข้า ข้าจะรีบยกกำลังไปฆ่าเจ้าฮ่องเต้หนุ่มหน้าอ่อนผู้นั้นซะ! แล้วทั้งแคว้นก็จะต้องตกเป็นของข้า!”
อัครเสนาบดีเอ่ยด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด ยามลูกน้องใต้บังคับบัญชาได้ยินก็ขนลุกมองกันเป็นแถบ จนแทบจะลืมว่ามีผีเสื้อสองตัวด้านหน้ากำลังบินเริงระบำยั่วยวนพวกเขาอยู่ แค่ไม่กี่เดือนเขาถึงกับหาทาสที่ร่างกายแข็งแรงมาฝึกฝนได้มากถึงหนึ่งแสนคน!
เมื่อพวกเขาชุมนุมหารือกันเสร็จแล้ว มู่ชิงตานจึงต้องขอตัวเพราะนางใช้แรงไปมาก ร่างกายจึงอ่อนแอเป็นธรรมดา
“แม่นางชิงตาน” ฉูหนิวรีบมาประคองนางเข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน
“ข้ากังวลนัก ไม่รู้ว่าเมื่อครู่พวกเขาได้เอ่ยถึงดาบหลอมพิษของข้าบ้างหรือไม่ ข้าไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเลย...” หน้าตานางในยามนี้เหนื่อยล้าเต็มทน ฉูหนิวเห็นก็ปวดใจอยู่ข้างๆ
“อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ข้าดูแล้ว หน้าตาพวกเขาดูเครียดคล้ายกำลังวางแผนใหญ่มากๆ แต่ว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับดาบที่พวกเราไปประมูลมากันเลยนะเจ้าคะ” ฉูหนิวเอ่ยขึ้น นางย่อมรู้ทุกอย่าง ไม่ว่ามู่ชิงตานจะทำอะไรหรือจะไปที่ใด
“อาหนิวดีต่อข้านัก หากว่าวันใดวันหนึ่งข้าจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้ เจ้ายินดีติดตามข้าไปหรือไม่” สาวงามเงยหน้าถามด้วยดวงตาคาดหวัง
“แม่นาง... อาหนิวโขกหัวสัญญากับแม่เล้าม่อไปแล้วว่ายินดีอยู่รับใช้ตลอดไป อีกทั้งสัญญาขายตัวของอาหนิวก็อยู่ที่นาง”
“เจ้าใสซื่อเสียจริง...” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา นางล้มตัวลงนอนช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง
“หากอาหนิวออกไปได้ อาหนิวก็อยากติดตามท่านไป ไม่อยากเรียกท่านว่าแม่นางชิงตานอีกแล้ว หากอาหนิวออกไปได้
อาหนิวจะเรียกท่านว่าคุณหนูของข้าดีหรือไม่เจ้าคะ”สาวใช้ตัวน้อยน้ำตาตกยืนพูดพึมพำกับสตรีข้างเตียงที่ยามนี้หลับลึกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้ยินเสียงเรียกร้องในใจของนาง...
เมื่อทั้งสองมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของโม่จือตาน หญิงสาวก็ตรงดิ่งไปทางห้องนอนเล็กของเด็กน้อยทั้งสอง ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบลอดออกมาแทน“พี่อีเหริน พี่ว่าวันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับมาหรือยัง” เด็กชายถามผู้เป็นพี่สาวที่อยู่เตียงข้างๆ“พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่านแม่สัญญาแล้วว่าจะพาท่านพ่อกลับมา เจ้าก็นอนได้แล้ว”โม่จือตานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กพวกนี้ยังไม่ได้หลับเลยนี่นา!“ยังไม่อยากนอนเลย เอ้อร์หลานกลัวว่าจะพลาดตอนที่ท่านแม่กับท่านพ่อกลับมาแล้ว แต่ตัวเอ้อร์หลานยังหลับอยู่บนที่นอน”หญิงสาวกุมขมับแน่น ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกจากลำคอ “ถ้าพวกเจ้ายังไม่หลับ แม่จะออกไปเที่ยวกับพ่ออีกครั้งแล้วนะ”“ท่านแม่!!” เด็กน้อยสองคนวิ่งออกมาจากนอกห้อง จากนั้นก็พบร่างสูงอีกร่างที่เคียงคู่กัน “ท่านพ่อ!!”ร่างเล็กกระโดดขึ้นกอดซวี่รุ่ยเข่อแน่น น้ำตาของเด็กน้อยไหลออกมาพร้อมความทรงจำต่างๆ นาๆ ที่พรั่งพรูออกมายามเจอผู้เป็นบิดาครั้งแรก‘นายท่าน... ข้าน้อยและน้องชายยินดีรับใช้ท่าน ที่ซื้อตัวข้าทั้งสอง แต่ได้โปรดซื้อโลงศพให้บิดาข้าน้อยแล้วทำพิธีให้ด้วยเจ้าค่ะ’ เด็กสาวก้มหน้าแนบลงพื้นดินใกล้เท้าชายหนุ่มร่า
“ชิงเอ๋อร์ อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าทำเพื่ออยากตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อตา แต่กลัวเจ้าจะเป็นห่วงเช่นนี้...เลยไม่ได้บอก” ชายหนุ่มอธิบายไปด้วยกอดเอวนางพร้อมกับซุกหน้าที่ซอกคอนางไปด้วย“แล้วเป็นเช่นไร สุดท้ายเสี่ยวชิงก็ต้องมาตามหาท่าน”“อืม...กลายเป็นว่าคนที่ข้าติดหนี้ชีวิต จะเป็นภรรยาตัวแสบของข้า” จากนั้นก็ก้มหน้าหอมนางหนึ่งฟอดโดยไม่อายผู้ใด“นี่! ไม่อายผู้อื่นเลย” โม่จือตานทั้งตวาดทั้งเขินอาย ตำหนิชายหนุ่มที่ส่งมอบความรักให้โดยไม่เลือกสถานที่ชนเผ่าทะเลทรายแสร้งทำเป็นไม่มองทำงานของตัวเองเดินผ่านพวกเขาทั้งคู่ไป...หลังจากทั้งคู่ทานอาหารที่ชนเผ่าสาวยกมาให้ เลยตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่นี่อีกหนึ่งราตรีก่อนจะกลับสำนัก“เสี่ยวชิง...ที่นี่ก็ได้บรรยากาศดีนะ”ไม่ผิดจากที่ซวี่รุ่ยเข่อคาดไว้ ทันทีที่โม่จือตานได้ยินเขาพูดเช่นนี้ออกมา ก็ปรากฏดวงหน้าสีชมพูระเรื่อขึ้นมาเห็นแล้วราวกับผลไม้ที่กำลังสุกงอมได้ที่“เสี่ยวชิง คืนนี้นะ” จากนั้นหญิงสาวก็วิ่งหายออกไปไม่รอให้เขากล่าวคำพูดแทะโลมใดๆ อีกเมื่อยามโพล้เพล้มาถึง พระอาทิตย์ตกลงเส้นขอบของทะเลทราย เห็นเป็นภาพงดงามที่ยากจะลืมเลือน“สวยมากเลยนะเจ้าคะ” โม่จือตานที่ได้
15ร่างเพรียวบางของสตรีโฉบลงมาเหยียบระหว่างกึ่งกลางของพื้นดินและพื้นทราย ก่อนจะตัดสินใจสะบัดย่ามไปข้างหลังแล้วก้าวเข้าไปในเขตที่ร้อนระอุระหว่างทางก็ยังพบคนชนเผ่าสัญจรไปมาสม่ำเสมอ นางก็กล่าวทักทายไปตามมารยาทเช่นกัน โม่จือตานปาดเหงื่อบนหน้าผากออกเพราะความร้อน“แม่นางมีเรื่องอะไรต้องเดินทางมาถึงทะเลทราย หรือว่าหลงทางกัน” สตรีชนเผ่านางหนึ่งเอ่ยถามนางขึ้นขณะที่ยังยกโอ่งน้ำไว้บนหัวโม่จือตานราวกับได้เปิดหูเปิดตามองสตรีที่ขนน้ำเข้ามาในทะเลทรายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เปล่าหรอก ข้าแค่มาหาคน ว่าแต่...เจ้าไม่หนักหรือ” ว่าแล้วก็ชี้ขึ้นไปบนหัว“ไม่หรอก มันเป็นเรื่องปกติของเผ่าเรา ต้องเปลี่ยนกันไปหาน้ำ ล่าสัตว์เพื่อมาเลี้ยงคนในเผ่าน่ะ” นางอธิบายยาวเหยียด “ถ้าแม่นางไม่ได้หลง ข้าก็ขอตัวก่อน ขอให้ท่านโชคดีเจอคนที่กำลังตามหานะ”โม่จือตานยินดีรับคำอวยพรที่หญิงชนเผ่านางนั้นให้ ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปลึกกว่าเดิมเวลาล่วงเลยมานานจนถึงเวลาค่ำ เสียงจันทร์กระจ่างส่องกระทบร่างเล็กที่ยังไม่หยุดพัก แม้เจ้าสำนักจะเคยบอกนางแล้วว่าทะเลทรายตอนราตรีนั้นน่ากลัวมาก ให้หยุดพักแล้วกางกระโจมก่อน แต่นางไม่รู้ว่ายามนี้ซวี่รุ่ยเข่
โม่จือตาน และ ‘ซวี่รุ่ยเข่อ’ เดินมาทางโต๊ะอาหารพร้อมกัน นางเองก็ช่วยประคองร่างเขาอย่างดี โม่อู๋หลินที่เพิ่งมาถึงก็มองมาทั้งคู่ด้วยสายตาเหนื่อยล้า“ทำไมยังไม่กินกันล่ะเจ้าค่ะ เสี่ยวชิงว่าพี่เข่อกับท่านอาเล็กคงจะเหนื่อยน่าดู รีบยกอาหารมาให้ทั้งคู่เถอะเจ้าค่ะ” โม่จือตานให้เขานั่งลงใกล้นาง ก่อนจะรินน้ำให้เป็นอันดับแรก “พี่เข่อ...น้ำเจ้าค่ะ”“อืม...ขอบ... แค่ก!” ยังไม่ทันพูดอาการไอก็กำเริบขึ้นมาอีก“แค่ไปทำภารกิจแค่นี้ถึงขั้นไม่สบายกลับมาเชียวหรือเจ้าคะ พี่เข่อนี่เหตุใดไม่รักตัวเองเสียเลย” นางกล่าวเสร็จก็ช่วยทุบหลังให้เช่นเดิม“ท่านแม่ๆ ท่านพ่อเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ไอจนหน้าแดงหมดแล้ว” ซวี่อีเหรินถามด้วยความสงสัย“ท่านพ่อของพวกเจ้าคนนี้น่ะ ไม่เป็นอะไร...” หยุดพูดครู่หนึ่ง ก็พูดต่อพพร้อมกับตบบนแผ่นหลังอย่างแรงพร้อมกัน “...หรอก!!”“โอ๊ย!!”โม่จือตานกล่าวเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปโดยไม่หันไปมองผู้ใดอีก จากนั้นฝีเท้าเล็กๆ สองคู่ก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน“ข้าบอกแล้ว ยังไงนางก็จำได้” เสียงบ่นลอดออกมาจากปากของ ‘ซวี่รุ่ยเข่อ’ ที่ใช้มือลูบหลังอันแสบร้อนแม้มันจะไปไม่ถึงทั่วทั้งแผ่นหลัง“เอาน่า ยังมีอีเหร
โม่หวางเป้ยยืนเอามือไพล่หลังมองบนดวงจันทร์ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม พระจันทร์ก็ขึ้นนานแล้วเหตุใดยังไม่เกิดสิ่งใดอีก“ท่านพี่กลุ้มใจเรื่องเสี่ยวเข่อหรือเจ้าคะ” จูซิงอีเดินมาประชิดข้างกายสามี ก่อนจะใช้ผ้าคลุมร่างให้เขา “คืนนี้อากาศหนาวเย็น ท่านอย่าฝืนตัวเองนักเลย”“อืม... เจ้าบุตรเขยของข้านั้นน่าเป็นห่วง ไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไร ข้าส่งจดหมายไปให้เขาด้วยเหยี่ยวของสำนัก แต่ดูเหมือนว่าจะไปไม่ถึง”ที่เหยี่ยวบินเข้าไปไม่ถึง เป็นไปได้ว่าทะเลทรายที่ซวี่รุ่ยเข่อเดินทางเข้าไปคงลึกมากเป็นแน่“ท่านพี่ เดิมทีข้าก็คิดว่าเขาเก่งกาจและไม่น่าเป็นห่วง แต่เสี่ยวเข่อเล่นหายไปโดยไร้ร่องรอยตอบกลับเช่นนี้ข้าก็เป็นห่วงเขาขึ้นมาจริงๆ” ภรรยาของเจ้าสำนักถอนหายใจอยู่ด้านข้าง “ข้ารู้สึกผิดต่อเสี่ยวชิงเหลือเกิน”ยามที่ได้ยินภรรยาตัดพ้อเช่นนี้เขาก็ถูกกระแสบางอย่างเข้ามาในหัวจังๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนผิดที่สั่งบุตรเขยไปสถานที่อันตรายเช่นนั้น “ข้าสิต้องรู้สึกผิดต่อลูก น้องหญิง...ไม่ใช่เจ้า เป็นข้าเอง ข้าส่งจดหมายไปหลายครั้งว่าถ้าเขาเหนื่อยก็ให้กลับมา แล้วหาวิธีอื่น แต่ยามนั้นข้าเป็นห่วงอาหลินจนลืมคิดวิธีสำรอง คิดว่าต้องหาพื
หลังจากที่ทั้งสามแวะทักทายติงเจี่ยและสวี่เซวียเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น โม่จือตานก็พาเด็กทั้งคู่แวะไหว้พระที่นอกประตูสำนักพร้อมกับบอกลูกๆ ว่าให้ขอพรเพื่อซวี่รุ่ยเข่อจะได้ทำภารกิจสำเร็จจนปลอดภัยหลับมา“ท่านแม่ขอรับ ถ้าเอ้อร์หลานปักธูปไปในกระถาง ท่านเทพจะได้ยินคำอวยพรแล้วไปช่วยท่านพ่อใช่หรือไม่ขอรับ” เด็กชายขอพรเสร็จก็เข้ามาประจบโม่จือตานทันทีนางมองซวี่เอ้อร์หลานด้วยแววตาอ่อนโยน มือบางก็ยกขึ้นลูบหัวไปมา “อืม ลูกเก่งมาก ตัวแค่นี้ก็ปักธูปด้วยตัวเองได้แล้ว”ซวี่อีเหรินจึงรีบปักธูปลงไปบ้างก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดนาง “ท่านแม่ อีเหรินก็ปักธูปให้ท่านเทพไปช่วยท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ”“อีเหรินตัวน้อยของแม่ก็เก่งมากเหมือนกัน” โม่จือตานหัวเราะให้กับนิสัยประจบประแจงของทั้งคู่ ถึงปากเล็กจะพร่ำบอกเช่นนั้นแต่มือของนางก็กอดเด็กสาวเข้ามาใกล้ชิดนางมากขึ้นเช่นกันอีกด้านหนึ่งนั้นซวี่รุ่ยเข่อตื่นขึ้นมากลางทะเลทรายในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฝูหยวน เนื่องจากตัวเขามีวิชาตัวเบาที่ดีเลิศ การมาถึงที่นี่ในเวลาหนึ่งวันย่อมเป็นไปได้ แต่...นี่ก็จะปาเข้าอาทิตย์ที่สองแล้ว เขารอมาทุกราตรีกลับไม่มีทีท่าว่าดวงจันทร์จะเกิดปรากฏก