ณ เรือนโอสถ ตำหนักชิงอวิ๋นที่เงียบสงบ กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลไปทั่วจากลานตากสมุนไพรด้านหลัง ไป๋ลี่เยว่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง คำนวณบัญชีรายรับรายจ่ายของตำหนักอย่างตั้งใจขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ก่อนที่หงเหมยจะเดินเข้ามาพร้อมกับซุนเต๋อ คนดูแลร้านขายยาของไป๋ลี่เยว่ ทั้งสองถือกระดาษแผ่นหนึ่งเข้ามาในมือ “คุณหนู นี่เป็นรายการสั่งยาจากร้านหมอหลิวเจ้าค่ะ” หงเหมยกล่าว พลางยื่นกระดาษให้ ไป๋ลี่เยว่รับมาดูอย่างตั้งใจ ดวงตาคู่งามกวาดมองรายการสมุนไพรที่ถูกสั่งซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโสมป่า ชุนเถิง เปลือกอบเชย และรากชิงฮ่าว ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ตำหนักมีอยู่แล้ว “ดูเหมือนร้านหมอหลิวจะสั่งมากขึ้นเรื่อยๆ สินะ” นางกล่าวอย่างครุ่นคิด ซุนเต๋อซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านขายยาของนางยิ้มพลางลูบเครา “ขอรับคุณหนู ตั้งแต่เราส่งสมุนไพรให้ร้านหมอหลิว รายได้ก็ดีขึ้นมาก ส่วนร้านสมุนไพรที่ข้าเองดูแลอยู่ บัดนี้ลูกค้าประจำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และนี่เป็นรายการสมุนไพรที่ร้านของเราต้องการเพิ่มเติมขอรับ” ไป๋ลี่เยว่พยักหน้าอย่างพอใจ ตั้งแต่สามปีก่อน จากที่ปลุกสมุนไพรส่งขายอย่างเดียว นางตัดสินใจเปิดร้านขาย
ห้าปีต่อมาแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมายังเรือนพักกลางสวนสมุนไพร กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนทำให้บรรยากาศสดชื่น เงาร่างของสตรีนางหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างสง่างามภายใต้ร่มไม้ อาภรณ์เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนโบกสะบัดเบาๆ ตามสายลมผมยาวดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจดราวกับภาพวาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตมีประกายอ่อนโยน หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนความเฉียบคมและความเข้มแข็งไว้ไป๋ลี่เยว่ สตรีที่เคยถูกทอดทิ้งในตำหนักเย็น สตรีที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงพระชายาผู้ไร้ค่าและอัปลักษณ์แต่ในวันนี้ ไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอและถูกทอดทิ้งอีกต่อไป นางคือหญิงงามที่ไม่อาจมีผู้ใดมองข้ามได้อีกต่อไป ทุกวันนี้ นางมีชีวิตใหม่ที่สงบสุข กับลูกชายตัวน้อยผู้เป็นดั่งดวงใจแม้ตำหนักเย็นที่เคยเป็นเพียงสถานที่รกร้าง ตอนนี้ได้รับการบูรณะใหม่จนกลายเป็นตำหนักที่กว้างขวางโอ่อ่า เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา สวนผักและสมุนไพรที่ไป๋ลี่เยว่ปลูกเติบโตงอกงาม นางก็ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม มีรายได้จากการขายสมุนไพรและยาที่ทำขึ้นเอง ผ่านร้านยาที่ไว้ใจได้ในเมือง“ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ ข้าปลูกต้นชุนเถิงได้แล้วนะ”เสียงใสของเด็กชาย
อีกฟากฝั่งตะวันตกของแคว้น สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟ้าร้องครืนครางกึกก้องไปทั่วท้องนภา ปลุกให้ค่ายทหารที่ชายแดนตกอยู่ในความมืดครึ้ม สายลมกระโชกแรงพัดเอาผืนผ้าเต็นท์ไหวสะบัด แต่ภายในกระโจมบัญชาการยังคงมีแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ส่องริบหรี่ องค์ชายหลงเจิ้งหยางประทับนั่งอยู่ภายใน เกือบปีที่เขาอาสามาอยู่ที่นี่ วันนี้อยู่ๆ ฝนก็ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตกมาก่อน องค์ชายสามยกถ้วยสุราขึ้นจิบ ก่อนถอนหายใจกับเสียงพายุที่โหมกระหน่ำด้านนอก “คืนนี้แม้แต่สวรรค์ยังเดือดดาล” หลงเจิ้งหยางพึมพำ พลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ มองสายฝนข้างนอก ดวงตาปิดลงช้าๆ จากความเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว สายฝนยังคงโปรยปราย หลงเจิ้งหยางยืนอยู่กลางลานหินกว้างที่ไม่คุ้นเคย เม็ดฝนตกกระทบไหล่ แต่กลับไม่รู้สึกเปียกชื้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลงเจิ้งหยางหันขวับไปทันที ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อพบเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายร่างเล็กในชุดสีขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยง หน้าตาน่าเอ็นดู ดวงตาแววฉลาดเฉลียว เขามองไปรอบกายก็ไม่พบใครนอกจากเขาและเด็กน้อยผู้นี้ “ท่านพ่อ” ชัดเจนเด็กน้อยคนนี้เร
ฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ“อ๊าาาา”ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อยมือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงรา
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ” ฮองเฮาทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาสิ”ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างกล้าหาญ“ขอพระองค์ ได้โปรดเมตตา อย่าได้บอกใครเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้หรือไม่เพคะ”บรรยากาศภายในตำหนักเย็นเงียบงันในทันที เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนนางกำนัลของฮองเฮาก็หันมองกันด้วยความงุนงง ไป๋ลี่เยว่ยังคงเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ฮองเฮาทรงมองนางนิ่ง พระขนงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจไป๋ลี่เยว่พยักหน้า นางกำมือแน่นเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ “เพคะ”“เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ทายาทในครรภ์ของเจ้าก็คือเชื้อพระวงศ์ของต้าเฉิง” ฮองเฮาตรัสชัดถ้อยชัดคำ “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิ์ของพระชายาสามเต็มที่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการปิดบัง”ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึกเข้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“หม่อมฉัน ไม่ต้องการพึ่
“คุณหนูเจ้าคะ ฮองเฮาทรงเสด็จมาที่ตำหนักเย็น”ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเด็กอยู่ ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหงเหมยที่รีบร้อนเข้ามารายงาน สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือด แววตาตื่นตระหนกนางเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินฮองเฮา พระนางเสด็จมาทำไมหัวใจของนางเต้นแรง มือเผลอบีบชายเสื้อแน่น ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วเดินออกไปต้อนรับผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวงฮองเฮาในฉลองพระองค์ด้วยแพรไหมสีแดงเข้ม พระพักตร์ยังคงสง่างามแฝงด้วยอำนาจ ดวงเนตรคมกริบของพระนางจับจ้องไปยังสตรีตรงหน้า ไป๋ลี่เยว่ที่เดินเข้ามาต้อนรับกับท้องที่ใหญ่ขึ้นของนาง ฮองเฮาเบิกพระเนตรกว้างทันทีที่เห็นรูปร่างของไท่จื่อเฟย“เจ้า เจ้าตั้งครรภ์”น้ำเสียงของพระนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้พระนางจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ในชั่วขณะนั้นกลับทรงลืมรักษาท่าทีอันสง่างามไปชั่วครู่ไป๋ลี่เยว่หยุดชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางสงบ“เพคะ”ไป๋ลี่เยว่ย่อตัวลงอย่างสำรวม เพื่อทำความเคารพ แม้ใจนางจะเต้นรั