“…ใคร” ซูเหวินเงยหน้าช้า ๆ “หนึ่งในนักฆ่ากลุ่มกระบี่ม่วง พ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด “พวกมัน…ยังไม่ตายหมดอย่างนั้นหรือ” เขาพึมพำกับตัวเอง คิ้วเข้มขมวดแน่น “มันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีกำลังคนจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์รายงานอย่างเร่งร้อน “สายที่หอเมฆหม่นรายงานว่า มีการส่งของบางอย่าง เป็นหีบดำขนาดเล็ก พร้อมจดหมายลับ กระหม่อมสันนิษฐานว่า...น่าจะเป็นการว่าจ้างบางอย่างที่ส่อเค้าเป็นภัยอย่างยิ่งอีกพ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางหรี่ตาลงช้า ๆ ดวงตาคมวาวราวพญาเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อในระยะประชิด สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่อากัปกิริยากลับแฝงไปด้วยแรงกล้าของพายุที่พร้อมโหมกระหน่ำ “สั่งให้คนของเราจับตาทุกฝีก้าว อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว อย่าเพิ่งลงมือ…สืบให้ได้ว่ามีแผนอันใดอีก ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันเดินเกมในเงามืดลับหลังเราได้อีกเป็นครั้งที่สอง” “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “…เจ้าช่างไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ เสนาบดีหลี่…” หลงเจิ้งหยางยืนนิ่ง ริมฝีปากขยับพึมพำแผ่วเบาราวเสียงลมพัด ตอนแรกคล้ายคำชม แต่กลับตามมาด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนจะตาหรี่ลงอีกครั้ง พลางเสียงคำสั่งเย็นชา
“เขาไม่ควรใช้มันแล้ว...” เสียงพึมพำแผ่วเบาราวสายลมหลุดจากริมฝีปากไป๋ลี่เยว่ นางชะงักมือลงขณะกำลังจะหยิบสมุนไพรอีกกำมือใส่ลงหม้อต้มยา กลิ่นสมุนไพรหอมอบอวลลอยขึ้นทั่วห้องยามน้ำเดือดปุด ๆ ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นใบซานเจียวเซินที่ยังวางอยู่ในถาด มือเรียวสั่นเล็กน้อย ราวกับลังเล… สมุนไพรนี้ แม้จะช่วยฟื้นกำลังสำหรับผู้ที่ยังอ่อนแรง...ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่เหตุใดมันกลับใช้ไม่ได้ผลกับคนที่นอนเจ็บอยู่ในตำหนัก องค์ชายสาม...เขามิได้มีทีท่าว่าอาการจะหนักถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดยังเอาแต่นอนนิ่งเช่นผู้ไร้เรี่ยวแรง นางดับไฟ มือบางยกหม้อยาสมุนไพรเมื่อเดือดได้ที่แล้วลง ก่อนจะเทรินยาใส่ถ้วยอย่างเรียบร้อย เบนสายตาไปทางห้องบรรทมที่พระสวามีของนางนอนพักอยู่ แล้วเดินเนิบช้าสู่ห้องบรรทมที่สองพ่อลูกดูแลกันอยู่ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านบางภายในห้องบรรทม หลงเจิ้งหยางนั่งพิงหัวเตียงในอาภรณ์ผ้าแพรสีอ่อน มือหนึ่งถือกระดาษที่หลงจิ่นอวิ๋นวาดเล่น อีกมือวางนิ่งบนตัก แม้ใบหน้าซีดเซียว แต่แววตาฉายประกายอ่อนโยนขณะมองภาพครอบครัวที่โอรสน้อยกำลังวาด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ยามาแล้วเพคะ”
ห้องบรรทมในตำหนักชิงอวิ๋น เสียงฝีเท้าแผ่วเบา บนพื้นหินเจียระไนดังก้องสะท้อนในโถงเงียบสงัดของตำหนักชิงอวิ๋น ซูเหวินก้าวเข้ามาในห้องด้านใน ซึ่งมีเพียงตะเกียงน้ำนมดวงเดียวให้แสงสลัว กลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว ดวงตาคมใต้คิ้วหนาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อพบว่าองค์ชายสามยังคงนั่งเอนกายพิงหมอนอยู่บนเตียง มีผ้าคลุมหนาห่มกายอยู่ แม้บาดแผลยังไม่หายสนิท แต่สีหน้าดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้า ทว่าผู้เป็นนายกลับมิยอมพักผ่อน ยังคงรอคอยการรายงานจากเขา “องค์ชาย กระหม่อมขอรายงาน…” ซูเหวินกล่าวเสียงเบา ขณะเดินเข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าประสานมือคารวะ หลงเจิ้งหยางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ปรายตามองเขานิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วทว่าเด็ดขาด “ได้ความว่าอย่างไร..ว่ามา” เขาหยุดพูดไปครู่ ดวงตาทอดมองความมืดนอกหน้าต่าง ราวกับจับจ้องอะไรบางอย่าง ซูเหวินค้อมศีรษะก่อนกล่าวเสียงเบา “กระหม่อมเริ่มตามร่องรอยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่ลงมือในวันนั้น…” เขาหยุดเว้นจังหวะ ก่อนกล่าวต่อ “มือสังหารมิใช่พวกจากแคว้นเรา หากแต่เป็นผู้ที่มีฝีมือ เป็นนักฆ่าที่ชำนาญวิชาจากแดนใต้…เรียกตนว่ากระบี่ม่วง กลุ่มนี้รับงานเฉพาะจากสกุลขุนนางใหญ่เพีย
ระเบียงทางเดินในวังหลวง “ท่านเสนาบดีหลี่…” เสียงทุ้มนุ่มฟังดูสุภาพดังขึ้นจากด้านข้าง ทำให้ผู้เป็นขุนนางเฒ่าหยุดชะงัก หันไปพบกับบุรุษในอาภรณ์สีม่วงปักลายมังกรห้ากรงเล็บ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มแต่แววตากลับลึกล้ำ “องค์ชายสอง กระหม่อมคารวะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหลี่รีบประสานมือคารวะหลงเหวินหยาง องค์ชายสูงศักดิ์เพียงยกมือขึ้นเบา ๆ “ไม่ต้องเกรงใจท่านเสนาบดี ข้าเพียงผ่านมาพอดี เห็นท่านยังมีแววหมองในดวงตา คงเป็นเรื่องของคุณหนูหลี่กระมัง” “พระองค์ทรงเอ่ยถึง…” เสนาบดีหลี่สบตาอีกฝ่าย สีหน้าเจือรอยระวัง “ข้าเองก็ได้ยินขุนนางกล่าวถึงเรื่องในงานชมบุปผาวันนั้น... ข้าเจ็บใจแทน คุณหนูหลี่เป็นหญิงงามมีความสามารถ หาได้ควรถูกลบแสงด้วยอุบะดอกไม้เช่นนั้น...” หลงเหวินหยางถอนใจแผ่วเบาอย่างคนมีเมตตา ดวงตาของเขาฉายความเจ็บใจแทนอย่างจริงใจ แต่เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มละมุน “น่าเสียดายที่บางผู้ไม่เห็นคุณค่า กลับไปลุ่มหลงสิ่งเดิมที่มีอยู่และคิดว่าดีที่สุดแล้ว” ดวงตาคมจับจ้องขุนนางคู่สนทนาอย่างสื่อความหมาย “แต่บางที...อาจถึงเวลาที่สวรรค์ควรมอบเวทีใหม่ให้นางได้เจิดจรัสในที่ที่เหมาะสมกว่า” ขุนนางหลี่ยืน
“ท่านพ่อ…เจ็บมากหรือไม่…” เสียงโอรสน้อยถามบิดา ทว่าไม่มีคำตอบจากบุรุษที่ยังนอนนิ่งอยู่ ดวงตาที่เพิ่งลืมเมื่อครู่ปิดลงอีกครั้ง เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ไป๋ลี่เยว่นั่งนิ่งเฝ้ามองลูกน้อยที่จับมือพระบิดาราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไป สายตานางทอดยาวไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง ใบหน้าที่เคยดุดันบัดนี้ซีดขาวไร้สีเลือด “…ดื้อด้านเพียงใด ตัวเองเจ็บเจียนตายยังตื่นมาห่วงลูก…” แม้ปากจะบ่น แต่ร่างบางที่ดูอ่อนแรงจากการเฝ้าดูแผล กลับไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปพักแม้เพียงครู่ เดิมทีคิดจะเพียงรักษาให้เสร็จแล้วเดินจากไป…แต่กลับทำไม่ได้ “ท่านแม่…” เด็กน้อยเอ่ยเสียงงัวเงีย “ถ้าท่านพ่อฟื้นอีกที จะเจ็บอีกไหม” นางไม่ตอบในทันที…เพียงแค่มองใบหน้าที่ซีดขาวของบุรุษตรงหน้า ดวงตานั้นปิดสนิท ไร้แววแห่งความทรมาน แต่กลับคล้ายหลับลึกยิ่งกว่าครั้งไหน “ไม่หรอก แม่ให้ยาระงับปวดแล้ว…เจ้ากลัวหรือไม่ เสี่ยวเป่า” นางถาม พลางเอื้อมมือไปลูบผมโอรส หลงจิ่นอวิ๋นพยักหน้าช้า ๆ “กลัว…แต่ก็…สงสารท่านพ่อ” คำตอบสั้น ๆ ของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของนางคล้ายถูกมือใครบางคนบีบไว้เบา ๆ เขาเงียบไปชั่วครู่แล้
“เปิดทาง! เปิดประตูตำหนักเดี๋ยวนี้!”เสียงตะโกนของซูเหวินกึกก้องสะท้อนลั่นลานด้านหน้าตำหนักชิงอวิ๋น อีกทั้งเสียงฝีเท้าดังระรัวประหนึ่งกลองรบกลางรัตติกาล กลบความเงียบสงบของตำหนักให้แตกกระเจิง ทหารเวรยามวิ่งกรูมาอย่างตื่นตระหนก ก่อนชะงักไปเมื่อภาพตรงหน้ากระแทกใจร่างสูงใหญ่ไร้สติขององค์ชายสาม ถูกซูเหวินแบกไว้บนแผ่นหลัง เสื้อคลุมโชกโลหิต และไหล่ซ้ายมีลูกศรยาวปักคาไว้ ข้างกายคือเสียงร้องสะอื้นของเด็กน้อยผู้สูงศักดิ์ องค์ชายน้อยหลงจิ่นอวิ๋นที่หลินซ่างอุ้มวิ่งตามมาร้องน้ำตานองแก้ม“เสด็จพ่อ พ่อข้า ท่านพ่อ..ฮึก…”เสียงเล็กนั้นสั่นเครือ ประดุจมีดกรีดกลางหัวใจ ก่อนที่จะบอกให้หลินซ่างปล่อยตัวเองลง ฝีเท้าเล็กเร่งตามซูเหวินไม่ต่างจากใจที่แทบหลุดออกจากอก“รีบ! ส่งข่าวถึงหมอหลวงโดยไว! ให้คนไปเชิญหมอหลวงเดี๋ยวนี้” หลินซ่างตะโกนก้อง พลางวิ่งตามซูเหวินไปทว่า…ทุกเสียงหยุดกึกทันที เมื่อม่านผ้าแพรหน้าตำหนักพลันแหวกออกเงาร่างหนึ่งปรากฏกาย ร่างระหงในชุดสีขาวสะอาดราวม่านหมอกใต้แสงจันทรา พระชายาไป๋ลี่เยว่ ผู้งามเลิศล้ำแห่งตำหนัก ยามนี้ดวงหน้างามซีดเผือด ทว่าสง่าราศีมิได้ลดถอยนางยืนนิ่ง…ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเ