ตอนที่ 10
สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไร
เวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้น
สิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน
นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกัน
อาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่างไม่สนใจใยดี
แต่กับผิดไปจากที่คิดเมื่อเขากับรับมันเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาทุกๆวันก็จะมีแจกันที่มีดอกไม้ที่ถูกจัดเอาไว้ในแจกันถูกส่งไปที่ร้านผ้าเข็มทองคำเสมอ
“ดอกไม้ในแจกกันเมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนจัดกัน”
หลันซู่ถงที่กำลังนั่งตัดก้านดอกไม้ในมืออยู่หันไปมองตามเสียก็เห็นว่า ยามนี้มีสตรีสามคนซึ่งสองคนดูเหมือนจะเป็นคู่แม่ลูกที่แต่งตัวดีดูแล้วน่าจะเป็นฮูหยินและคุณหนูจากสกุลใดสกุลหนึ่ง
“ยินดีตอนรับฟ่างฮูหยินกับคุณหนูฟ่างนะเจ้าค่ะ” เป็นน้าฮุ่ยเจินที่รีบละมือจากดอกไม้ที่กำลังลดน้ำอยู่ไปต้อนรับผู้มาใหม่
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกฮุ่ยเจิน เมื่อครู่ข้าถามเจ้าว่าดอกไม้เมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนจัดกัน แล้วนั้นใช่แม่นางฟ่งซีรึไม่นั้น” ฟ่างฮูหยินเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะหันไปเห็นผู้ที่เดินออกมาจากทางด้านหลังของร้านที่เป็นผู้ที่นางพอที่จะคุ้นเคยอยู่บ้าง
“เป็นข้าที่เป็นผู้จัดดอกไม้เหล่านั้นเอง ฟ่งซีเจ้าช่วยไปหยิบแจกันใบใหม่มาให้ข้าที” เป็นนางที่เอ่ยขึ้นอย่างไม่หันไปมองผู้มาใหม่แต่อย่างไร พร้อมทั้งเองสั่งฟ่งซีที่ดูเหมือนกำลังจะถูกสองแม่ลูกที่มาใหม่ลากให้เข้าไปร่วมวงสนทนาให้ได้
“ได้เจ้าค่ะ” ฟ่งซีนางเองรับคำก่อนจะเดินไปที่หลังร้านอีกครั้งเพื่อน หยิบแจกันใบใหม่ออกมาตามคำสั่ง โดยไม่คิดที่จะสนใจสองแม่ลูกสกุลฟ่างที่เอ่ยถึงนางเมื่อครู่เลย
“เจ้าชักจะโอหังเกินไปแล้วกระมัง ท่านแม่ของข้ากำลังจะคุยกับแม่นางฟ่งซีอยู่ เจ้าก็เห็นยังจะใช้ให้นางไปหยิบของให้เจ้าอีก!!!” คุณหนูฟ่างหลี่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจนัก
โดยปกติแล้วมิว่านางและท่านแม่จะไปที่ใดต่างได้รับการต้อนรับ รับรองอย่างดี และปกติทุกครั้งที่นางและท่านแม่เข้ามาที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ฮุ่ยเจินจะต้องยอนรับนางอย่างดี แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไม้ทุกคนในร้านเฟิ่งฮวาไม่ได้ต้อนรับพวกนางอย่างสมควรเท่าใดหนัก โต๊ะที่ดีที่สุดในร้านถูกสตรีนางหนึ่งซึ่งแต่งตัวธรรมดายึดครองอยู่พร้อมกับดอกไม้ที่วางอยู่มากมายบนโต๊ะ
ทำให้นางไม่พอใจยิ่งนักที่โดนเมินจากสตรีธรรมดาๆผู้หนึ่ง แถมยังได้นั่งที่โต๊ะที่เก่าเต็มที นางรู้สึกเสียหน้าจนทนไม่ได้
คุณหนูสกุลฟ่างอย่างนาง ถือว่าเป็นสกุลที่มีหน้ามีตาไม่น้อย ให้นางกับท่านแม่มานั่งที่โต๊ะธรรมดาเช่นนี้ได้อย่าไรกัน
“ฟ่างหลี่เจ้าใจเย็นก่อนอย่างพึ่งได้โวยวายไป” ฮูหยินฟ่างรีบเอ่ยเตือนบุตรสาวที่เริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ไม่ได้แล้ว
“ใช่แล้วคุณหนูฟ่างท่านใจเย็นๆก่อนนะเจ้าคะ ท่านอยากได้ดอกไม้อันใดรีบบอกข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้ไปจัดหามาให้ท่าน”
ฮุ่ยเจินเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเริ่มไม่ค่อยดี จึงรีบเขาไปเอ่ยปัดความสนใจเสียก่อน
“ข้าอยากได้ดอกไม้พร้อมแจกันอันนั้น” ฟ่างหลี่ชี้ไปยังแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกับสตรีธรรมดาผู้หนึ่งที่ทำให้นางโมโหเมื่อครู่
“เอ่อ…” ฮุ่ยเจินเอ่ยสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นว่าคุณหนูฟ่างผู้นี้ตั้งใจจะเอาชนะฮูหยินน้อยของนางให้ได้
“ข้าไม่ขายให้เจ้า” หลันซู่ถงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ มือก็ยังคงหยิบกรรไกรและตัดก้านดอกไม้ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“ในเมื่อข้าอยากได้ เจ้าไม่มีสิทธิไม่ขาย!!!” เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของอีกฝ่าย ฟ่างหลี่ก็เริ่มที่จะหัวเสียเพิ่มมากขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังใส่อีกฝ่าย พร้อมกับใช้มือบัดกองดอกไม้ที่อยู่เบื้องหน้าของสตรีธรรมดาสนตกพื้นจนหมด
“ข้าเป็นคนจัดดอกไม้พวกนี้ ข้าบอกไม่ขายผู้ใดก็ไม่มีสิทธิมาบังคับข้า!!! และเจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะมาทำลายดอกไม้เหล่านี้ของข้าด้วย!!!”
นางเอ่ยออกมาอย่างสุดจะทน เมื่อเห็นว่าดอกไม้ที่นางเลือกมาอย่างดีถูกคุณหนูฟ่างผู้นี้บัดตกอย่างไม่มีชิ้นดี
“ใช่ข้าไม่มีสิทธิ แต่ก็ทำลายไปแล้วนี้” ฟ่างหลี่มองไปยังกองดอกไม้ที่ตกอยู่ที่พื้นอย่างส่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปเหยียบดอกไม้ที่นางบัดมันตกลงมาจนเละคาพื้น
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้เจ้าหยุด!!!” นางทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ที่เห็นคุณหนูสกุลฟ่างผู้นี้ทำลายดอกไม้ของนางด้วยท่าทางจงใจท้าทายนางเต็มที่
นางเดินเข้าไปใกล้คุณหนูสกุลฟางก่อนจะออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไปจากกองดอกไม้ที่เหยียบอยู่
“เจ้ากล้าผลักข้ารึ!!!” ฟ่างหลี่เอ่ยออกมาเสียงดัง เมื่อนางถูกสตรีธรรมดาตรงหน้าผลักจนเกือบจะล้มไปด้านหลัง ดีที่ท่านแม่กับสาวใช้ที่นางพามาด้วยรับตัวของนางเอาไว้ได้ทัน
“เจ้ายังกล้าทำลายของๆข้าเลย ทำไมข้าจะทำลายเจ้าไม่ได้”
“ได้ข้าจะดูสิ ว่าเจ้าจะทำอันใดได้ถ้าข้าทำลายของๆเจ้าจนหมดแล้ว” สตรีธรรมดาเช่นนั้นจะมีสิทธิอันใดกล้ามาต่อปากกับนางที่เป็นถึงคุณหนูสกุลฟ่างที่มั่งมี
ฟ่างหลี่นางตรงเข้าไปหยิบแจกันที่นางต้องการจะซื้อขึ้นมา ก่อนจะทุ่มลงพื้นจนแจกันและดอกไม้ในนั้นแตกกระจัดกระจายไปทั่วทั้งพื้น
“เกิดอันใดขึ้น!!!” ฟ่งซีที่ได้ยินเสียงของแตกกระจายรีบร้อนที่ตามเสียงมาในทันทีเอ่ยขึ้น
“นี่พวกท่านกล้าทำลายข้าวของในร้านเฟิ่งฮวาถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ผู้ใดใช้ ผู้ใดใช้ให้นางมากวนโมโหข้าก่อนกันเล่า” ฟ่างหลี่เมื่อได้สติว่านางทำลายข้าวของของร้านเฟิ่งฮวาที่เจ้าของร้านคือผู้ที่มีอิทธิพลในด้านการค้ามากที่สุด ก็เริ่มที่จะอยู่ไม่สุข
“นั้นสิเป็นเพราะสตรีธรรมดาเช่นนั้นกล้าต่อปากต่อคำกับบุตรสาวข้า” ครานี้เป็นฟ่างฮูหยินที่เอ่ยแก้ต่างให้พวกนางบ้าง อย่างน้อยๆแม่นางฟ่งซีผู้นี้อาจจะเห็นว่านางเป็นผู้ใหญ่แล้วอาจจะเชื่อคำนางเป็นหลักก็เป็นได้
“ไม่พอใจข้า พวกเจ้ามีสิทธิทำลายข้าวของเช่นนั้นรึ”
หลันซู่ถงเอ่ยขึ้นบางอย่างไม่ยอม นางถูกกระทำเช่นนี้นางย่อมไม่ยอมให้มันผ่านไปง่ายๆแน่
“ข้าคงต้องแจ้งนายท่านฉู่เสียแล้ว” ฟ่งซีเอ่ยขึ้น
“อย่าเลย/อย่าเลย” เสียงของแม่ลูกสกุนฟ่างรีบเอ่ยขึ้น
“ข้าว่ามิต้องหรอก” เสียงของหลันซู่ถงก็รีบเอ่ยขึ้นเช่นเดียวกัน
เหตุผลของพวกนางมีแตกต่างกันออกไป เหตุผลของแม่ลูกสกุลฟ่างคือไม่อยากทำให้ฉู่ฉางซานโมโห เหตุผลของหลันซู่ถงคือนางกลัวว่าเรื่องในครานี้ที่เกิดขึ้นจะทำให้ข้อต่อรองในการเป็นอิสระของนางเป็นอันเป็นโมฆะเพราะนางสร้างเรื่องให้เขา
“แม่นางฟ่งซีพวกข้าเต็มใจที่จะจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด” ฟ่างฮูหยินเอ่ยขึ้น นางยอมจ่ายมากกว่ายอมให้เรื่องถึงหูนายท่านฉู่ และอาจจะไม่เป็นผลดีต่อร้านค้าของสกุลฟ่างของนางที่รับของมาจากร้านค้าสกุลฉู่ทั้งสิ้น หากว่านายท่านฉู่เกิดไม่พอใจขึ้นมาไม่ส่งของให้ร้านสกุลฟ่างอีกต่อไปพวกนางต้องแย่แน่
“แม่นางฟ่งซีพวกเราก็รู้จักกันมานาน ท่านก็ถือว่าช่วยสกุลฟ่างเราหน่อยเถิด เรื่องค่าเสียหายท่านให้คนตรวจสอบและให้คนไปเก็บค่าเสียหายจากสกุลฟ่างได้เลย”
ฟ่งซีที่เหมือนกับเป็นตัวกลางของเรื่องนี้ยังคงมองข้าวของที่เสียหายไปรอบๆร้าน ก่อนจะหันไปมองสบตากับฮูหยินน้อยของตนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากแม่ลูกสกุลฟ่างเท่าไหร่นัก ที่กำลังมองนางด้วยสายตาเว้าวอนไม่ต่างไปจากแม่ลูกสกุลฟ่าง
เอาเถิดเพื่อฮูหยินน้อยของนาง ครั้งนี้นางจะไม่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้คุณชายฉู่ทราบก็แล้วกัน
“เอาเป็นว่าข้าจะให้คนไปเก็บค่าเสียหายที่สกุลฟ่างก็แล้วกัน ฟ่างฮูหยินเชิญ”
ฟ่งซีรีบนำฮูหยินใหญ่เดินออกไปหน้าร้านทันที เพื่อที่จะได้รีบส่งพวกนางสองแม่ลูกสกุลฟ่างกลับเสียที ปัญหาจะได้จบลงเสียที
รอจนฟ่งซีและท่านแม่ของนางเดินออกไปจากร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟ่างหลี่ก็เอ่ยขึ้นกับหลันซู่ถงอีก
“ครั้งนี้ข้าคงต้องฝากเจ้าเอาไว้ก่อน วันหน้าข้าจะมาคิดบัญชีแน่”
“ข้าไม่รับฝาก เจ้าอยากฝากก็ไปฝากที่อื่นโน้น”
“เจ้ายังไม่เลิกกวนโมโหข้าอีก!!!ข้าจะไม่ทนกับเจ้าแล้ว” ฟ่างเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด นางทนเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ที่ชวนหงุดหงิดของคนตรงหน้าไม่ไหวอีกแล้ว
“คุณหนูฟ่างท่านใจเย็นๆก่อนเถิด ข้าน้อยว่าท่านควรตามฟ่างฮูหยินออกไปได้แล้วนะเจ้าคะ”
ฮุ่ยเจินเดินเข้ามาหาคุณหนูฟ่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีหัวเสียอีกแล้ว เกรงว่าจะเกิดการทะเลอะกันอีกจึงคิดที่จะรีบแยกคุณหนูฟ่างผู้นี้ออกไป
“เป็นแค่บ่าวอย่ารึมายุ่งกับเรื่องของข้า!!!” ฟ่างหลี่ตะโกนก่อนที่จะออกแรงผลักฮุ่ยเจินจนล้มลงและลงมือทุบตีฮุ่ยเจินต่อทันที
“นี่เจ้ามันจะทำเกินไปแล้วนะ!!!”
นางรีบตรงเข้าไปดึงตัวคุณหนูฟ่างที่กำลังลงมือทุบตีน้าฮุ่ยเจินหวังจะให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำของตนเอง
แต่กลับกลายเป็นว่านางถูกคุณหนูฟ่างผลักออกมาอย่างแรงจนทำให้กระเด็นไปเหยียบเศษแจกันที่แตกกระจายอยู่พอดีก่อนจะล้มลงไปอยากแรงจนยามนี้ทั้งเท้าของนางและที่มือถูกเศษแจกกันบาดจนเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยบาดเจ็บ!!!” เป็นฮุ่ยเจินที่ร้องของความช่วยเหลือออกมาอย่างดัง เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยของนางยามนี้กำลังบาดเจ็บไม่น้อย
“เกิดอันใดขึ้น!!! ฮูหยินน้อย!!!”
ฟ่งซีและฟ่างฮูหยินรีบเข้ามาในร้านอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงร้องของฮุ่ยเจิน
นางรีบตรงเข้าไปประคองตัวของฮูหยินน้อยของนางขึ้นมาอย่างช้าๆและระมัดระวังเป็นที่สุด
ในจังหวะที่ทุกอย่างยังคงวุ่นวาย ทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นผู้ที่มาใหม่เลย ทุกผู้ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเป็นผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมดุดัน จนทุกผู้ที่อยู่ในที่นี่ล้วนแล้วแต่อกสั่นขวัญแขวนกันไปหมด
“เกิดอันใดขึ้น!!!”
“ฮูหยินน้อยได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ” ฟ่งซีที่ได้สติ รีบเอ่ยแจ้งขึ้นทันที
เช่นเดียวกันกับฉู่ฉางซานที่เดินเข้ามาด้านในจนเห็นสภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เขาไม่รอช้าตรงเข้าไปช้อนร่างเล็กของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของตนขึ้นในทันที
เมื่อเขาเห็นว่ายามนี้สตรีในอ้อมแขนไม่ได้สติ ซ้ำยังมีกลิ่นคาวเลือดติดตัวเต็มไปหมด ก็ทำให้โมโหขึ้นมาอย่างมาก
“บัญชีนี้ข้าต้องกลับมาคิดแน่นอน!!!”
และนั้นคือประโยคสุดท้ายที่ฉู่ฉางซานเอ่ยเอาไว้ก่อนจะก้าวออกจากร้านเฟิ่งฮวาไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ที่หน้าร้านอย่างไม่คิดจะสนใจผู้ใดอีก แต่แค่ประโยคเดียวก็ทำให้แม่ลูกสกุลฟ่างอยู่ไม่สุข เนื้อตัวสั่นเท่าอย่างห้ามไม่หยุดแล้ว
พวกนางสองแม่ลูกได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจดันไปก่อเรื่องใหญ่เขาให้เสียแล้ว
ก็ใครจะไปคิดกันเหล่าว่าสตรีที่ดูธรรมดาเช่นนั้นจะเป็นถึงฮูหยินของนายท่านฉู่ได้
ตอนพิเศษว่าด้วยเรื่องสถานะใหม่ หลังจากที่เธอต้องใส่เผือกและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากแฟนหนุ่มอยู่เกือบสามเดือนในที่สุดเธอก็ได้ถอดเผือกและ กลับมาใช้ข้อมือได้อย่างอิสระอีกครั้งแน่นอนว่าเธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสามารถกลับมาจัดดอกไม้ที่เธอรักได้อย่างถนัดอีกครั้ง อีกอย่างคือไม่ต้องถูกฉางเหอตามคุมเข้มอีกต่อไปแล้ว แม้เธอจะรู้ดีว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไปเพราะกลัวเธอทำตัวซุ่มซ่ามจนเจ็บตัวกว่าเดิมก็ตามแต่การที่ถูกแฟนซึ่งพ่วงด้วยตำแหน่งคุณหมอและซีอีโอรูปหล่อคอยตามดูแลอยู่ไม่ได้ห่างช่างเป็นอะไรที่หลบการตกเป็นเป้าสายตาต่อผู้คนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีใจที่เขามาค่อยดูแล แต่ความดีใจกับมาพร้อมกับการที่มักจะทำตัวไม่ถูกของเธอ หลายครั้งที่เธอนึกอิจฉาความเฉยชาต่อสายตาเหล่านั้นของแฟนหนุ่มไม่ได้มีครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขาว่า เขาไม่รู้สึกรำคาญหรืออะไรบ้างหรือเวลาที่ต้องตกเป็นเป้าสนใจเช่นนี้ เขาตอบกลับมาแค่ว่า “ผมไม่จำเป็นต้องแค่ใครนอกจากคุณ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากเขาฉันกลับเขาใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เธอใส่เผือกก็ถูกมัดมือชกแกล้มบังคับให้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเขา ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก ที
“มาครับผมช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อเอง” เขาเอ่ยขึ้นกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ตอนนี้เขาค่อนข้างจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติบ้างได้แล้วนิดหน่อยเมื่อเขาพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นหลันซู่ถงจึงยิ้มออกมาให้เขาอย่างเอาใจ ก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงช่วยนางเปลี่ยนชุดไปเป็นชุดคนไข้ชุดคนไข้ที่พยาบาลส่งให้เขาเมื่อครู่ยามนี้เขานำมาวางเอาไว้บนตักของเธอตัวเธอนั้นถูกเขาประคองให้ขึ้นมานั่งอยู่ที่ริมเตียงคนไข้ เนื่องจากเธอสูงไม่มากจึงขาลอยเมื่อนั่งหย่อนขาที่ริมเตียงคนไข้เช่นนี้ ในหัวอดคิดไปถึงคนไข้คนอื่นๆไม่ได้ว่าพวกเขาก็ขาไม่ถึงพื้นเช่นเธอเหมือนกันหรือไม่เวลาที่นั่งอยู่ริมเตียงคนไข้แบบนี้ตอนที่รอให้คุณหมอตามมาตรวจ “ข้อมือขวาคุณน่าจะหักผมว่าคุณอย่าขยับมันจะดีกว่าครับ” เสียงเข้มเอ่ยดุเธอทันที เมื่อเธอเผลอเกือบจะยกมือขึ้นมาหลังจากที่เขาเอื้อมมือมาหมายจะช่วยเธอปลดกระดุมชุดเดรสยีนส์ที่มีกระดุมเป็นแทบตั้งแต่ช่วงอกจนกระทั่งถึงช่วงเข่าของเธอ “เอ่อ ฉางเหอคะ ฉันว่าคุณให้พยาบาลเขามาช่วยฉันเปลี่ยนชุดน่าจะสะดวกกว่านะคะ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา แน่นนอนว่าเมื่อกล่าวออกไปร่างสูงเบื้องหน้าเธอก็ขมวดค
ตอนพิเศษเธอเปรียบเสมือนความสุขทั้งหมดของผม หน้าฝนเช่นนี้แน่นอนว่าคงจะไม่แปลกเท่าไหร่นักหากคนส่วนให้ในเมืองจะเป็นหวัดกันไปหมด บางคนก็เป็นหวัดเพราะร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่สุดแสนจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างวันนี้ร้อนพรุ่งนี้พายุฝนตกกระหน่ำ อีกวันหนึ่งกับมีลมหนาว บางคนเดินๆอยู่ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาหาที่หลบไม่ทัน กว่าจะวิ่งหาที่หลบฝนได้ก็เปียกไปกว่าครึ่งแล้วหลันซู่ถงเองเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยจำนวนมากนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยังดีๆอยู่แท้ๆแต่พอไปถึงบริษัทเหม่ยหลง ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆที่เธอและเพื่อนอีกคนหนึ่งพึ่งจะร่วมทุนกันตั้งเป็นบริษัทสำหรับการรับตกแต่งสถานที่โดยมีดอกไม้เป็นตัวหลักวันนี้หลังจากที่ประชุมเรื่องเกี่ยวกับงานตกแต่งฉากโฆษณาเสร็จ เธอจึงได้คิดที่จะแวะเข้าไปให้หมอตรวจอาการของเธอก่อนจะตรงเข้าไปหาแฟนหนุ่มซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นเช่นเดียวกัน “ขอบคุณที่มาส่งนะหนิงจู” เธอเอ่ยขอบคุณหุ้นส่วนที่ควบตำแหน่งเพื่อนสนิทของเธออีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ไม่เป็นไรหรอก แกรีบเข้าไปให้หมอตรวจอาการเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อน” หนิง
ตอนพิเศษ เจ้าแม่แรร์ไอเทมจะว่าไปแล้วเธอก็งงอยู่เหมือนกันว่า ฉายาเจ้าแม่แรร์ไอเทมที่เธอได้มา ได้มายังไงจนเดือดร้อนถึงแม่เพื่อนสนิทของเธออย่างเฟ่งเสี่ยวซ่งต้องมาอธิบายไขข้อข้องใจ ให้เธอเสียยกให้“แม่เจ้านี่แกไม่รู้จริงๆ หรือตั้งใจจะถามให้ฉันอิจฉาตาร้อนเล่นห๊ะ”“ถ้ารู้ฉันก็ไม่ถามแกหรอกจริงไหม เลิกกัดฉันด้วยคำพูดแล้วก็รีบบอกมาเร็วเข้า” เธอเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของแม่เพื่อนตัวดีของเธอ“แฟนแกเป็นสุดยอดแรร์ไอเทมไง คนที่ได้เป็นแฟนกับเขาได้นั้นแปลว่าต้องเป็นนักชกมือฉกาจ และในเมื่อแกเก่งกล้าถึงขนาดนั้น เหล่าแฟนคลับเขาเลยเรียกแกว่า เจ้าแม่แรร์ไอเทม ไงเก็ทเนอะ”“เก็ทก็ได้ค่ะคุณเพื่อน”“ว่าแต่แกเถอะจะย้ายร้านเมื่อไหร่”“ก็คงจะสิ้นเดือนนี้พอดีนั้นแหละ ร้านใหม่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลของฉางเหอน่าจะตกแต่งเสร็จพอดี”“ฉันขออนุญาตหมั่นไส้แกแรงๆหน่อยได้ไหม”“แกมาหมั่นไส้ฉันทำไมเนี่ย”เธออดจะขำออกมาเสียงดังไม่ได้ กับท่าทีที่ดูตลกของเฟ่งเสี่ยวซ่ง ที่เดียวๆทำคิ้วขมวด เดียวก็ทำหน้าบิดเบี้ยว“แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน” เฟ่งเสี่ยวซ่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะจับที่แข
ตอนที่ 20 ความปรารถนาที่แท้จริง(ตอนจบ)นี่ก็ผ่านมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอตื่นขึ้นมาที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ด้วยสาเหตุที่ว่าเธอสลบไปเพราะตกใจเสียงฟ้าผ่า ไม่ใช่เพราะถูกฟ้าผ่าใส่แต่อยากใดทุกครั้งที่เธอหลับตา เธอยังคงนึกไปถึงเรื่องในอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น เธอกำลังสับสนไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เธอพลัดไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เธอฝันไปเองเท่านั้นยามที่เธอตื่นขึ้นมาครั้งแรก ก็เจอเข้ากับเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่มาเฝ้าเธออยู่พอดี เฟ่งเสี่ยวซ่งบอกกับเธอเพียงว่าร่างกายของเธอปกติทุกอย่างแต่กับนอนไม่ได้สติมาถึงสองอาทิตย์เต็ม ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในอีกมิติหนึ่งนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะเธออยู่ในมิตินั้นราวๆสามเดือนเห็นจะได้วันนี้เป็นวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ผู้ที่มารับเธอออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอนั้นแหละ“ซู่ถงแกเดินไหวแน่นะ ไม่ใช่ว่าเดินๆไปแล้วแกล้มขึ้นมาฉันจับไม่ทันแกจะเจ็บตัวเอานะ”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ อีกท
ตอนที่ 19 จากไปในที่ๆจากมาหานอี้มองภาพของฮูหยินน้อยของนางที่กำลังพิงอยู่ที่ตัวของท่านเขยอย่างสงสารจับใจ นางพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาให้ท่านเขยเห็นเพราะกลัวจะยิ่งทำให้ท่านเขยใจไม่ดีฮูหยินน้อยเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากนางเชิญท่านหมอมาดูฮูหยินน้อยตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่นานนักฟ่งสือก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับท่านหมอตงและผู้ช่วยคนหนึ่ง “เรียนนายท่านฉู่ข้าน้อยได้ตรวจอาการของฮูหยินน้อยดูแล้ว มิมีสิ่งใดผิดปกติเลย มิได้มีโรคอันใดแทรกซ้อน มีเพียงแค่ชีพจรเท่านั้นที่เต้นอ่อนยิ่งนักขอรับ” หมอตงเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นแล้วนางเป็นอันใดถึงได้กระอักเลือดออกมาเช่นนี้!!!” เขาลูบใบหน้าเล็กที่ยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด ของคนในอ้อมแขนก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยก็พึ่งเคยพบอาการเช่นฮูหยินน้อยเป็นเป็นครั้งแรกขอรับ”หมอตงเอ่ยขึ้น เขาเป็นหมอมาหลายสิบปีกับไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้ ทุกอย่างรวมไปถึงชีพจรแม้จะเต้นอ่อนยิ่งนักแต่ก็เป็นปกติอยู่ แต่กับมีอาการกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ“ฟ่งสือ เจ้าไป