“พี่นิลนนท์กับคุณแสงศรรู้จักกันเหรอคะ คุยเหมือนสนิทกันมานานเลย?” มินตราที่เดินอยู่ข้างหลังเอ่ยถามขึ้นด้วยแววตาใส มองดูเหมือนว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมานานทั้งที่พึ่งรู้จักกันวันนี้เพียงวันแรก
“อ๋อ...คือ...คุยกันแล้วถูกคอน่ะ” นิลนนท์ตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะลอบมองแสงศร สองหนุ่มมองหน้ากันไปมาก่อนจะหันไปยิ้มให้มินตราที่พยักหน้ารับรู้
อย่างไรเขาก็จะให้ทุกคนรู้ไม่ได้ว่าเขาเคยเป็นพญานาคมาก่อนและมาตีสนิทกับนรินทร์เพราะภารกิจที่องค์เพชรแก้วให้มา เนื่องจากว่าต่อไปในภายภาคหน้านั้น นรินทร์จะต้องตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต...จากแรงอาฆาตพยาบาทของนางนาคีมากบารมีองค์หนึ่ง ที่ถึงแม้จะมีบารมีมากแต่ก็ไม่สามารถตัดความรักหลุ่มหลงในองค์เพชรแก้วได้จนเกิดเป็นความอิจฉาริษยา
พญานาค...ก็เหมือนมนุษย์ มีทั้งนาคดีและนาคที่มีมิจฉาทิฐิ ไม่มีอะไรดีพร้อมทั้งหมดบนโลกแม้แต่เทวดาเองก็เช่นกัน ผีก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปเสียหมดมีทั้งผีดีผีชั่ว ทุกภพทุกภูมิล้วนเป็นเหมือนกันหมดเพราะยังไม่รู้แจ้งเห็นธรรมตามที่ศาสนาได้สั่งสอนไว้ จะตัดสินว่าดีหรือชั่วเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเห็นทีจะไม่ได้
นิลนนท์นั้นเคยเป็นพญานาคที่อ
“อุ๊ย!!” เมื่อพนิตาเห็นว่าภากรณ์ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งที่เธอพูด จึงทำทีเผลอเอามือไปปัดแก้วน้ำจนหกรดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางของตัวเอง ภากรณ์เห็นอย่างนั้นก็ตกใจรีบหันไปหยิบกระดาษทิชชูยื่นให้ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นเต้าสวยที่ปิดแค่แผ่นแปะจุก ภากรณ์นิ่งค้างมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะรีบสะบัดหน้าเรียกสติของตัวเองพลางยื่นทิชชุให้พนิตา“ขอโทษค่ะ นิตาซุ่มซ่ามเอง”“ครับ...” ภากรณ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาไม่รักดีก็พลอยชำเลืองมองเต้าตึงสวยเด่นนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ พนิตาทำท่าเช็ดหน้าอกตัวเองแล้วยกยิ้มขึ้นก่อนจะเลื่อนมือไปปลดกระดุมออกเพื่อเช็ดน้ำที่หกเลอะด้านใน“เปียกหมดเลย…” พนิตาพูดเสียงอ่อยก้มมองตัวเองที่เปียกโชกไปหมดจนเห็นถึงไหนต่อไหน“เอ่อ...ผมมีชุดสำรองอยู่หลังรถเดี๋ยวผมไปเอามาให้ แบบนี้ดูไม่ดีเท่าไหร่” ภากรณ์พูดพร้อมตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่พนิตาเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเอาไว้ก่อน“นิตาไปด้วยดีกว่าค่ะ นั่งอยู่แบบนี้มัน…” พ
พชรเดินนำเข้าบ้านไปทิ้งให้พนิตายืนกำหมัดมองตามหลังด้วยความรู้สึกสับสนปนเสียหน้าที่เขาปฏิเสธเธอ แต่ก็คิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเข้าหาเขาเร็วไป พนิตาจึงเดินตามพชรเข้าบ้านไปโดยทำตัวเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พชรเดินนำขึ้นมายังชั้นสองของคฤหาสน์เพราะในใจของเขาตอนนี้เป็นห่วงนรินทร์มาก แต่ที่ยอมอยู่กับพนิตาก็เพื่อหาว่าเหตุของเพลิงไหม้ว่ามันมาจากฝีมือมนุษย์หรืออมนุษย์ที่ไหน ถึงได้ยอมข่มใจข่มความเป็นห่วงนั้นเก็บไว้ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องที่เปิดประตูไว้และมองเข้าไปด้านในที่ภากรณ์กำลังนั่งกุมมือนรินทร์ไม่ห่างเขาก็ได้แต่ขบกรามแน่น พนิตาเองก็มองเห็นภาพนั้นไม่ต่างจากพชรเลย คนอื่นๆที่นั่งอยู่ก็ดูท่าทางอ่อนเพลียบางคนก็เผลอหลับไปไม่ได้อยู่ในห้องที่แสงศรจัดเตรียมไว้ให้ กลับมารวมกันอยู่ที่ห้องของนรินทร์ครบทุกคน นิลนนท์ที่นั่งง่วงซึมอยู่เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาเยือนก่อนจะรีบลุก
แสงศรเดินนำคนในทีมนรินทร์ที่เนื้อตัวมอมแมมไปยังคฤหาสน์หรือบ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านของพชร โดยมีภากรณ์ที่แบกนรินทร์ขึ้นหลังไม่ยอมให้ใครช่วย แม้แต่นิลนนท์ที่เป็นเพื่อนสนิทของนรินทร์ก็ทำได้เพียงคอยประคองอยู่ข้างหลังก็เท่านั้นและไม่มีใครกล้าขัดเพราะไม่อยากมีปัญหาในตอนนี้ อีกอย่างเกรงใจแสงศรอีกด้วย “ไม่ไหวก็เปลี่ยนกันแบกก็ได้” นิลนนท์เอ่ยพร้อมกับปรายสายตามองภากรณ์ที่ขบกรามแน่นหลังจากแบกนรินทร์มาได้พักใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ตัวหนักอะไรแต่เพราะระยะทางก็ไกลเอาเรื่องจนภากรณ์เหงื่อตก “ไม่ต้อง” ภากรณ์ตอบแค่นั้นซ้ำยังกัดฟันอดทนไม่ยอมให้ใครได้แตะต้องนรินทร์อีก มินตราและเทวินที่เดินอยู่ข้างหลังก็หันมองหน้ากันก่อนที่มินตราจะเบะปากใส่ภากรณ์แล้วพูดขึ้นลอยๆ “ตอนมีอยู่ไม่เห็นค่า พอจะเสีย
ในห้วงนิทราที่หลับใหลสนิทกันทั้งบ้านพัก ควันไฟเริ่มโชยลอยขึ้นบนชั้นสองพร้อมกับเปลวเพลิง แต่เพราะควันไฟนั้นทำให้คนที่นอนหลับไม่รู้ตัวบนบ้านสูดดมเข้าไปยังไม่ทันได้ตื่นก็ต้องสลบไสลไม่ได้สติต่อไป ไฟเริ่มโหมโรงแผดเผาไหม้บ้านพักไม้จนไฟสุมสว่างจ้า …น่าแปลกที่ไม่มีใครตื่นขึ้นมาหรือตกใจกับเหตุการณ์นี้เลย มีเพียงร่างโปร่งแสงที่ยืนมองเปลวเพลิงด้วยรอยยิ้มร่าอย่างสะใจ ไฟกำลังจะลุกท่วมร่างของพวกเขา…“จงตายตกตามกันไปเสียให้หมด!!” คีภัทราเอ่ยขึ้นพร้อมแสยะยิ้ม รอคอยมองดูร่างที่มอดไหม้อย่างใจเย็นทันใดนั้นเองที่อยู่ๆก็มีแสงจ้าสีขาวพวยพุ่งออกมาจากร่างของนรินทร์ก่อนจะพุ่งตรงออกมายังหน้าบ้านพัก ร่างโปรงแสงในชุดสีขาวประดับทองระยิบระยับอ้าแขนขึ้นหันหน้าไปทางทะเล ก่อนจะวาดมือกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับก็พลันมืดครึ้ม ก้อนเมฆจากทั่วทุกสารทิศต่างมารวมกลุ่มเกาะกันเป็นก้อนเมฆฝนเหนือบ้านพักนั้นสายฟ้าผ่ากลางก้อนเมฆนั้นเป็นระยะๆ ฟ้าแลบฟ้าร้องกระหึ่มทั่วป่า เพียงปัดวาดมือลงดินฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาดับไฟที่กำลังโหมไหม้บ้านนั้นจนเหลือแต่เพียงควั
“ผมอาบก่อนคุณรอข้างนอกจะดีกว่า”“มืดขนาดนี้ไม่มีใครมาหรอกค่ะกรณ์นะคะ น๊าา”ภากรณ์ปิดประตูห้องน้ำทันทีและรีบอาบน้ำเพราะเขาเองไม่อยากจะอยู่ข้างล่างตอนกลางคืนนานนัก ทิ้งให้พนิตาหัวเสียอยู่ด้านนอกพนิตาจึงเปิดกระเป๋าอาบน้ำออกมาก่อนจะเลี่ยงออกมาไกลจากห้องน้ำเล็กน้อยและหยิบบุหรี่ที่แอบไว้ขึ้นมาสูบพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลสั่นไหวจนพนิตาเกือบจะกรีดร้องแต่ทว่าสายตาของพนิตาก็เห็นชายหนุ่มที่เธอพึ่งพบเมื่อเย็นเดินออกมาจากพุ่มไม้ และเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยสายตาดูมีเสน่ห์ พนิตารีบซ่อนบุหรี่ไว้ด้านหลัง“มาหานรินทร์เหรอคะ?”“เปล่าครับ ผมมาหาคุณ...”“พนิตาค่ะ เรียกนิตาก็ได้นะคะ”“ซ่อนไว้ทำไมล่ะครับ สูบด้วยกันสักมวนสิครับ”พชรเดินมาประชิดตัวเธอแขนแกร่งอ้อมไปด้านหลังดึงบุหรี่ในมือเธอมาคาบไว้ในปากพนิตาใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเขาเข้ามาใกล้จนลมหายใจของเขารดหน้าผากของเธอ พนิตายิ้มด้วยจริตที่มีทำเอียงอายเอาผมทัดหูก่อนจะจุดบุหรี่ให้พชรด้วยสายตาหว่านสเน่ห์ก่อนจะควานหาบุหรี่อีกตัวขึ้นมาสูบ“ทำอะไรครับ?”“สูบเป็นเพื่อนคุณไงคะ”“ถ้าคุณ
นรินทร์และมินตราเตรียมตัวรอเทวินและนิลนนท์ที่ไปเอาข้าวเย็นที่บ้านผู้ใหญ่ ไม่นานนักทั้งสองหนุ่มก็เดนมาพร้อมกับกับข้าวในถ้วยดินเผา ก่อนจะนั่งลงที่แคร่หน้าบ้านที่สองสาวนั่งรออยู่ อาหารวันนี้มีเพียงน้ำพริกปลาย่างและผักลวกซึ่งแตกต่างจากทุกวันที่เคยได้รับ“แค่นี้เหรอพี่นิล” มินตราเอ่ยถามพร้อมมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเงยหน้ามองนิลนนท์ตาปริบๆ“ก็แค่นี้สิ ทำไงได้ในเมื่อหัวหน้าของเราไปขัดขากับชาวบ้านเรื่องความเชื่อดั้งเดิมอย่างนั้น” นิลนนท์เอ่ยอย่างยิ้มๆ พลางปรายสายตาไปมองนรินทร์ที่หันไปมองเขาตาขวางเช่นกัน“ไม่ได้ขัดสักหน่อยแค่พูดตามที่คิด เขาเรียกว่าความคิดเห็นส่วนตัว” นรินทร์เอ่ยพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ลึกๆในใจก็ยังรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทำให้คนในทีมลำบากแบบนี้“ผมว่าเราเลิกเถียงกันเถอะครับ มากินข้าวกันก่อนเถอะ ผมหิวจะแย่” เทวินเอ่ยขัดวงสนทนาพลางจ้องมองอาหารตรงหน้า ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพากันนั่งล้อมวงและกินข้าวมื้อเย็นกันไปและคุยเรื่องงานกันไปพลางๆเมื่อภากรณ์ได้ยินเสียงพูดคุยด้านล่างก็รู้ไ